บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลสองคนยืนเคียงบ่ากัน ผ้าคลุมไหล่โบกสะบัด แต่ละคนมองดูจุดกำเนิดของความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดหวั่นอยู่ห่างๆ… ผนังกั้นโลกกำเนิดโพรงดำทะมึนระเบิดออก เงาร่างในอาภรณ์ขาวก็ทะยานออกมาจากโพรงดำทะมึน มือหนึ่งถือหอกชิงเหอ อีกมือถือมงกุฎมรณะ กลิ่นอายร้ายกาจอันไร้รูปร่างนั้น แม้กระทั่งอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางไกลก็ยังสามารถรู้สึกได้
“โชคดีนะ โชคดีที่เจ้า ราตรีนิรันดร์ยอมก้มหัวไปก่อนหน้านี้แล้ว” บรรพชนนิจรัตติกาลพูดยิ้มๆ
“มิฉะนั้นหลังจากราชันย์อนธการอมตะ บุคคลผู้ไร้เทียมทานคนต่อไปที่จะต้องตายก็คือเจ้าแล้วล่ะ”
“ถูกต้อง” บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็มองดู นัยน์ตาของเขามีประกายสีทองจางๆ “โชคดีที่ยอมก้มหัว ข้าคาดการณ์ว่าเมื่อใดที่เขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ถึงแม้จะเป็นวิถีอากาศ แต่พลังยุทธ์ก็ยังสามารถกดดันราชันย์อนธการอมตะได้เลยทีเดียว ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของเขา พลังยุทธ์ของข้าก็ลดต่ำลงอย่างมหาศาล ถึงแม้จะอยู่ที่เมืองราตรีนิรันดร์ เกรงว่าข้าก็อาจจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ดี แต่คิดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งราชันย์อนธการอมตะก็ยังถูกสังหารได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”
ถึงแม้ว่ากระบวนการจะพลิกผันไปบ้างเล็กน้อย แต่ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาก่อนหน้านี้ตายไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ก็ยังเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเกินไปอยู่ดี!
“ราชันย์อนธการช่างร้ายกาจยิ่งนัก ในท้ายที่สุดก็ใช้เคล็ดวิชาต่างๆ นานาอย่างสุดชีวิต มีเป็นจำนวนมากที่ข้าเองก็ยังมองไม่ทะลุปรุโปร่ง ถึงขนาดที่รู้สึกว่ามีพลังคุกคามอย่างมหาศาลเลยทีเดียว” บรรพชนนิจรัตติกาลพูดยิ้มๆ “เพียงแต่ว่าเคล็ดวิชาของเขาล้วนไร้ประโยชน์ต่อจ้าวหิมะเหินก็เท่านั้นเอง”
“ต่อจากนี้เป็นต้นไป เหนือศีรษะก็มีหอกยาวอันน่าหวาดหวั่นเพิ่มขึ้นมาอีกเล่มหนึ่งแล้ว ถ้าหากพวกเราตระบัดสัตย์ก็สามารถปลิดชีวิตพวกเราได้ตลอดเวลาเลยสินะ” บรรพชนราตรีนิรันดร์หัวเราะเยาะตนเองเสียงหนึ่ง
พวกเขาบุคคลผู้ไร้เทียมทานเหล่านี้
แม้กระทั่งเหล่าบุคคลขั้นสุดยอดระดับสามัญก็ดำรงชีวิตเป็นอิสระมาโดยตลอด มีบางทีที่เรียกได้ว่า ‘ทำอะไรตามใจชอบ’ สังหารหมู่เมืองสักแห่งหนึ่งแล้วจะนับเป็นอะไรได้ ทำการบูชาโลหิตแล้วจะนับเป็นอะไรได้ ถึงอย่างไรก็มิได้เกรงกลัวฟ้าดิน ไม่มีผู้ใดสามารถคุกคามเอาชีวิตพวกเขาได้ ต่อให้เป็น ‘หยวน’ ผู้สูงส่ง ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบของสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา หยวนก็คร้านที่จะมาสนใจมดปลวกจำนวนนับไม่ถ้วน
แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่กล้า ‘ทำอะไรตามใจชอบ’ อีกแล้ว
