ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 3 เชื้อเชิญ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ณ จวนจ้าวในเมืองหิมะเหิน

ภายใต้ศาลาริมทะเลสาบ ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเซี่ยนั่งประจันหน้ากัน คนทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่

“เดิมทีการฝึกกายคละถิ่นก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดค้นขึ้นมาอยู่แล้ว น้องหิมะเหิน เจ้าก็เชื่อข้าเถิด” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “อาศัยมิติคละถิ่นเป็นครรภ์มารดา ฟูมฟักหลอมรวมเป็นร่างกาย ถ้าหากสามารถทำได้สำเร็จ เชื่อว่าเมื่อสำเร็จแล้วก็จะเป็นร่างกายของระดับชีวิตคละถิ่นแล้ว เส้นทางสายนี้ จึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง!”

“พวกเราก็เคยทดลองกันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว นอกจากนี้ ข้าก็รู้สึกว่า คิดอยากจะก้าวข้ามแต่ละก้าวจากขั้นสุดยอดไปจนมีร่างกายระดับคละถิ่น หรือแม้กระทั่งอาศัยสิ่งนี้สำเร็จเป็นคละถิ่น ก็ออกจะเป็นการมองการสำเร็จเป็น ‘คละถิ่น’ นี้อย่างง่ายดายเกินไปสักหน่อย” แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เอ่ยต่อไปว่า “ข้ารู้สึกว่าการก้าวเดินไปทีละก้าว ใช้พลังทำลายกฎ ก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น”

“ข้าก็มิได้รู้สึกว่าง่ายหรอก การอาศัยมิติคละถิ่นเป็นครรภ์มารดา ฟูมฟักหลอมรวมเป็นร่างกายนั้น เดิมทีก็ลำบากยากเย็นอยู่แล้ว ข้าหวังว่าเจ้า น้องหิมะเหินจะช่วยเหลือข้า พวกเราสองคนศึกษาค้นคว้าเส้นทางสายนี้ไปพร้อมกัน” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ย

“ให้ห้วงมิติเป็นครรภ์มารดา… แค่ก้าวแรกก้าวเดียวนี้ข้าก็ก้าวไม่ออกแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “จักรพรรดิเซี่ย ท่านกับข้าต่างคนต่างแยกกันเดินบนเส้นทางของตนเองเถิดนะ มาดูกันว่าในท้ายที่สุดแล้วใครจะสามารถคิดค้นฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามออกมาได้จริงๆ ก่อนกัน”

จักรพรรดิเซี่ยฟังแล้วก็อดที่จะส่ายหน้ามิได้

สองแสนล้านปีมานี้ พวกเขาสองคนก็สนทนากันอยู่เป็นประจำ สิ่งที่สนทนากันมากที่สุดก็คือฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามในปุจฉวิถีคละถิ่น!

เคล็ดวิชานี้เดิมทีก็เป็นสิ่งที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้นอยู่แล้ว! น่าเสียดายที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นเพียงแค่ฝึกกายคละถิ่นสองขั้นแรกออกมาเท่านั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับเจ็ดกระบวนคละถิ่น มีวิธีการพิเศษมากมายในการผสานรวมวิถีอากาศและพลังคละวิถี ดังนั้นเขาเขาจึงได้ดัดแปลงบนพื้นฐานดั้งเดิมของจักรพรรดิเซี่ยไปมากพอสมควรแล้ว หลังจากไปถึง ‘ขั้นสุดยอด’ แล้ว เขาก็ปรารถนาจะคิดค้นฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามออกมา! นอกจากนี้ตั้งแต่ที่เขาคิดค้นท่าไม้ตายออกมา วิญญาณของเขาก็มีอิทธิพลต่อร่างกาย สิ่งเหล่านี้ทำให้เขามีทิศทางในการยกระดับร่างกายขึ้นมาบ้างพอสมควรแล้ว

คนทั้งสองสนทนากัน เดิมทีต่างก็ได้อะไรกันไปมากมาย

เพราะว่าจักรพรรดิเซี่ยก็มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับเช่นกัน ทั้งยังเป็นวิถีอากาศด้วย แต่มีชื่อเรียกว่าเคล็ดดอกไม้ห้วงอากาศเบ่งบาน

สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือเจ็ดกระบวนคละถิ่น เข้าคู่กันอย่างสมบูรณ์แบบกับอาวุธเทพคละถิ่นหอกชิงเหอ

สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับของคนทั้งสองแตกต่างกัน… บวกกับสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับของพวกเขาสองคนล้วนมิอาจเล็ดรอดออกไปภายนอกได้ ได้แต่กระทบกันด้วยแนวความคิดบางอย่างเท่านั้น

