ตอนที่ 740 ศัตรูตัวกาจปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 740 ศัตรูตัวกาจปรากฏขึ้นอีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง ในใจรู้ดีว่าทั้งสี่คนจะต้องสมคบกันทำเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน หากเมื่อครู่เขาถูกไหมแสงสีเขียวที่กระจกโบราณปล่อยออกมารัดพันโดยไม่ทันระวัง แล้วยังต้องเผชิญหน้ากับการร่วมมือกันโจมตีของทั้งสามอีกล่ะก็ เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไปคงต้องเสียชีวิตจริงๆ แล้ว

แต่สำหรับเขาที่เคยสังหารผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มาแล้ว กลับไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การพูดถึงแต่อย่างใด

หากไม่ใช่ว่าตอนนี้เขากำลังทะลวงคอขวดระดับผลึกขั้นปลายอยู่ล่ะก็ คงสังหารคนทั้งสี่จนหมดสิ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาโผล่หน้าออกมาแล้ว

แต่ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ เขาต้องรีบเผด็จศึกให้ไวที่สุด

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอเปลี่ยนท่ามือ มังกรหมอกดำสี่ตัวก็ส่งเสียงคำรามออกมา และพุ่งออกจากร่างของเขา

พอมังกรหมอกดำตัวหนึ่งส่งเสียงคำราม เงากรงเล็บที่เหยี่ยวหัวดำปล่อยออกมา ก็ถูกโจมตีจนแตกกระจาย และมันก็พุ่งตรงไปด้านหน้าเหยี่ยวหัวดำ หลังจากหมุนวนรอบตัวเหยี่ยวดำหนึ่งรอบ พายุหมุนที่คุ้มกันอยู่ก็แตกกระจายทันที และมันก็อ้าปากงับปีกของเหยี่ยวหัวดำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หมุนวนรัดตัวของเหยี่ยวดำไว้ จนเหยี่ยวตัวนี้ไม่อาจกระดิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย

มังกรหมอกดำอีกตัว เพียงแค่สะบัดหางขนาดใหญ่ตรงหน้าอย่างรุนแรง ก็ก่อเกิดคลื่นสีดำอันพวยพุ่ง และโจมตีเงากระบองที่ปกคลุมเต็มฟ้าจนแตกกระจาย จากนั้นก็พุ่งใส่หมาป่ายักษ์สีเทาที่อยู่ด้านล่างจนกระเด็นออกไป และทำการต่อสู้กันอย่างอุตลุด

มังกรหมอกอีกสองตัวก็พร่ามัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พุ่งมาถึงด้านหน้าชายตาเดียวกับชายเผ่าหมานวัยกลางคน

ชายตาเดียวกับชายเผ่าหมานวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นโล่สีเขียวก็ถูกโยนออกไป หลังจากขยายใหญ่ตามแรงลมแล้ว มันก็ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายจั้ง และต้านทานอยู่ตรงหน้า ส่วนอีกคนก็อ้าปากพ่นพายุหมุนสีเทาสลัวๆ ม้วนตัวเข้าใส่มังกรหมอกตรงหน้า

ขณะนี้หลิ่วหมิงกลับตะโกนออกมา “ระเบิด!”

มังกรหมอกทั้งสี่ตัวระเบิดออกมาทันที ไม่เพียงแต่จะโจมตีจนหมาป่ายักษ์สีเทากับเหยี่ยวหัวดำจนโซซัดโซเซร่นถอยออกไปเท่านั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำอันพวยพุ่งปกคลุมผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งสามกับหมาป่ายักษ์ไว้ในนั้น

เกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา!

สายฟ้าสีเงินสีเส้นพุ่งยิงออกจากมือหลิ่วหมิง หลังจากพร่ามัวไปหนึ่งที ก็กลายเป็นหอกสายฟ้าสีเงินแวววาว และวาดตัวผ่านอากาศไปโดยที่ไม่ได้จมอยู่ในแสงสีดำ

หลังจากเกิดเสียงร้องอย่างน่าเวทนา คนทั้งสี่ที่ถูกขังอยู่ก็ถูกหอกสายฟ้าแทงทะลุจุดสำคัญไป ภายใต้พลังสายฟ้าอันน่าหวาดกลัว ทำให้ปรานแกร่งคุ้มกันตัวกับอาวุธจิตวิญญาณชนิดต่างๆ ไม่ทันได้แสดงอานุภาพออกมา ก็ต้องดับสลายไปพร้อมกับเจ้าของ แม้แต่วิญญาณส่วนหนึ่งก็ไม่สามารถหนีรอดไปได้

