ตอนที่ 1487 ผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญา

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1487 ผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญา Ink Stone_Fantasy

ไนติงเกลคุกเข่าลง ก่อนจะใช้นิ้วมือแตะไปที่พื้น ในตอนที่เธอยกมือขึ้นมา ทั้งสองคนต่างเห็นที่ปลายนิ้วของเธอสะอาดสะอ้าน แม้แต่เศษฝุ่นก็ไม่มีแม้แต่นิดเดียว

นี่แสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของมัน

ถ้าสงครามแห่งโชคชะตาวนเวียนไม่จบสิ้น เผ่ากัมมันตรังสีย่อมไม่ใช่ผู้ชนะเผ่าพันธุ์แรกที่พยายามจะสำรวจบอทธ่อมเลสแลนด์แน่ ไม่ว่าจะพลาดตกลงมา หรือว่าตั้งใจกระโดดลงมา มันก็น่าจะมีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง แต่นี่กลับไม่มีแม้กระทั่งพวกก้อนหินหรือเศษดินที่ร่วงตกลงมาเลย

ท่ามกลางวันเวลาอันนานแสนนาน ที่แห่งนี้ยังคงสะอาดสะอ้านเหมือนใหม่ ทำให้คิดได้เพียงว่าจะต้องมีคนคอยทำความสะอาดพื้นใต้หลุมลึกอยู่ตลอดเวลา

“ฮัลโหล เวนดี้ เจ้าได้ยินเสียงข้าไหม?” ไนติงเกลหยิบเอารูนสดับขึ้นมาพูด แต่ฝั่งนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมาเลย “ไม่ได้…ดูเหมือนเราจะอยู่นอกระยะการสื่อสารแล้วล่ะ”

“ต่อให้ไม่อยู่นอกระยะสื่อสาร มันก็ไม่แน่ว่าจะใช้ได้” เซโรเชสพูดตรงๆ “ถ้าพระเจ้าไม่คิดที่จะปล่อยให้คนเอาความลับออกไป การปิดกั้นการสื่อสารก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับมัน”

“เอาล่ะ…” เธอยักไหล่ “อย่างนั้นพวกเราจะเอายังไงต่อ?”

อันนาจ้องไปที่แถบแสงที่พื้นอยู่ครู๋ใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาว่า “พวกเจ้ารู้สึกบ้างไหมว่า แสงไฟพวกนี้มันกำลังนำทางพวกเราอยู่?”

การกะพริบของพวกมันมีความเป็นระเบียบอย่างมาก เหมือนกับคลื่นที่กระเพื่อมออกมาจากใต้เท้าแล้วหายไปในความมืดอย่างไรอย่างนั้น — นอกจากตำแหน่งที่ทั้งสามคนยืนอยู่แล้ว ที่อื่นๆ ล้วนแต่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย เหมือนกับว่ากำลังหลับใหลอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พยายามเดินไปทางตรงกันก้าวสองสามก้าว แสงไฟเองก็เคลื่อนไหวตามมันไป แต่ทิศทางการกระเพื่อมยังคงเหมือนเดิม

“ดูเหมือนจะใช่”

“การเชื้อเชิญของพระเจ้างั้นเหรอ…น่าสนใจนี่” ไนติงเกลเอาปืนสั้นมาถือไว้ในมือ “อย่างนั้นก็ไปเจอหน้าหน่อยแล้วกัน”

ทั้งสามคนเดินตามแถบแสงไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หลังผ่านไปประมาณสิบกว่านาที ปากทางที่สว่างเจิดจ้าอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเธอ

เมื่อเทียบกับความมืดที่มองไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือตัวเองก่อนหน้านี้แล้ว เส้นทางหลังจากนั้นทำให้พวกเธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย — เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่ชอบเดินอยู่ในที่แปลกหน้าที่้ตกอยู่ในความมืดจนมองไม่เห็นปลายทางแน่ ถึงแม้ตอนนี้พวกเธอจะยังอยู่ใต้ดิน แต่อย่างน้อยพวกเธอก็มองเห็นเส้นทางรอบๆ ได้อย่างชัดเจน

“ที่นี่มันใช่โลกแห่งจิตสำนึกจริงๆ งั้นเหรอ…” ไนติงเกลอดถามขึ้นมาไม่ได้

“ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ?” อันนาหันหน้ากลับมา

“เพราะว่ามันเกี่ยวกับโลกแห่งจิตสำนึกน่ะสิ” เธอเกาหัว “ไม่ว่าจะเรียกมันว่าโลกแห่งจิตสำนึกหรือว่าแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ มันก็ฟังดูแล้วเหมือนกับเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่ว่าที่นี่….”

“เหมือนกับถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น” จู่ๆ ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา

บนเส้นทางที่ยาวเหยียดนี้ ไม่ว่าจะเป็นกำแพงหรือว่าพื้นก็ล้วนแต่ดูไม่เข้ากับคำเรียกเหล่านั้นเลย พวกมันทั้งแข็งและเรียบ มีเหลี่ยมมีมุมชัดเจน ดูแล้วให้ความรู้สึกสบายตา ขณะเดียวกันก้อนโลหะโปร่งแสงเหล่านี้ยังสามารถเปล่งแสงออกมาจากตัวได้ด้วย ไม่ว่าจะใช้เท้าเหยียบหรือใช้มือกดก็ล้วนแต่ส่องแสงออกมาเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งกดเร็วมันก็ยิ่งส่องแสงออกมาเร็ว แถมบางครั้งยังมีสัญลักษณ์แปลกๆ กระเด้งออกมาด้วย ดูแล้วไม่ได้มีความรู้สึกหนาวเย็นหรือนน่ากลัวที่ดูไม่น่าเข้าใกล้เลย

“บางทีโลกแห่งจิตสำนึกอาจจะถูกสร้างออกมาก็ได้” คำตอบของอันนาทำเอาทั้งสองคนตกตะลึงไปเล็กน้อย “ถูกคนอย่างพวกเรา…หรือพูดอีกอย่างคืออารยธรรมสร้างขึ้นมา”

ไนติงเกลกลืนน้ำลาย “อีกฝ่าย…ไม่ใช่พระเจ้าเหรอ?”

“จะเรียกแบบไหนก็ได้” อันนาส่ายหัว “ข้าเคยได้ยินโรแลนด์บอกว่าที่มิสต์เรียกมันว่าพระเจ้า ก็เพราะว่านั้นเป็นการพูดที่ทำให้พวกเราเข้าใจได้ง่ายที่สุด เหมือนกับถ้าเปรียบกับมด พวกเราก็ไม่ได้ต่างอะไรจากพระเจ้า”

เธอรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาทันที “ช่างเป็นคำพูดที่น่ารังเกียจจริงๆ”

“ใช่” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์เห็นด้วย “แต่ว่าข้าเข้าใจ”

ในขณะที่ไนติงเกลกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ เธอพลันพบว่าเธอเดินมาสุดทางแล้ว

“นี่เรา…เดินผิดเหรอ?”

แต่ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงซ่าๆ เบาๆ ลำแสงสายหนึ่งกวาดผ่านตัวทั้งสามตนไปอย่างรวดเร็ว อย่างนั้นภาพพวกเธอทั้งสามก็ไปปรากฏอยู่บนกำแพงตรงปลายสุดของทางเดิน

แม้แต่อันนาก็ยังรู้สึกตกใจกลัวกับการเปลี่ยนแปลงนี้

เพียงแต่ยังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะได้ทำอะไร กำแพงพลันเปลี่ยนเป็นรูปหกเหลี่ยมจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วหายไป พื้นที่ว่างทรงกลมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าทั้งสามคน

รอบๆ ผนังทรงกลมมีรางเหมือนรางรถไฟวนเป็นรอบอยู่เส้นหนึ่ง ตรงกึ่งกลางถูกกั้นไว้ด้วย ‘กระจก’ ใสแผ่นหนึ่ง เมื่อมองผ่านพื้นกระจกใสแผ่นนั้นลงไป พวกเธอมองเห็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่อันหนึ่งหมุนวนอยู่ด้านล่าง และวัตถุทรงกลมนั้นไม่ใช่ของแข็ง หากแต่ดูเหมือนของไหลที่ประกอบขึ้นมาจากแสงและกระแสไฟฟ้ามากกว่า กระแสไฟฟ้าจำนวนมากวิ่งขึ้นลงตามผนังที่เป็นท่อ กระแสไฟฟ้าแต่ละสายดูรุนแรงกว่าสายฟ้าที่ผ่าลงมาจากบนท้องฟ้าเสียอีก ถึงแม้จะมีกระจกกั้นเอาไว้อยู่ แต่ทั้งห้องนั้นกลับเงียบอย่างมาก ราวกับว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงด้านในนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกภายนอกเลย

ทั้งสามคนกลั้นหายใจทันที ไม่ว่าใครถ้าได้มาเห็นภาพนี้ก็ต้องรู้สึกตกตะลึงอย่างแน่นอน ไม่มีใครที่จะคิดถึงว่าด้านล่างเกาะที่โดดเดี่ยวอยู่กลางทะเลจะมีของที่ยิ่งใหญ่แบบนี้แอบซ่อนอยู่