ซ่อนตัวอยู่ในที่มั่นก็ไร้ประโยชน์! การจะสร้างค่ายกลขนาดใหญ่แต่ละแห่งใน ‘ที่มั่น’ และยิ่งเป็นสุดยอดค่ายกล มูลค่าก็ยิ่งมหาศาล! พลังยุทธ์ไปถึงระดับไร้เทียมทาน พลังยุทธ์ยิ่งยกระดับขึ้นไปอีกอย่างนั้นหรือ มูลค่าก็ยิ่งสูงเกินไปเสียแล้ว! อย่างเช่นจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนราตรีนิรันดร์ และคนอื่นๆ ที่ร้ายกาจอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในที่มั่นของตน แต่การเพิ่มพูนขึ้นของพลังยุทธ์ก็ไม่สามารถเพิ่มได้อย่างมหาศาลมากนัก ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาก็ไม่สามารถสร้างค่ายกลระดับสุดยอดได้มากเพียงพออย่างไร้ซึ่งขีดจำกัด
ในทางกลับกัน พลังยุทธ์ยิ่งอ่อนแอกลับยิ่งยกระดับได้อย่างน่าเหลือเชื่อกว่า
อย่างเช่นขั้นสุดยอดระดับสามัญ เพราะไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า พลังรบของตนเองก็อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง ได้รับความช่วยเหลือของค่ายกลในที่มั่นจึงเด่นชัดยิ่งขึ้น มีพลังรบเทียบได้กับ ‘ระดับไร้เทียมทาน’ ภายในที่มั่น
ก็เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิง!
มาถึงระดับขั้นเช่นเขา การสร้างค่ายกลมากมายที่เหมาะสมกับระดับขั้นในตอนนี้ภายในที่มั่น มูลค่าก็ต้องสูงจนเหนือธรรมดาแล้ว จะต้องเสาะหาวัสดุที่สามารถทนต่อค่ายกลเจ็ดกระบวนคละถิ่นกระบวนที่เจ็ดได้ ช่างหาได้ยากยิ่ง! ราชันย์อนธการอมตะก็อึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากก่อสร้างที่มั่นโดยไม่คำนึงถึงมูลค่า แต่อาศัยพลังยุทธ์ซึ่งที่มั่นแสดงออกมา เกรงว่าผลลัพธ์ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ผลของการเผาผลาญโลหิตหัวใจได้!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า แม้กระทั่งยอมจ่ายมูลค่ามหาศาลในการก่อสร้างที่มั่น ยึดติดกับที่มั่น! ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะเทียบเคียงได้กับการเผาผลาญโลหิตหัวใจอย่างพอถูไถ ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ง ‘ประมุขโลก’ กลุ่มใหญ่ไป สร้างเป็นค่ายกลรบล้อมโจมตี เขาก็ยังต้องหนีเอาชีวิตรอด!
“ร่างกายแกร่งกล้า!”
“เคล็ดวิชาวิญญาณน่าอัศจรรย์!”
“ทั้งยังสามารถเรียกตัวประมุขโลกกลุ่มใหญ่มาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย”
เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็หวาดหวั่นพรั่นพรึง
‘จ้าวหิมะเหิน’ ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศผู้นี้ก็คือขั้นสุดยอดที่มีพลังคุกคามกล้าแกร่งที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ในประวัติศาสตร์เคยมีมา
“สังหารราชันย์อนธการ หลังกลับมาแล้วยังระเบิดทำลายผนังกั้นโลกกำเนิด ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตอีกด้วย ถึงขนาดที่ยังเจตนาถือมงกุฎมรณะเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะข่มขู่ทั้งใต้หล้า ในภายภาคหน้าดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปแล้วล่ะ!” ผู้แกร่งกล้ามากมายต่างก็คาดการณ์กันถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้อย่างรางๆ จากการที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจงใจถือมงกุฎมรณะ
******
เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้
นอกจากพญามารที่ยอมก้มหัวศิโรราบให้สัตย์สาบานตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ตนอื่นๆ ที่จองหองอหังการจำนวนหนึ่ง เดิมทียังคิดจะลองทดสอบดูสักหน่อย ยังไม่อยากจะยอมก้มหัวไปให้สัตย์สาบานผูกมัดตนเอง! แต่ตอนนี้นึกอยากจะขอร้องก็สายเกินไปเสียแล้ว!
