“ข้าเองก็ชมชอบโลกเช่นนี้เหมือนกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนยอดเขาพลางมองดูโลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้แล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา
เมื่อก่อนภายในใจอยากจะเปลี่ยนแปลงทั้งโลก ทำให้เหล่ามารไม่มีทางเหิมเกริมทำตามอำเภอใจได้อีกต่อไป แม้กระทั่งตัวเองก็ยังคิดว่าเป้าหมายนี้ช่างห่างไกลเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มองเขาในแง่ดี เหล่าผู้แกร่งกล้าของดินแดนจิตโลกาในตอนนั้นคุ้นเคยกับความเป็นระเบียบในตอนนั้นอยู่ก่อนแล้ว คุ้นเคยกับการที่ผู้แกร่งกล้า ‘ขั้นสุดยอด’ เป็นอิสระเสรี ไม่มีใครสามารถคุกคามได้
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปในที่สุด!
“แต่เจ้าเห็นภัยร้ายที่แฝงอยู่เบื้องหลังแล้วหรือไม่” จักรพรรดิเซี่ยพูด
“ภัยร้ายที่แฝงอยู่เบื้องหลังหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“จำนวนคนอย่างไรเล่า” จักรพรรดิเซี่ยพูด“ ถึงแม้ว่าเหล่าผู้บำเพ็ญจะขยายเผ่าพันธุ์อย่างเนิ่นช้ายิ่ง โดยทั่วไปแล้วก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจึงจะปลอดภัยกว่า ที่ว่างภายในเมืองก็มีอยู่จำกัด แต่ในที่สุดก็ผ่านไปสองแสนล้านปีแล้ว ตอนนี้การสร้างปราการเมืองก็มากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้บำเพ็ญก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาระรับผิดชอบต่อดินแดนจิตโลกาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เท่าที่ข้ารู้ ดินแดนจิตโลกานั้นไม่เหมือนกับโลกกำเนิดแห่งอื่นๆ โลกกำเนิดอื่นสามารถเกิดมหาวินาศขึ้นได้ ทั้งหมดทั้งมวลกลับไปสู่จุดเริ่มต้น แล้วเริ่มขยับขยายใหม่อีกครั้ง ทว่าดินแดนจิตโลกาเป็นสิ่งที่ ‘หยวน’ สร้างขึ้น จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีทางเกิดมหาวินาศ แต่จำนวนคนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดินแดนจิตโลกาไม่มีทางทนรับได้อย่างไร้ซึ่งขีดจำกัดหรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ “ใช่แล้ว”
“ตอนนี้สองแสนล้านปี ภาระรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นยังอยู่ในอาณาบริเวณที่ดินแดนจิตโลการับได้ แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ต้องมีสักวันที่เกรงว่าดินแดนจิตโลกาจะเกิดการตอบโต้ขึ้นมา” จักรพรรดิเซี่ยพูด “หรือว่า ‘หยวน’ จะกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่ ในท้ายที่สุดก็จะต้องกดดันผู้คนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาอย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่า หยวนกำหนดกฎเกณฑ์ ก็ไม่มีทางสังหารหมู่ในทันทีหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด อย่างเช่นโอกาสที่วังเทพจิตโลกาเหลือเอาไว้ โอกาสเพื่อให้เหล่าขั้นสุดยอดแต่ละคนเตรียมตัว และสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าต่างๆ เป็นต้น เห็นได้ชัดว่า ‘หยวน’ ก็ยังปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอด้วยความปรานีเป็นอย่างยิ่ง
จักรพรรดิเซี่ยก็พยักหน้าน้อยๆ
พวกเขาสองคนมิได้พูดอะไรกันมากมายอีก เพราะ ‘หยวน’ จะทำเช่นไรนั้นพวกเขาก็มิอาจพูดให้ชัดเจนได้
อาจจะมีเมตตาสักหน่อย อย่างเช่นเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์โดยตรง กำหนดให้ระดับความยากในการขยายเผ่าพันธุ์ของผู้บำเพ็ญเพิ่มพูนขึ้น! เช่นนี้การเพิ่มจำนวนประชากรก็ย่อมยากเย็นเป็นธรรมดา
แล้วก็เป็นไปได้ว่าจะโหดเหี้ยมกว่า เช่นให้ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง เป็นต้น……
ทั้งหมดล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น
“ไปกันเถิด”
เงาร่างของคนทั้งสองหายลับไปกลางอากาศในทันใด
……
ณ คีรีมารสกุลฝาน
