ตอนที่ 741 อสูรเลี้ยงระดับผลึก

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 741 อสูรเลี้ยงระดับผลึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะที่สายฟ้าสีทองอันน่าตกใจสองเส้นร่วงมา เมฆสีดำเขียวกลางอากาศก็เริ่มสลายไปในที่สุด และค่อยๆ กลับมาเป็นภาพท้องฟ้าสีครามกับก้อนเมฆสีขาวเช่นเดิม

หลิ่วหมิงที่อยู่ใกล้กับอสูรเลี้ยงทั้งสองที่สุด สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ทั้งสองอยู่ในสถานะวิกฤตระดับหนึ่งแล้ว กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็ราวกับภูเขาไฟสองลูกที่สามารถระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา

หลังจากเวลาผ่านไปอีกครึ่งถ้วยชา ไหมสายฟ้าสีทองบนพื้นผิวของลูกหินกับรังไหมโลหิตก็เริ่มสลายไปจนหมดสิ้น หลังจากเกิดเสียงดังขึ้น ลำแสงขนาดใหญ่สองลำที่มีสีแตกต่างกัน ก็พุ่งออกลูกหินและรังไหมโลหิต

ลำแสงที่พุ่งออกจากลูกหิน สามารถมองเห็นเม็ดผลึกสีม่วงขนาดเท่าเม็ดถั่วจำนวนเจ็ดสิบสองเม็ดลอยอยู่อย่างหนาแน่น

และลำแสงที่รังไหมโลหิตพุ่งออกมา ก็มีเม็ดผลึกสีม่วงสามสิบหกเม็ดหมุนติ้วๆ อยู่ไม่หยุด

บนเม็ดผลึกเหล่านี้มีลวดลายจิตวิญญาณขนาดเล็กเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และแผ่กลิ่นไออันบริสุทธิ์ออกมาจากในนั้น!

เม็ดผลึกเหล่านี้เปล่งประกายอยู่พักหนึ่ง ขณะที่ลำแสงทั้งสองหายไป มันก็ค่อยๆ จมลงไปในลูกหินกับรังไหมโลหิต

ขณะเดียวกัน มีเสียงราวกับประทัดระเบิดดังออกมาจากทั้งสอง จากนั้นกลิ่นไอสองสายที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้น ก็ม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง

แมงป่องกระดูกกับหัวบินเข้าสู่ระดับผลึกขั้นต้นพร้อมกัน

หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ฉากต่อมากลับทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที และรู้สึกตกใจขึ้นมามาก

หลังจากแมงป่องกระดูกกับหัวบินทะลวงระดับผลึกขั้นต้นได้แล้ว กลิ่นไอก็ยังไม่มั่นคง แต่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พอหลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ก็มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ที่ประเมินพลังของโลหิตปีศาจสวรรค์ต่ออสูรเลี้ยงทั้งสองต่ำไป

ชายหนุ่มชุดขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลเห็นเช่นนี้ ก็มองมายังอสูรเลี้ยงทั้งสองด้วยดวงตาที่เป็นประกายแวววาว

ด้วยการฝึกฝนระดับแก่นแท้ของเขา ย่อมค้นพบความผิดปกติในขณะที่อสูรเลี้ยงทั้งสองบรรลุระดับ เขาจึงพยายามอดกลั้นรอคอยด้วยความดีใจ

สุดท้าย เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งมื้อข้าว กลิ่นไอที่แผ่ออกจากลูกหินสีเทากับรังไหมโลหิต ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางแล้ว และพุ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลาย จนเมื่ออยู่ห่างจากระดับแก่นเสมือนเพียงขั้นเดียว ถึงหยุดชะงักลงในฉับพลัน

ขณะที่หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลงนั้น ก็มีเสียงดัง “เพล้ง!”