“จ้าวท่าน ข้าอยากจะให้สัตย์สาบาน ข้า…”
“สายไปแล้วล่ะ”
……
“จ้าวท่าน ข้าจะไม่ทำการสังหารอีกแล้ว ข้าจะไม่ทำการสังหารตลอดไป”
“แต่เจ้าเคยทำการสังหารมาก่อนแล้วนี่”
……
เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น
ก็ทำให้ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาพลิกผัน ในรายนามก็มีชื่อของบรรดาพญามารที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจำนวนมากพอสมควรที่ล้วนเป็นระดับจอมเคารพ ขอเพียงแค่มิได้มาก้มหัว มาให้สัตย์สาบานก่อนหน้าที่ตนจะต่อสู้กับ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว!
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางผืนฟ้ายามราตรี มองดูมารตนหนึ่งที่สูญสลายอยู่ไกลออกไป “ถ้าหากข้าอภัยให้เจ้า แล้วใครจะไปชดใช้ให้กับล้านล้านชีวิตที่ถูกเจ้าสังหารหมู่ไปกันเล่า”
สำหรับบรรดามาร รวมถึงพญามารมากมายอย่างบรรพชนราตรีนิรันดร์ ประมุขรัฐจันทร์บุปผา และประมุขเกาะจันปา ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็นึกอยากสังหารอยู่แล้ว เพราะว่าบรรดามารเหล่านี้มือเปื้อนหยาดโลหิตมากมายเหลือคณา
แต่ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เขาก็ไม่มีพลังยุทธ์เพียงพอ
บรรดาพญามารฝ่ายต่างๆ ล้วนสามารถคาดเดาได้ว่า… เมื่อใดที่จ้าวหิมะเหินผู้นี้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก็เป็นวันจบชีวิตของพวกเขาแล้ว จำนวนมากมายต่างก็มาก้มหัวให้! ถ้าหากตนไม่ให้โอกาส ‘รอดชีวิต’ กับพวกเขาสักหน่อยก็เกรงว่าบรรดาพญามารเหล่านี้อาจจะบ้าคลั่งขึ้นมาก็เป็นได้
ดังนั้นก็ได้แต่ ‘ประนีประนอม’
เพียงแค่ยอมก้มหัว ให้สัตย์สาบานผูกมัด ก็จะยอมมองข้ามอดีตไป!
“ตอนนี้ข้ามีพลังยุทธ์ที่จะลงโทษได้แล้ว! ขอความปรานีอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความโหดเหี้ยมอย่างยิ่งขึ้นในใจ “ไม่ทำการสังหารให้มากพอแล้วจะข่มชนรุ่นหลังได้หรือ จะเปลี่ยนแปลงยุคสมัยได้อย่างไรกัน”
******
มารระดับเทพจักรวาล ถ้ามิได้มาก้มหัวให้สัตย์สาบานแต่เนิ่นๆ ผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวก็ถูกผลาญไปจนหมดสิ้น!