“ท่านอาจารย์ ข้าพลิกอ่านตำราภายในชนเผ่า ได้ทราบมาว่าภายในสกุลฝานของพวกเรามี ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ อยู่ ซึ่งมันมีส่วนช่วยเหลือในการบำเพ็ญวิถีวิญญาณอย่างมหาศาล ตอนนี้ข้าห่างจากการเป็นเทพจักรวาลอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สามารถให้ข้าไปบำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตได้หรือไม่ขอรับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกับชายชราอาภรณ์ดำข้างกาย
“ต้นไม้เทพผลาญจิตหรือ” ชายชราอาภรณ์ดำถลึงตาจ้องมอง “ตอนนี้สกุลฝานของข้ายกให้จ้าวหิมะเหินผู้นั้นไปหมดแล้ว โอกาสที่จะได้สมบัติล้ำค่ามาก็เพิ่มขึ้นมิใช่น้อย เช่นนี้ข้าส่งเจ้าไปยัง ‘ตำหนักมารลวง’ ก็แล้วกัน ส่วนต้นไม้เทพผลาญจิตนั่น เจ้าก็อย่าได้ไปนึกถึงมันอีกเลยนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยว่า “เพราะเหตุใดกัน ข้าพลิกอ่านตำรา ในตำราบันทึกเอาไว้ว่าตั้งแต่บรรพชนคิดค้นเคล็ดวิเศษไร้ภาพออกมาภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต ก็ใช้ต้นไม้เทพผลาญจิตในการบำเพ็ญเพียงน้อยนิดยิ่งนัก ศิษย์ภายในเผ่าก็ควรจะสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ แต่ข้ากลับหาของสิ่งนี้ไม่พบบนสายพานแลกเปลี่ยนเลยนะขอรับ”
“หาไม่พบก็ถูกต้องแล้วนี่! ”ชายชราอาภรณ์ดำถ่ายเสียงพูด “ตอนนี้จ้าวหิมะเหินผู้นั้นก็บำเพ็ญอยู่ใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตนั่นแหละ!”
“จ้าวหิมะเหินหรือ” ชายหนุ่มจับจ้อง
จ้าวหิมะเหิน
ผู้ที่มีผลกระทบยิ่งใหญ่เหลือเกินในดินแดนจิตโลกาในตอนนี้ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา! นั่นเป็นเพราะอิทธิพลของการสังหาร ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ผู้เคยเป็นอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา ทำให้บรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานและขั้นสุดยอดระดับสามัญต่างก็ต้องพรั่นพรึง ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญมากมายเท่าใดที่เคารพนบนอบต่อ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้
อย่างเช่นรัฐโบราณคิมหันตวายุ เพราะว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวหิมะเหิน ก็ได้รับผลประโยชน์มากพอสมควร ตอนนี้ก็มีอิทธิพลแข็งแกร่งกว่ารัฐโบราณสหโลกาอยู่ขั้นหนึ่ง
“รู้แล้วกระมัง ข้าจะส่งเจ้าไปยังตำหนักมารลวง อย่าได้คิดถึงต้นไม้เทพผลาญจิตเป็นการชั่วคราว รอให้จ้าวหิมะเหินผู้นั้นจากไปแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็คงมีโอกาสแล้วล่ะ” ชายชราอาภรณ์ดำเอ่ยแนะนำ
“ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าจ้าวหิมะเหินก็อยู่บนคีรีมารสกุลฝานของพวกเราอย่างนั้นหรือ ข้า ข้า ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่เคยรู้เลย” ชายหนุ่มตื่นเต้นอย่างที่สุด “ท่านอาจารย์ขอรับ ข้าจะไปคารวะเขาสักคราหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”
ยามเยาว์วัย ก็โตขึ้นมากับการฟังเรื่องราวของจ้าวหิมะเหินผู้นี้นั่นเอง
“คารวะหรือ จ้าวหิมะเหินกำลังสงบจิตใจบำเพ็ญ เจ้าว่าจะไปรบกวนได้หรืออย่างไรกัน” ชายชราอาภรณ์ดำเอ่ยเสียงแข็ง “ท่านบรรพชนเคยมีบัญชาเอาไว้แล้วว่าห้ามไปรบกวนเขาเด็ดขาด”
โอ้” ชายหนุ่มฟังแล้วก็คันยุบยิบในใจ
“ท่านอาจารย์ ท่านสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าต้นไม้เทพผลาญจิตอยู่ในทิศทางใดหรือขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
ชายชราอาภรณ์ดำส่ายหน้าพลางแย้มยิ้มแล้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “อยู่ที่นั่น”
ชายหนุ่มมองตามไปไกล นัยน์ตาเผยแววตื่นเต้นคาดหวัง
ทิศทางนั้นนั่นเอง…
อยู่ที่คีรีมารสกุลฝาน ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาผู้นั้น บำเพ็ญอยู่ที่นั่นเอง!