ตั้งแต่ตอนที่คนเหล่านี้ลงมือ จนถึงตอนที่ถูกหลิ่วหมิงสังหาร เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในชั่วเวลาเพียงสองสามอึดใจเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ผู้เฒ่าอู๋มีสีหน้าซีดขาวอย่างหาที่เปรียบมิได้

“สหายผู้นี้ พวกเราแค่…” ขณะที่พูดไปด้วย ผู้อาวุโสก็ร่นถอยไปสองสามเก้า ทันใดนั้น แขนเสื้อทั้งสองข้างก็กระตุกขึ้นมา แสงแวววาวหลากสีเจ็ดแปดลำพุ่งไปทางหลิ่วหมิง จากนั้นเขาก็แปะยันต์สีเหลืองลงบนตัวสองผืน และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีเหลืองพุ่งออกไป

แต่ทว่าพอพุ่งออกไปได้ไม่นาน ก็รู้สึกเย็นที่คอ ภาพทิวทัศน์รอบด้านร่นถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ขณะที่จะก้มหน้าลงไปดูนั้น กลับค้นพบว่าตนเองร่วงลงไปด้านล่าง ที่ทำให้เขารู้สึกตกใจอย่างถึงขีดสุดก็คือ ไม่อาจควบคุมการหมุนกลิ้งของศีรษะได้เลยแม้แต่น้อย!

ขณะที่เขารู้สึกใจเย็นสะท้านนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายตรงหน้า หลังจากรู้สึกเย็นบริเวณหน้าอก ก็ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีก

พอหลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่ง กระบี่บินสีทองก็ฟันศีรษะของผู้อาวุโสและวิญญาณที่อยู่ในนั้นพร้อมกัน จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งกลับมา และกะพริบสองสามทีก่อนหายเข้าไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอย

ตั้งแต่ต้นจนจบ หลิ่วหมิงยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน และเคลื่อนไหวมือเพียงข้างเดียว ก็สังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งสี่จนเกลี้ยง

ส่วนอาวุธจิตวิญญาณบนตัวของทั้งสี่ ก็ถูกเขาม้วนเข้าไปในแขนเสื้อ

ตอนแรกที่หลิ่วหมิงสังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกหนึ่งคน กับระดับของเหลวเจ็ดแปดคนได้ภายในพริบตา ผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งที่ยังรออยู่บริเวณนั้น เผื่อจะโชคดีจะได้อสูรเลี้ยงไปนั้น ก็มองดูจนปากอ้าตาค้าง ตอนนี้หลังจากเห็นเขาสังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกไปอีกสี่คน ก็รู้ว่าพลังของหลิ่วหมิงน่ากลัวระดับใดแล้ว พวกเขาจึงรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ชั่วขณะนั้น มีเสียงดังขึ้นติดต่อกันจากยอดเขาบริเวณรอบๆ แสงหลบหลีกสีต่างๆ เปล่งประกายขึ้นมา และค่อยๆ พุ่งไปคนละทิศละทาง

ภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ผู้ฝึกฝนกว่าครึ่งหนึ่งก็ทยอยกันพุ่งออกไป

แต่ยังมีผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนยังไม่ยินยอมจะจากไป เพียงแค่เหาะไปยังยอดเขาที่อยู่ไกลอีกสักหน่อย จากนั้นก็เก็บซ่อนกลิ่นไอไว้ และรอคอยต่อไป

เป้าหมายของคนเหล่านี้คือ พอหลิ่วหมิงทะลวงระดับล้มเหลว จะเป็นโอกาสอันดีในการฉกฉวยประโยชน์ในขณะที่เกิดความวุ่นวาย

หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจผู้ฝึกฝนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เพียงแค่หยิบโอสถแฝงจิตวิญญาณมาทานลงไปหนึ่งเม็ด ขณะเดียวกันก็เหลือบตาดูแมงป่องกระดูกกับหัวบินที่ยังคงหมกหมุ่นอยู่กับการรับมือด่านเคราะห์สายฟ้า

จะว่าไปแล้ว ด่านเคราะห์สายฟ้านี้ก็แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านั้นก็ทิ้งระเบิดลงมาติดต่อกันหลายครั้ง ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งถ้วยชาถึงจะผ่าลงมาสองสามครั้ง เพียงแต่อานุภาพกลับเหนือกว่าก่อนหน้านั้นไม่น้อย แต่ว่าภายใต้การปกป้องของลูกหินกับรังไหมโลหิต ยังคงดูราบรื่นเป็นอย่างมาก