หลังจากผ่านวารวันอันน่าหวาดหวั่นที่ขนานนามว่าเป็น ‘ราตรีผลาญมาร’ ไปแล้ว บรรยากาศทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็ไม่มี ‘การบูชาโลหิต’ อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าผู้ที่รู้จักการหลอมแก่นวิญญาณโลหิตออกมาก็มีเพียงแค่พญามารระดับสุดยอดไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็ไม่กล้าทำตัวชั่วช้าอีกต่อไปแล้ว การบูชาโลหิตสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่มีมารที่กล้ารนหาที่ตายเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อใดที่มารถูกค้นพบ
ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือ เหล่าผู้แกร่งกล้าที่ตนเองมิอาจทนเห็นความชั่วร้ายได้จำนวนมากก็จัดการลงมือกันเองไปแล้ว
……
“ยุคสมัยเปลี่ยนไปจริงๆ เสียแล้วสิ”
“เขาเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาจริงๆ เสียด้วย”
เทพจักรวาลมากมายมองดูความเปลี่ยนแปลงของดินแดนจิตโลกาแล้วก็อดตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่งมิได้
……
ตามกาลเวลาที่เคลื่อนผ่าน
บนดินแดนจิตโลกา ผู้บำเพ็ญยุคใหม่จำนวนมากต่างก็พากันตกตะลึง “อะไรนะ ในอดีตมีการบูชาโลหิตด้วยหรือ สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตในเมืองแห่งหนึ่งถึงกับถูกสังหารหมู่บูชาโลหิตจนหมดสิ้นไม่เหลือเลยแม้แต่คนเดียวอย่างนั้นหรือ จริงหรือเท็จกันนี่”
“พญามารในอดีตสามารถทำการสังหารสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตได้อย่างง่ายดายเลยหรือ เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง! จะมีมารที่บ้าคลั่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนก็ย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว
เพราะดินแดนจิตโลกาในตอนนี้ ‘มาร’ นั้นเป็นที่รังเกียจของทุกคน! เมื่อใดที่ค้นพบมารก็จะมีเหล่าผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งไปทำการไล่ล่าสังหาร แต่ละคน ‘รักความยุติธรรม’ กันเป็นอย่างยิ่ง ในความเป็นจริงแล้วมารที่เรียกกันในตอนนี้… ก่อนหน้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรุ่งเรืองขึ้นมาก็นับได้เป็นเพียงแค่ตัวเล็กตัวน้อยบางส่วนที่รวมตัวกันอยู่ที่สถานที่รวมตัวของมารเหล่านั้นเท่านั้นเอง
“มารเฒ่าลวี่ซา เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”
“พลพรรคที่ทดลองหลอมหลายกลุ่มถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง พวกเรายังคิดว่าทดลองหลอมแล้วประสบกับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า มารเฒ่าผู้นี้ รับความตายเสียเถิด!”
เงาร่างเจ็ดสายไล่ตามชายชราอาภรณ์เขียวที่วิ่งหนีอย่างรวดเร็วผู้หนึ่ง
และบนยอดเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปแห่งหนึ่ง
มีเงาร่างสองสายยืนอยู่ คนหนึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาว ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจักรพรรดิเซี่ยในอาภรณ์ดำตัวหลวม พวกเขาสองคนยืนเคียงบ่ากันมองดูทุกสิ่งทุกอย่างนี้
“ฮ่าฮ่า หิมะเหิน ช่างล้ำเลิศเสียจริง เหมือนเจ้าเพิ่งปลิดชีพราชันย์อนธการอมตะไปเมื่อวานนี้เอง
ตอนนี้บรรยากาศทุกระดับทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ยังไม่กล้าคิดเลยว่า…ดินแดนจิตโลกาจะเปลี่ยนมาเป็นดังเช่นทุกวันนี้ได้” จักรพรรดิเซี่ยพูดยิ้มๆ “แบบนี้ยังถูกเรียกว่ามารเฒ่าได้ด้วยหรือ ถึงขนาดที่ถูกไล่ล่าสังหารอย่างน่าอนาถหาใดเปรียบเช่นนี้น่ะหรือ”
“เมื่อวานนี้อะไรกัน นี่ผ่านไปกว่าสองแสนล้านปีแล้วนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างอดมิได้ สำหรับจักรพรรดิเซี่ยแล้วช่างเป็นเวลาแสนสั้น แต่สำหรับเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ผ่านมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานพอดูเลยทีเดียว
สองแสนล้านปี
ก็เพียงพอที่จะมีผู้มีพรสวรรค์ขั้นอลวนยุคแล้วยุคเล่าถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว! จำนวนสิ่งมีชีวิตบนดินแดนจิตโลกาก็มากมายกว่าเมื่อก่อนอย่างมหาศาลเหลือเกินแล้ว เพราะว่าเมืองเล็กแห่งหนึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า แม้กระทั่งมารระดับขั้นอลวนก็ยังพบเห็นได้ยากยิ่ง
“สองแสนล้านปีกว่า ช่างแสนสั้นนัก” จักรพรรดิเซี่ยรำพึง “แต่พูดขึ้นมาแล้วข้าก็ยังชมชอบโลกเช่นนี้มากกว่านะ”
………………………………………………….