……
ในความเป็นจริงแล้วเหล่าเทพจักรวาลส่วนใหญ่ต่างก็รู้ว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับรัฐโบราณคิมหันตวายุ
อย่างเช่น ‘จ้าวหิมะเหิน’ และ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ก็สนทนากันอยู่บ่อยๆ คนทั้งสองดื่มสุราด้วยกันอยู่เป็นประจำ และปรากฏตัวขึ้นที่ใดสักแห่งในดินแดนจิตโลกาเพื่อประลองเรียนรู้ซึ่งกันและกันอยู่เสมอ! พวกเขาสองคนต่างก็เป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ นอกจากนี้คนทั้งสองต่างก็ได้รับสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ สื่อสารระหว่างกันขึ้นมาก็มีประโยชน์ต่อทั้งคู่เป็นอย่างยิ่ง
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง ‘จ้าวหิมะเหิน’ กับ ‘บรรพชนฝาน’ ก็แพร่หลายออกไปนานแล้ว
บรรพชนฝานถึงกับจงใจปล่อยข่าวให้แพร่ออกไปภายนอก ทำให้เหล่าเทพจักรวาลทั่วหล้าล่วงรู้ว่าจ้าวหิมะเหินมีร่างแยกร่างหนึ่งที่อาศัยบำเพ็ญอยู่ที่คีรีมารสกุลฝานเป็นระยะเวลายาวนาน! นี่ทำให้เหล่าเทพจักรวาลทั่วหล้าต่างพากันอิจฉาตาร้อน เพราะพวกเขาแต่ละคนต่างก็มุ่งมาดปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้ เพราะว่านอกจาก ‘จ้าวหิมะเหิน’ จะมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งแล้วก็ยังมีอิทธิพลภายในหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอย่างยิ่ง มีโอกาสได้สมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน
ไม่เห็นหรือว่าจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จอมกระบี่ปีศาจ และจักรพรรดิชางได้รับประโยชน์ด้วยเหตุนี้
ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเดินยืดอกไปทั่ว
ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้แม่เฒ่าอิงซานก็สำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว
“พรึ่บ…”
ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ ใบไม้สีม่วงเข้มปลิวว่อนตามสายลม เขาลืมตาขึ้น นัยน์ตามีแววเศร้าสลดสายหนึ่ง
“ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำเสียงต่ำกับตนเอง “ตอนนั้นระยะเวลาที่สังเกตการณ์หยาดน้ำพันเนตรสั้นเกินไปเสียแล้ว ถ้าหากสามารถให้ข้าหยั่งรู้โดยละเอียดได้ก็ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะคิดค้นท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมาได้แล้วก็เป็นได้”
ระยะเวลาเนิ่นนานเช่นนี้
เกาะลอยคว้างที่มีดวงตาลึกลับของหุบเขาเขี้ยวหัก เขาเคยบุกเข้าไปทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง และได้จดจำส่วนประกอบโลกเขตลวงภายในดวงตาลึกลับเหล่านั้นเอาไว้จนหมด ตอนนั้นเขาอ้างอิงจากส่วนประกอบโลกเขตลวงของดวงตาสีเทา จนในที่สุดก็ตระหนักรู้ท่าไม้ตายแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียม…ความสว่างไสวของโลกลวง! เพราะเคยสำรวจดวงตาสีทองมาหมดแล้ว หลังจากที่สังหารราชันย์อนธการอมตะไปแปดหมื่นล้านปี เขาก็คิดค้นท่าไม้ตายที่สองของวิถีเขตลวงโลกเทียม…การสังหารของโลกลวง ออกมาได้!