ลูกหินสีเทาระเบิดออกมาก่อน และกลุ่มไอดำก็ม้วนตัวออกมาจากในนั้น มองเห็นแมงป่องกระดูกแวววาวที่มีขนาดหลายชุ่นอยู่รำไร

“นายท่าน……”

พลันมีเสียงเย็นยะเยือกของหญิงสาวดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง

จากนั้นแมงป่องแวววาวก็ระเบิดตัวกลายเป็นไอดำอันพวยพุ่ง และดูพร่ามัว

หลังจากไอดำสลายไปจนหมด ก็มีหญิงสาวสง่างามในชุดคลุมสีดำ และมีไอดำรายล้อมรอบตัวปรากฏออกมา

หญิงสาวนางนี้ดูเหมือนจะมีอายุสิบหกถึงสิบเจ็ดปี ผมสีเงินพัดสยายและย้อยลงมา เห็นได้ชัดว่างดงามเพริศพริ้งเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าระหว่างคิ้วจะมีส่วนคล้ายคลึงกับเย่เทียนเหมยเล็กน้อย

“เจ้า…?” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที และกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา

หญิงสาวยิ้มหวาน และบิดเอวมุดหายลงไปใต้ดิน

ครู่ต่อมา เงาร่างสีดำก็เปล่งประกายบนพื้นด้านหน้าหลิ่วหมิง หญิงสาวมุดขึ้นมา หลังจากขยับแขนแล้ว ก็จับชายเสื้อของหลิ่วหมิงไว้ และเอาหน้าแนบกับหน้าอกอย่างสนิทสนม

การกระทำเช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปในท้อง และเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา เขาได้แต่ลูบหัวของหญิงสาวหนึ่งที ทำให้นางเอาหน้าออกจากตัวหลิ่วหมิงด้วยความเสียดาย

ขณะนั้นเอง รังไหมโลหิตที่อยู่ไม่ไกลก็ระเบิดออกมาในพริบตา ไอสีเขียวพวยพุ่งม้วนตัวกลางอากาศ เด็กชายอายุราวๆ แปดเก้าขวบปรากฏตัวออกมา

เด็กชายสูงไม่ถึงสามฉื่อ ดูอวบๆ ขาวๆ แลดูน่ารักเป็นพิเศษ สวมเสื้อคลุมสั้นสีเขียว ใจกลางศีรษะมีหางเปียสีเขียวอยู่จุกหนึ่ง บนคอกลับห้อยมุกแวววาวแปดเม็ดที่ดูไม่เหมาะกับร่างของเขา บนผิวมุกมีใบหน้าเด็กชายที่เหมือนกันประทับอยู่

หลังจากเด็กชายปรากฏตัวออกมา ตอนแรกก็มีสีหน้าเบลอๆ แต่หลังจากยื่นแขนทั้งสองออกมาดูแล้ว ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา หลังจากมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็ส่งเสียงเรียก “นายท่าน” และกางเท้าสีขาวทั้งสองก่อนวิ่งไปหาหลิ่วหมิง

“โครม!”

เห็นได้ชัดว่ามือเท้าของเด็กชายชุดเขียวยังไม่ค่อยประสานกัน แค่สะดุดก้อนหินเล็กๆ ก็เซไปชนหลิ่วหมิงแล้ว

พอหลิ่วหมิงขยับแขน นิ้วทั้งห้าก็จับไหล่ของเด็กชายที่ดูบอบบางไว้ ทำให้เขาหยุดอยู่กับที่ภายในพริบตา แต่ร่างของเขาก็สั่นสะท้านเล็กน้อย พลังเวทภายในร่างพวยพุ่งขึ้นมาทันที

ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก ทันทีที่เขารีบกระตุ้นพลัง พลังเวทภายในร่างก็ถูกระงับไว้ แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและดีใจ

หลังจากหัวบินระดับผลึกกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว ดูเหมือนว่าพลังของกายเนื้อจะแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก

แต่พอเด็กชายเห็นว่าตนเองถูกหลิ่วหมิงช่วยไว้ ก็ยิ้มซื่อๆ ออกมา เขาคิดที่จะยืนตัวตรงและไปถูกับหลิ่วหมิง

หญิงสาวชุดดำเห็นเช่นนี้ ปากเล็กๆ สีแดงก็ยื่นออกมาทันที ทันใดนั้นนางก็อุ้มเด็กชายชุดเขียวไว้ และกะพริบออกไปสิบกว่าจั้ง

“ไม่เห็นว่านายท่านกำลังทะลวงคอขวดอยู่หรือ? อย่าทำเสียเรื่อง ช่วยคุ้มกันนายท่านดีๆ” หญิงชุดดำวางเด็กชายไว้บนพื้น และกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“เจ้าก็วิ่งเข้าหาแล้วนี่ ข้าเพิ่งกลายร่าง จึงไม่ค่อยคุ้นชินกับการใช้เท้า ไหนเลยจะเหมือนกับเจ้าที่มุดไปมุดมาในดินทั้งวัน สกปรกโสมมที่สุด” เด็กชายชุดเขียวกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ และทำหน้ามุ่ยออกมา