แต่ดูจากจุดนี้ การบรรลุระดับของทั้งสองคงไม่ได้ใช้เวลาแค่วันสองวันแล้ว

หลังจากหลิ่วหมิงสงบจิตสงบใจแล้ว ก็หลับตาทั้งคู่ลงอีกครั้ง และทำการทะลวงคอขวดต่อ

เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลานานสามวัน

ในระยะเวลาสามวันนี้ แมงป่องกระดูกกับหัวบินยังคงทนต่อการทดสอบของสายฟ้าอันน่าตกใจในแต่ละระลอก แม้ว่าจะยังไม่บรรลุระดับ แต่กลิ่นไอที่ทะลุออกจากลูกหินกับรังไหมโลหิต นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น ดูเหมือนว่าจะอยู่ห่างจากระดับผลึกเพียงแค่เส้นด้ายกั้นแล้ว

และขณะนี้ หลิ่วหมิงก็มีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ไอดำพวยพุ่งรอบตัว เหงื่อออกเต็มตัว รูปร่างมีขนาดใหญ่กว่าตอนแรกไม่น้อย ประจักษ์ชัดว่าได้ทะลวงคอขวดมาถึงจุดสำคัญแล้ว

แต่ทว่าในขณะนั้นเอง แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลก็ม้วนตัวเข้ามาจากที่ไกลๆ

ครู่ต่อมา เรือเหาะกระดูกขาวลำหนึ่งก็พุ่งมาถึงบนยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

เรือเหาะนี้ดูเหมือนจะสร้างขึ้นมาจากโครงกระดูกของอสูรยักษ์ชนิดหนึ่งในดินแดนทางตอนใต้ มันเปล่งประกายสีขาวทั้งลำ เห็นได้ชัดว่าดูแปลกประหลาดเล็กน้อย

ขณะที่เรือกระดูกเหาะมาถึงยอดเขาบางแห่งนั้น มันก็หยุดลงทันที ชายหนุ่มสวมชุดสีขาวที่มีกระดูกโหนกแก้มค่อนข้างสูงกระโดดลงมาจากบนนั้น

พอชายหนุ่มลงถึงด้านล่าง ก็โบกมือข้างหนึ่งเรียกเก็บเรือกระดูก ขณะเดียวกันก็ปล่อยจิตออกไปกวาดดูอย่างกำเริบเสิบสาน

ผู้ฝึกฝนที่เหลืออยู่เห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และพากันหนีไปโดยไม่พูดอะไรออกมา

ผ่านไปครู่เดียว ผู้ฝึกฝนที่อยู่บริเวณนี้ก็พากันจากไป แต่ยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายที่เชื่อมั่นในการฝึกฝนของตนเองอยู่ จึงยังไม่จากไปไหน และถอยไปอยู่บนยอดเขาที่ไกลกว่าเดิม

คนเหล่านี้เห็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มาถึง ก็ไม่คิดจะโลภอีก แต่กลับพากันถอยไปรวมตัวเข้าด้วยกันโดยมิได้นัดหมาย และสังเกตดูอย่างเงียบๆ

พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มชุดขาวก็พยักหน้าด้วยความพอใจ สายตาของเขามองไปยังยอดเขาที่เกิดปรากฏการณ์ จากนั้นก็มองผ่านหลิ่วหมิงไปยังอสูรเลี้ยงสองตัวที่กำลังรับด่านเคราะห์อยู่

“ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้น!”

หลิ่วหมิงย่อมมองเห็นชายหนุ่มชุดขาวแล้ว พอกวาดจิตดูแล้วก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา

แม้จะบอกว่าเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นผู้นี้ แต่ฝ่ายตรงข้ามมาปรากฏตัวเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่อาจไล่ไปได้ง่ายดายเหมือนคนอื่นๆ ในก่อนหน้า

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองแผนการอยู่นั้น ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นผู้นั้นก็ยังคงไม่ลงมือ แต่กลับยืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่เดิม สีหน้าดูลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

ผ่านไปสักพัก แสงหลบหลีกสองลำก็พุ่งมาจากยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล มันพุ่งมาทางชายหนุ่มชุดขาวอย่างรวดเร็ว และร่อนลงตรงหน้าไม่ไกล

พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกสองคนที่สวมชุดสีขาวเช่นกัน ขณะนี้กำลังยืนโค้งตัวอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม และประสานมือกล่าวกับชายหนุ่มชุดขาวพร้อมกัน

“คารวะผู้อาวุโสอวี๋ว์!”

