ตอนที่ 1488 จุดกำเนิด Ink Stone_Fantasy
“ผู้พิทักษ์?” โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา “คอยคุ้มครองให้แต่ละอารยธรรมเดิมไปดูการดับสูญงั้นเหรอ?”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะถามแบบนี้…แต่นี่มันก็ช่วยไม่ได้จริง” อีกฝ่ายลุกขึ้นมาจากบัลลังก์ มือขวายกขึ้นมา จากนั้นลูกบอลแสงลูกหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากในมือของมัน จากนั้นผิวนอกของลูกบอลแสงก็เริ่มเปิดออกทีละชั้นๆ เผยให้เห็นโครงสร้างที่ซับซ้อนด้านใน จนกระทั่งโรแลนด์มองออกว่ามันคืออะไร
ถึงแม้จะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ในตอนที่ได้เห็นภาพนี้จริงๆ หัวใจของเขายังคงเต้นแรง
สิ่งที่ลอยอยู่บนมือของอีกฝ่ายคือโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่
เขามองเห็นดินแดนรุ่งอรุณ ที่ราบลุ่มบริบูรณ์ แล้วก็อาณาจักรเกรย์คาสเซิล ด้านนอกพื้นทวีปยังมีแบล็คสโตนกับอาณาจักรซีสกายอยู่ด้วย — แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือด้านนอกโลกมีเปลือกที่เป็นทรงรังผึ้งห่อหุ้มเอาไว้อยู่ เหมือนกับม่านพลังที่กั้นดวงดาวกับโลกภายนอกเอาไว้
ส่วนด้านล่างพื้นทวีปกับทะเลก็มีแกนที่มีความซับซ้อนอย่างมากแอบซ่อนอยู่ มันไม่เหมือนแกนโลกที่ถูกบีบอัดจนกลายเป็นทรงกลม หากแต่เป็นทรงเรขาคณิตที่ดูไม่เป็นระเบียบ เส้นทะเลตรงส่วนที่ยืดยาวขึ้นไปบนฟ้าก็ตั้งอยู่บนขอบของทรงสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งพอดี เขาถึงขนาดมองเป็นพื้นด้านล่างของทะเลน้ำวนที่เชื่อมต่อกับอาณาจักรซีสกาย เส้นทางของมันเป็นเหมือนกับขวดไคลน์
สาเหตุที่โลกนี้ดูไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ก็เพราะว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ
ดวงดาวที่ถูกสร้างขึ้นมาที่เขาเห็นอยู่ในภาพความทรงจำที่สองก็คือโลกแห่งความจริงที่เขาอยู่ในตอนนี้
ก้อนเมฆ พระอาทิตย์ พระจันทร์และดวงดาวที่มนุษย์มองเห็นล้วนแต่เป็นภาพที่ม่านพลังสร้างขึ้นมา
ส่วนในอวกาศที่อยู่ด้านนอก โรแลนด์มองเห็นแต่ความเงียบสงัด
“เจ้าคือ ‘ดวงตาคู่นั้น’” ทันใดนั้นเอง เขาพลันเข้าใจปัญหาหลายๆ ข้อขึ้นมา
พระเจ้าถอนหายใจเบาๆ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปได้ข้อมูลพวกนี้มาจากไหน แต่ไม่เป็นไร เมื่ออยู่ที่นี่ เวลาเป็นหน่วยวัดที่สามารถยืดหดได้ตามต้องการ ข้าจะสนองความอยากรู้อยากเห็นของเจ้า จากนั้น….ค่อยทำลายเจ้าซะ”
“สมแล้วที่เป็นคำพูดของผู้พิทักษ์” โรแลนด์พูดพร้อมผายมือออก ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เขาก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ หรือพูดอีกอย่างก็คือสรรพชีวิตที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ต่อให้อีกฝ่ายเป็นพระเจ้า เขาก็ห้ามแสดงความกลัวออกมา “สิ่งที่ข้าอยากจะถามมากที่สุดก็คือทำไมถึงต้องมีสงครามแห่งโชคชะตา? เขาอยากจะได้อะไรกันแน่?”