สิ่งที่ทำให้พวกเธอยิ่งรู้สึกตกใจก็คือ วัตถุทรงกระบอกอันหนึ่งลอยออกมาจากกำแพง ก่อนจะค่อยๆ บินมาตรงหน้าอันนา จากนั้นฝาของมันจึงเปิดออก

ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหน ทั้งสามคนก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์กับไนติงเกลต่างหันไปมองอันนาเพื่อรอให้เธอทำการตัดสินใจ ส่วนอีกฝ่ายนั้นจ้องมองโรแลนด์อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยสองมือออก ภายใต้การดึงของไฟสีดำ โรแลนด์ที่นอนหลับตาทั้งสองข้างค่อยๆ ถูกวางลงไปในวัตถุทรงกระบอกนั้น จากนั้นฝาครอบจึงปิดลง วัตถุทรงกระบอกลอยกลับเข้าไปในกำแพงใหม่อีกครั้ง ก่อนจะฝังแนบสนิทเข้าไปราวกับหายไปในกำแพงอย่างไรอย่างนั้น

“พวกเรา…ถือว่าทำสำเร็จแล้วใช่ไหม?” ไนติงเกลพูดงึมงำขึ้นมา

“ไม่รู้สิ” อันนาพูดเบาๆ “แต่อย่างน้อยพวกเราก็ทำเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้สำเร็จเรียบร้อย สิ่งที่เราทำได้หลังจากนี้ก็มีแค่รอเท่านั้น”

…..

ท้องฟ้ามืดมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาวค่อยๆ หายไป แสงสีขาวเติมเต็มเบื้องหน้าของเขา

ท่ามกลางแสงสีขาวสุดลูกหูลูกตานี้ บันไดที่ยืดยาวอันหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงใต้เท้าโรแลนด์ —- ครั้งนี้ไม่มีจุดสีขาวแล้วก็ไม่มีฝ้าเพดานที่คุ้นเคยแล้ว สายตาของเขามองไปยังปลายสุดของบันได ก่อนจะเห็นว่าปลายบันไดเชื่อมต่ออยู่กับพื้นที่เปิดโล่งราบเรียบแห่งหนึ่ง นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอยู่เลย

อย่างนี้นี่เอง….

ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมมิสต์ถึงบอกว่าตอนที่เส้นทางแห่งการกัดกินปรากฏขึ้นมา เขาจะรู้ได้เอง

ทั้งสองโลกแตกต่างกันขนาดนี้ คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองไม่ออก

จากที่มิสต์บอกมา เป็นไปได้สูงที่ที่นี่จะเป็นเมืองของพระเจ้า — เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะวงแหวนดวงดาวของยิปซีลอนที่ทำให้โลกแห่งความฝันขยายตัวครั้งสุดท้ายหรือว่าเป็นเพราะกองทัพทำเป้าหมายในโลกแห่งความจริงได้สำเร็จ ที่ทำให้เขามาถึงที่นี่ได้

แต่ตอนนี้คิดเรื่องพวกนี้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์

โรแลนด์ก้าวเท้าไปบนบันได

ระยะทางนี้ไม่ยาวนัก เดินมาได้ไม่นานเขาก็เดินขึ้นมาบนที่เปิดโล่งนั้น ตรงกลางพื้นที่เปิดโล่งนั้นมีบัลลังก์ที่ดูสะดุดตาอยู่อันหนึ่ง และบนนั้นก็มีคนสวมหน้ากากนั่งอยู่คนหนึ่ง ทุกอย่างดูเรียบง่ายอย่างมาก ไม่เหมือนกับ ‘ดินแดนของพระเจ้า’ ที่เขาคิดเอาไว้เลย

ก่อนหน้านี้โรแลนด์ยังคิดว่าพระเจ้าจะสร้างวิหารที่ดูหรูหราตระการตาขึ้นมาข่มเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะเรียบง่ายจนเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้น้ำเสียงแบบไหนทักอีกฝ่ายไป

“เจ้าคือ…พระเจ้างั้นเหรอ?”

ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะพูดเปิดแบบตรงๆ ออกไป

ถ้าเกิดอีกฝ่ายเป็นแค่เทวทูตหรือผู้นำทาง เขาคงขายหน้าแย่

“เจ้าจะเรียกข้าแบบนั้นก็ได้ เด็กน้อย” แต่อีกฝ่ายกลับตอบมาตรงๆ “แต่ข้าชื่นชอบอีกชื่อหนึ่งมากกว่า ผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญา”

………………………………………………………………….