“ไม่ต้องมากพิธี ครั้งนี้ข่าวของพวกเจ้ามีประโยชน์กับข้ามาก คิดไม่ถึงว่าสถานที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ จะมีอสูรเลี้ยงสองตัวที่กำลังจะเข้าสู่ระดับผลึก พวกเจ้าวางใจเถอะ กลับถึงเผ่าแล้ว ข้าจะมอบผลประโยชน์ดีๆ ให้อย่างแน่นอน!” ชายหนุ่มชุดขาวหัวเราะก่อนกล่าวออกมา

“ขอบคุณผู้อาวุโส!” ผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งสองได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็รีบโค้งตัวคารวะทันที

“เอาล่ะ! จากการตรวจสอบของข้า กว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองจะบรรลุระดับสำเร็จยังต้องใช้เวลาจำนวนหนึ่ง พวกเจ้าทั้งสองกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะรอจนพวกมันทั้งสองบรรลุระดับแล้วค่อยลงมือสยบมัน และนำกลับไปที่เผ่า” ชายหนุ่มชุดขาวพูดจบ ก็โบกมือและบอกให้ทั้งสองจากไป

“ผู้อาวุโสอวี๋ว์ ด้านข้างอสูรเลี้ยงทั้งสองยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกอยู่ คงจะเป็นเจ้าของของมัน พอถึงเวลาต้องให้พวกเราช่วยตรึงกำลังเขาไว้หรือไม่?” ชายหนุ่มที่มีหน้าตาสวยสดงดงามถามอย่างระมัดระวัง

“ฮึ! ตอนนี้ข้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว กะอีแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางคนเดียว ไหนเลยจะอยู่ในสายตาข้า แต่เจ้าอสูรเลี้ยงทั้งสองนี้ ดูจากสถานการณ์บรรลุระดับของมันแล้ว คงจะเกิดการกลายพันธุ์มาแล้วหนึ่งรอบ หากสามารถสยบมันมาใช้งานได้ล่ะก็ ข้าก็จะเหมือนพยัคฆ์ติดปีก แต่เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการบรรลุระดับของพวกมัน ก็ให้เจ้าเด็กมนุษย์นี้มีชีวิตอยู่สักระยะเถอะ!” ชายชุดคลุมสีขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาทั้งคู่ดูเร่าร้อนขึ้นมา เขาทำเหมือนกับว่าอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองเป็นของที่อยู่ในกระเป๋าของเขาแล้ว

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าที่สามารถสยบอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณสำเร็จ พวกศิษย์ต้องกลับไปที่เผ่าก่อนแล้ว” ชายหนุ่มสองคนได้ยินก็สบตากันทีหนึ่ง หลังจากประสานมือคารวะแล้ว ก็หมุนตัวกลายเป็นแสงหลบหลีกสีขาวสองลำพุ่งออกไปไกลๆ ไม่นานก็หายไปจากกลุ่มเขาเหล่านี้

ชายหนุ่มชุดขาวกวาดสายตาดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงบนก้อนหินยักษ์สีดำ และรอคอยคนเดียวอย่างเงียบๆ

ขณะที่หลิ่วหมิงรับรู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ผู้นี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ย่อมรู้สึกดีใจที่เป็นเช่นนี้ ทันใดนั้นเขาจึงทำเป็นไม่สนใจ และทำการทะลวงคอขวดต่อ

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งวัน เมฆดำบนหัวของอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองก็ค่อยๆ กลายเป็นทะเลหมอกสีดำเขียวขนาดใหญ่

เกิดเสียงฟ้าร้องดัง “โครมคราม!” เปลวไฟสายฟ้าสีทองเป็นจุดๆ เปล่งประกายออกจากทะเลหมอกสีดำเขียว และรวมตัวกันตรงกลาง ครู่เดียว เสาสายฟ้าสองเส้นที่มีขนาดใหญ่ราวกับถังไม้สองใบ ก็มีไหมสายฟ้าเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิวไม่หยุด

พอเสาสายฟ้าก่อตัวขึ้น มันก็ระเบิดลงมาพร้อมกับเปลวไฟสายฟ้าสีทองที่พวยพุ่ง และผ่าลงบนลูกหินกลมๆ ของแมงป่องกระดูกและรังไหมโลหิตที่หัวบินสร้างขึ้นมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง

“ตู๊ม!” “ตู๊ม!”

ยอดเขาสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง ฝุ่นควันแพร่กระจายตามลม เศษหินดินทรายกระเด็นไปทั่วทิศ!

หลิ่วหมิงไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ของอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองได้อย่างชัดเจน และมองเห็นแค่หลุมขนาดใหญ่สองหลุมบนยอดเขาเท่านั้น

บริเวณใจกลางหลุม บนผิวลูกหินที่มีสภาพไม่สมบูรณ์และรังไหมโลหิต ก็มีไหมสายฟ้าสีทองเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด

………………………………