“เจ้า เจ้า…ไม่นึกว่าเจ้าจะหาว่าข้าสกปรก ดูสิว่าข้าสั่งสอนเจ้าอย่างไร!” หญิงสาวชุดดำเบิกตา และยกแขนขึ้นเบาๆ นางทำท่าจะตีเด็กชายชุดเขียว

หลังจากเด็กชายชุดเขียวทำหน้าผีใส่หญิงสาวชุดดำแล้ว ก็กลายเป็นเศษเงาจำนวนมากหมุนวนรอบตัวหญิงสาว จากนั้นก็พุ่งไปทางหลิ่วหมิงอีกครั้ง

หญิงสาวชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็พร่ามัวมุดลงไปใต้ดิน พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง และขวางทางเด็กชายไว้

พริบตาเดียว ทั้งสองก็กระเซ้าเย้าแหย่กันอย่างสนุกสนาน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มเล็กน้อย ขณะที่คิดจะพูดอะไรออกมานั้น ก็มีเสียงหัวเราะฮ่าๆ ดังมาจากที่ไกลๆ จากนั้นแสงสีขาวก็เปล่งประกายบนยอดเขาบางแห่ง สายรุ้งสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งเข้ามา ขณะเดียวกันแรงกดดันจิตวิญญาณอันมหาศาลก็พุ่งเข้ามา

“เอ๊ะ? ใครกันที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้!” เด็กชายชุดเขียวแหงนหน้ามองสายรุ้งสีขาวบนท้องฟ้า และรีบหยุดฝีเท้าในทันที จากนั้นก็อ้าปากพ่นเปลวไฟโลหิตใส่แสงหลบหลีกสีขาวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“ตู๊ม!”

บริเวณที่เปลวไฟโลหิตพุ่งผ่าน จะถูกเปลวไฟลุกไหม้ในทันที และแสงหลบหลีกสีขาวก็เปลี่ยนทิศทางในฉับพลัน จนหลบเปลวไฟโลหิตไปได้อย่างรวดเร็ว

“ตู๊ม!” ต้นไม้ยักษ์สูงเทียมฟ้าที่อยู่ไม่ไกลถูกเปลวไฟโลหิตห่อหุ้มไว้ ผ่านไปแค่อึดใจเดียว ก็ถูกเปลวไฟอันร้อนแรงเผาไหม้จนกลายเป็นถ่าน

พอแสงไฟดับลง หินผาบริเวณที่ต้นไม้โบราณอยู่ ก็ละลายในฉับพลันจนกลายเป็นสีแดงเพลิง

“ดีมาก! ไม่ใช่อสูรเลี้ยงทั่วไปจริงๆ ด้วย เปลวไฟโลหิตนี้มีอานุภาพไม่น้อย สามารถข่มขู่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนทั่วไปได้แล้ว แต่ว่าพวกเจ้าติดตามผู้ฝึกฝนที่มีพลังแค่ระดับผลึกคนหนึ่ง ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้าเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ไม่สู้ลองคิดพิจารณามาสวามิภักดิ์ข้าดีหรือไม่? พอแสงสีขาวดับลง ก็เผยใช้เห็นร่างของชายหนุ่มโหนกสูงผู้หนึ่ง หลังจากเขาส่งเสียงหัวเราะออกมาสองสามทีแล้ว ก็มองดูเด็กชายชุดเขียวกับหญิงสาวชุดดำด้วยแววตาละโมบ

เขาคือชายหนุ่มระดับแก่นแท้ขั้นต้น ที่รอฉกฉวยโอกาสในก่อนหน้า พอเขาเห็นว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองไม่เพียงแต่จะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายเท่านั้น แม้กระทั่งยังกลายร่างเป็นมนุษย์ด้วย ภายใต้สถานการณ์ที่เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้ามา

“เจ้าคือสวะที่มาจากที่ใด คิดจะให้พวกเราติดตามเจ้า? ช่างน่าขันสิ้นดี!” หญิงสาวชุดดำก็ไม่ต่อปากกับเด็กชายอีก หลังจากเงยหน้ามองชายชุดคลุมสีขาวทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวอย่างไม่เกรงใจ

“นั่นน่ะสิ! นั่นน่ะสิ! คิดว่าตัวเองคู่ควรหรอกหรือ….. แกว๊ก! แกว๊ก!” เด็กชายชุดเขียวกระโดดอยู่กับที่แล้วกล่าวออกมา

“ฮึ! ไม่รู้จักเวล่ำเวลา!”