“ข้านึกว่าเจ้าจะเริ่มจากปัญหาเล็กๆ ก่อนซะอีก แต่ช่างเถอะ” มันเก็ลูกบอลลำแสงที่อยู่ในมือ จากนั้นสะบัดมือข้างหนึ่ง ด้านหลังมันพลันมี ‘จอภาพ’ จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา ก่อนจะประกอบกันกลายเป็นกำแพงที่ดูสะดุดตา
โรแลนด์พบว่าเนื้อหาที่แสดงอยู่บนหน้าจอนั้นคือ…สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ
“แผนการเกตเวย์นั้นประสบความสำเร็จ มันแตกต่างจากผลลัพธ์ที่ทำการคำนวณเอาไว้ไม่เท่าไร ภายใต้การช่วยเหลือกันของอารยธรรมต่างๆ ในที่สุดจักรวาลนี้ก็ถูกแรงดึงดูดฉีกออก จนกลายเป็นรอยแตกเล็กๆ รอยหนึ่ง” พระเจ้าค่อยๆ พูด “แต่แผนการเกตเวย์ก็ถือเป็นความล้มเหลวเหมือนกัน พลังจากดินแดนอีกด้านหนึ่งไหลทะลักเข้ามาทำลายสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาจำนวนมาก ซึ่งในนั้นรวมไปถึงผู้สร้างแผนการเกตเวย์ขึ้นมาด้วย”
นั่นคือภาพที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงท้ายของภาพความทรงจำที่สามงั้นเหรอ….
โรแลนด์นึกย้อนถึงความรู้สึกโศกเศร้าเหล่านั้นขึ้นมา มันเหมือนกับตอนนั้นเขาได้เชื่อมต่อเข้ากับทุกอารยธรรมที่มีส่วนร่วมกับแผนการนี้อย่างไรอย่างนั้น
“ถูกต้อง พลังที่ว่านี้ก็คือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า ‘เวทมนตร์’”
“มันไม่ใช่ทั้งแสง ไม่ใช่ความร้อน ไม่ใช่อนุภาค แล้วก็ไม่ใช่คลื่น — พูดง่ายๆ ก็คือมันมาจากอวกาศที่มีกฏเกณฑ์แตกต่างจากจักรวาลที่พวกเราอาศัยอยู่ ฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ล้วนแต่ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังนี้ แทบจะในพริบตานั้นเอง ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมันก็ได้เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ”
“อีกด้านหนึ่งของรอยแตก….มันคืออะไรกันแน่?” โรแลนด์อดถามขึ้นมาไม่ได้
“ไม่อาจอธิบายอย่างชัดเจนได้ เพราะยังไม่เคยมีใครก้าวข้ามรอยแตกที่บิดเบี้ยวนั้นไป แต่จากการวิเคราะห์แล้ว หลักๆ แล้วมันสามารถแบ่งออกได้เป็นสองความน่าจะเป็น —- ความเป็นไปได้แรกก็คือมันเป็นจักรวาลที่ห่อหุ้มจักรวาลของเราเอาไว้อีกทีหนึ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นสมมติฐานที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด” ตอนที่พูดถึงตรงนี้ เสียงของอีกฝ่ายพลันฟังดูล่องลอยขึ้นมา “ภาวะเอกฐานใหม่สามารถถือกำเนิดขึ้นมาจากด้านในจักรวาล ก่อนจะระเบิดกลายเป็นจักรวาลอันใหม่ แล้วก็ให้กำเนิดกฎเกณฑ์และค่าคงที่ของมันขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ต่อให้โลกของพวกเรามีจุดกำเนิดมาจากจักรวาลที่อยู่นอกรอยแตก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตกับสสารต่างๆ จะข้ามผ่านมาได้ง่ายๆ”
“ความเป็นไปได้ที่สองก็คือ ‘พื้นที่รอยแรก’ ระหว่างพหุภพ เจ้าสามารถมองว่ามันเป็นเหมือนน้ำแกงข้นๆ หม้อหนึ่งก็ได้ และพวกเราก็คือฟองอากาศที่ลอยขึ้นมา มันปรากฏขึ้นมา ขยายตัว รวมเข้าด้วยกัน แล้วก็แตกออก…แน่นอนว่าในความเป็นจริงมันซับซ้อนกว่านั้นมาก แต่นั่นมันก็อยู่เหนือขอบเขตที่เจ้าจะทำความเข้าใจไปแล้ว”
“เอาล่ะ…กลับมาเรื่องพลังเวทมนตร์กันดีกว่า” มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่ามันทำลายสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไป แต่ตอนนี้มันกลับทำให้เกิดโลกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ขึ้นมา นี่มันฟังดูแล้วขัดแย้งกันไม่ใช่เหรอ?”
ถ้าบอกว่ามนุษย์คือบุตรที่ถูกเลือกของจักรวาล อย่างนั้นมันก็ดูน่าเหลือเชื่อไปหน่อย
“พลังเวทมนตร์มีกฎเกณฑ์ที่มีความพิเศษอย่างมาก หนึ่งในกฎเกณฑ์นั้นก็คือมันถูกจิตสำนึกเปลี่ยนแปลงได้ ขณะเดียวกันมันก็สามารถเปลี่ยนแปลงเจ้าของจิตสำนึกนั้นด้วย”
โรแลนด์ตกตะลึง “อะไรนะ?”
“สิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่ถูกเปลี่ยนแปลงก็คือผู้ที่มีส่วนร่วมกับแผนการเกตเวย์ โครงสร้างของพวกมันถูกบิดเบือนและประกอบขึ้นมาใหม่ หลังผ่านการเปลี่ยนนับสิบล้านปี สุดท้ายมันก็กลายเป็นร่างผลึกที่มีความพิเศษ หรือก็คือหินเวทมนตร์ที่พวกเจ้าใช้กัน” พระเจ้าพูดด้วยเสียงราบเรียบ “และเป็นเพราะข้าไม่ได้จัดอยู่ในรูปแบบของสิ่งมีชีวิต ข้าถึงได้รอดมาได้ แต่ข้าก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักเหมือนกัน ต้องใช้เวลาอยู่หลายหมื่นปีกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา แรงดึงดูดก็ไม่ใช่พลังที่น่าเคารพบูชาที่สุดบนโลกนี้อีกต่อไป”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี
แต่สำหรับคำพูดที่บอกว่าผู้พิทักษ์ไม่ได้จัดอยู่ในร่างสิ่งชีวิต โรแลนด์กลับไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะแผนการเกตเวย์คือภารกิจที่ก้าวข้ามกาแล็คซี่นับแสนล้านและมีอารยธรรมแสนเจ็ดหมื่นอารยธรรมเข้าร่วม การจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในช่วงเวลาอันแสนยาวนานนี้ ผู้ประสานงานนั้นไม่มีทางที่จะเป็นร่างสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็เผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่งอย่างแน่นอน
มันเกิดขึ้นมาก็เพื่อแผนการนี้
“หลังจากนั้น ‘เปล’ ก็ถูกสร้างขึ้นมา มันเป็นโลกที่หยิบยืมพลังเวทมนตร์ในการสร้างขึ้นมา เพียงแต่ว่าระดับความเข้มข้นของพลังเวทมนตร์ของมันได้ถูกจำกัดเอาไว้ ข้าได้คัดเลือกเอาสิ่งมีชีวิตจากฐานข้อมูลที่ชำรุดเสียหายแล้วเริ่มเลี้ยงดูฟูมฟักขึ้นมาใหม่ ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่บนกฎเกณฑ์ใหม่ เนื่องจากการแข่งขันสามารถเพิ่มความเร็วในการวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ได้ ด้วยเหตุนี้เปลจึงคัดเลือดเอาสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่มีสภาพแวดล้อมในการอยู่อาศัยที่ใกล้เคียงกันมาอยู่ด้วยกัน แต่จากการคำนวณก็ทำให้พบว่าระยะเวลาของกระบวนการนี้กินเวลายาวนานจนไม่สามารถประมาณได้ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดก็ได้จำกัดการเติบโตอย่างมีอิสระเอาไว้ ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นต้องนำเอาแรงจากภายนอกมาช่วยเร่งกระบวนการนี้ว่านี้”
“….ชิ้นส่วนสืบทอด” โรแลนด์พูดเบาๆ
“นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น” อีกฝ่ายพยักหน้า “ส่วนเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้วข้าอยากจะได้อะไร ความจริงแล้วมันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น ผู้สร้างแผนการเกตเวย์หรือก็คืออารยธรรมที่สร้างข้าขึ้นมา ไม่ได้คิดแค่เพียงที่จะทำให้จักรวาลมีชีวิตต่อไป มันไม่เคยคิดที่จะหยุดก้าวไปข้างหน้า แม้กระทั่งก่อนที่จะตายก็ไม่คิดที่จะหยุด การเปิดรอยแตกนั้นเป็นแค่เพียงก้าวแรก เป้าหมายที่แท้จริงของมันคือการออกไปดูดินแดนที่ยังไม่เคยมีใครย่างกรายเข้าไปแห่งนั้น”
“มันมอบหมายหน้าที่นี้ให้ข้า และภารกิจสุดท้ายที่ข้าต้องทำก็คือสร้างอารยธรรมที่สามารถปรับตัวเขากับกฎเกณฑ์ของทั้งสองโลกได้” มันหยุดชะงักไปเล็กน้อย “และการแข่งขันกับการวิวัฒนาการนี้ก็คือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าสงครามแห่งโชคชะตา”
……………………………………………………………………………