“เหมือนกันกับที่ข้าคาดการณ์เอาไว้เลย ท่าไม้ตายทั้งสองนี้ไม่สามารถใช้การกับศัตรูคนหนึ่งๆ พร้อมกันได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
ความสว่างไสวของโลกลวงคือการดึงดูดศัตรูให้จ่อมจมและหลงใหล
ส่วนการสังหารของโลกลวงคือความต้องการที่จะผลาญสังหารวิญญาณของศัตรูโดยตรง สังหารมิได้ก็ต้องได้รับบาดเจ็บ!
ทั้งสองเป็นโลกลวงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
วิญญาณของศัตรูสามารถเข้าไปในโลกลวงได้เพียงแห่งเดียวในชั่วขณะหนึ่งๆ
“นอกจากโลกลวงของข้า การจะสามารถรวบรวม ‘ความสว่างไสว’ และ ‘การสังหาร’ เข้าไว้ด้วยกันนั้นช่างยากเย็นยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะลองดูหยาดน้ำพันเนตรอีกครั้งเป็นอย่างยิ่ง เพราะส่วนประกอบภายในหยาดน้ำพันเนตรก็คือโลกพันเนตรอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
“จักรพรรดิเป่ยเหอ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงตรงนี้แล้วก็ไม่ยอมจำนนใจอยู่บ้าง
ถ้าหากมีหยาดน้ำพันเนตรก็ไม่แน่ว่าอาจจะคิดค้นท่าไม้ตายที่สามออกมาได้ ท่าไม้ตายที่สามผสานรวมกับท่าไม้ตายทั้งสองก่อนหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ ก็ย่อมมีการยกระดับพื้นฐานเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าตนเองก็อาจจะสามารถอาศัยงวิถีเขตลวงโลกเทียมนี้ไปถึง ‘ขั้นสุดยอด’ ได้! แน่นอนว่าการไปถึงขั้นสุดยอดก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ยังจำเป็นต้องเผชิญกับอุปสรรคอันสาหัสต่างๆ แต่อย่างน้อยคิดค้นออกมาได้ ความเข้าใจต่อวิถีเขตลวงโลกเทียมของตนก็สามารถลึกล้ำยิ่งขึ้นไปได้อีกขั้นหนึ่ง
แต่ทั้งหมดนี้กลับถูกทำลายเสียแล้ว
“จักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้เข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ เข้าไปคราวนี้แล้วก็มิได้กลับออกมาอีกเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “กลัวว่าข้าจะแก้แค้น ดังนั้นจึงคอยอยู่ข้างในมาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ขอเพียงแค่พลังของหยาดน้ำพันเนตรหมดสิ้นไป เขาก็จำเป็นต้องออกมาแล้ว มิฉะนั้นก็จะมิอาจออกมาได้อีกไปตลอดกาลแล้วล่ะ”
ต่อให้เขาออกมา
เกรงว่าหยาดน้ำพันเนตรก็คงมลายหายไปเพราะพลังภายในหมดสิ้นไป!
“หยาดน้ำพันเนตร” หลายปีมานี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปยังเกาะลอยคว้างมากมาย แต่ก็ไม่เคยได้หยาดน้ำพันเนตรหรือว่าไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษใดๆ มาอีกเลยสักอันเดียว! ในประวัติศาสตร์ การจะได้มาซึ่งสมบัติชั้นยอดทั้งสองนี้ช่างลำบากยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง โดยทั่วไปล้วนเป็นห้ายอดเคารพที่ได้มาครอง อย่างเช่นคราวก่อนที่ ‘ทะเลสาบใบไม้ดำ’ มีเพียงแค่แรงกดดันที่มีต่อวิญญาณ ไม่มีอันตรายอื่นๆ ตนก็โชคดีมีโอกาสสามารถได้หยาดน้ำพันเนตรหยดหนึ่งมาครอบครอง แต่กลับไม่เคยมีโอกาสอีกเลย
“ไม่มีโอกาสได้หยาดน้ำพันเนตรมาครองอีกแล้วหรือ เอาเถิด ต่อให้ไม่มี ข้าก็สามารถคิดค้นออกมาได้อยู่ดี บางทีการที่เป็นเช่นนี้ การสั่งสมวิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าก็อาจจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นอีกก็เป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่ปลอบประโลมตนเองเช่นนี้ สงบจิตใจลงในทันทีแล้วสำรวมจิตใจบำเพ็ญต่อไป ขัดเกลาท่าไม้ตายทั้งสองของวิถีเขตลวงโลกเทียมที่ผสานรวมกัน
………………………………………..