เดิมทีชายหนุ่มชุดขาวก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พอได้ยินอสูรเลี้ยงทั้งสองตอบกลับเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง หมอกขาวกลุ่มหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นบนร่างของเขา จากนั้นก็กลายเป็นเงาฝ่ามือยักษ์สีขาวสลัวๆ ที่มีขนาดสิบกว่าจั้งคว้าไปทางหญิงสาวชุดดำ

หญิงสาวชุดดำเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็น นางโค้งตัวเอามือทั้งสองแตะพื้นในทันที ทันใดนั้นเศษหินและก้อนดินที่อยู่ด้านข้าง ก็ม้วนตัวขึ้นมา และก่อตัวเป็นกำแพงหินสามด้านที่มีความหนาสองถึงสามฉื่อ ทั้งยังมีแสงสีเหลืองเปล่งประกาย

“โครมคราม!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน!

ภายใต้การสั่นสะเทือนของฝ่ามือยักษ์สีขาว กำแพงหินทั้งสามก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พริบตาเดียวก็กลายเป็นเศษหินกองอยู่บนพื้น

ขณะที่กำแพงหินด้านสุดท้ายพังทลายลงนั้น เงาฝ่ามือยักษ์สีขาวกลับสลายไปพร้อมกัน ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่พักหนึ่ง

ขณะนั้นเอง เปลวไฟสีเทาที่มีขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่ง ก็พุ่งออกจากฝุ่นที่คละคลุ้ง และพุ่งเข้าใส่ชายชุดขาว

มันเกิดจากการที่เด็กชายชุดเขียวอ้าปากพ่นลูกเปลวไฟสีเทาออกมาในฉับพลัน

เปลวไฟนี้ขยายใหญ่ตามแรงลม พริบตาเดียวก็กลายเป็นกลุ่มเปลวไฟขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งจั้งกว่าๆ

พอชายหนุ่มชุดขาวเขม้นตามอง ก็รู้สึกแค่ว่ามีกลิ่นคาวแปลกประหลาดที่ทำให้รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยปะทะเข้ามา อีกทั้งบริเวณที่เปลวไฟสีเทาพุ่งผ่าน ก็ดูพร่ามัวขึ้นมาทันที ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

พอเขาคว้ามือข้างหนึ่งออกไป ธงกระดูกที่มีขนาดหนึ่งชุ่นกว่าๆ ก็ปรากฏขึ้นในมือ หลังจากโบกสะบัดหนึ่งที ก็ขยายยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ และถูกโยนออกไป

ชายหนุ่มชุดขาวเปลี่ยนท่ามือทั้งสองในทันที ธงกระดูกสีเขียวหมุนวนกลางอากาศ ทันใดนั้นพายุบ้าระห่ำสีเขียวก็พุ่งขึ้นจากพื้น และพุ่งไปรับมือกับเปลวไฟสีเทา

“ฟู่ๆ!”

เปลวไฟสีเทาถูกพัดดับไปจนหมดสิ้น

ขณะนั้นเอง แสงสีเหลืองแวววาวก็เปล่งประกายในดวงตาของหญิงสาวชุดดำ มือทั้งสองก็ทำท่ามือไว้บริเวณหน้าอกอย่างรวดเร็ว

“โครมคราม!”

นอกจากบริเวณที่หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่แล้ว พื้นบริเวณอื่นๆ ล้วนระเบิดออกมาภายในพริบตา ก้อนหินขนาดต่างๆ กระเด็นออกมาจากนั้นในนั้น ก้อนที่ใหญ่สุดก็มีขนาดหลายจั้ง เล็กสุดก็มีขนาดเท่ากับอ่างล้างหน้า และยังลอยสั่นสะท้านอยู่กลางอากาศท่ามกลางแสงสีเงินที่เปล่งประกาย

“ไป!”

พอหญิงสาวชุดดำส่งเสียงตะคอกออกมา ก้อนหินขนาดต่างๆ เหล่านี้ ก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่มชุดขาวเป็นจำนวนมาก

………………………………