การสนทนาเป็นระยะเวลายาวนาน

พวกเขาสองคนเพิ่งจะเริ่มได้การ ถึงขนาดที่ต่างก็คิดค้น ‘ฉบับแรก’ ของ ‘ฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สาม’ ออกมาได้แล้ว นี่คือฉบับที่ไม่สมบูรณ์ฉบับหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ก็ทำให้ร่างกายของพวกเขาสองคนไปถึงระดับที่เทียบเคียงได้กับระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์ และอาศัยร่างกายเพียงอย่างเดียวก็มีพลังยุทธ์เหมือนบุคคลผู้ไร้เทียมทานอย่างบรรพชนราตรีนิรันดร์แล้ว

เพราะว่าคิดค้น ‘ฉบับแรก’ ออกมาได้ จิตวิญญาณการต่อสู้ของคนทั้งสองก็พุ่งทะยาน ต่างก็มองเห็นความหวังในการหนีออกจากกรงขังแล้ว

คนทั้งสองติดต่อสื่อสารและค้นคว้ากันอยู่เป็นประจำ

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ค่อยๆ เกิดความไม่ลงรอยขึ้นมา นอกจากนี้ความไม่ลงรอยก็ยังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย!

“วิถีสายนี้ลำบากยากเข็ญเพียงใด เดินตามลำพังคนเดียวแล้วเมื่อใดจะสามารถใช้พลังทำลายกฎได้เล่า ถ้าหากมีสองคนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ก็ไม่แน่ว่าทั้งเจ้าและข้าอาจจะบรรลุกันทั้งคู่เลยก็เป็นได้” จักรพรรดิเซี่ยทอดถอนใจ เขาค้นพบแล้วจริงๆ ว่าพรสวรรค์ของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นสูงส่งเป็นที่สุด กับด้านการหลอมกายก็ค้นพบจุดที่จะบรรลุมากมายได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากเขา จักรพรรดิเซี่ยคลำทางตามลำพังคนเดียวแล้วล่ะก็…

ถึงแม้ว่าจะมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับดอกไม้ห้วงอากาศเบ่งบาน ก้าวแรก อาศัยมิติคละถิ่นเป็นครรภ์มารดา เขาสามารถทำได้ แต่ทว่าการฟูมฟักหลอมรวมเป็นร่างกายต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ตัวเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย

เขาอยากจะดึงเอาตงป๋อเสวี่ยอิงร่วมเส้นทางสายนี้ไปด้วยกัน

แต่เห็นได้ชัดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการจะเดินบนเส้นทางที่มีความมั่นใจเท่านั้น

“พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ แยกกันเดินบนเส้นทางของตัวเอง ถ้าหากในอนาคตข้าเดินผ่านไปไม่ได้ก็ค่อยมาทดลองเส้นทางที่จักรพรรดิเซี่ยชี้ทางเอาไว้ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เดิมทีพรสวรรค์ด้านการหลอมกายของเขาก็มิได้สูงถึงเพียงนั้นอยู่แล้ว เป็นเพราะหลังจากที่คิดค้นท่าไม้ตายวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมาได้แล้ว วิญญาณก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ทำให้ร่างกายเกิดวิวัฒนาการ

วิญญาณแข็งแกร่งก็มีอิทธิพลต่อร่างกายเช่นเดียวกัน! อิทธิพลเช่นนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นหนทางที่จะบรรลุโดยสมบูรณ์แบบแล้ว

……

พวกเขาสองคนวางความเห็นที่ต่างกันลงชั่วคราวแล้วสนทนากันถึงสิ่งที่แต่ละคนได้ตระหนักรู้มากมายเกี่ยวกับฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามต่อไป

“หืม”

ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยุดลงแล้วแหงนหน้ามองดูไกลออกไป

“เป็นอะไรไปหรือ” จักรพรรดิเซี่ยสงสัย เขาก็มิได้ฝืนตรวจตราในเมืองหิมะเหินแต่อย่างใด

“มีแขกมาเยือนน่ะสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม ไกลออกไปมีเงาร่างสายหนึ่งรวมตัวขึ้นมา ซึ่งก็คือบุรุษร่างผอมสูงในอาภรณ์ขาวผู้หนึ่ง เมื่อบุรุษร่างผอมสูงผู้นั้นมาถึงแล้วก็ทักทายด้วยความเคารพน้อยๆ “จาฟูคารวะจ้าวหิมะเหิน”

“เจ้าเป็นใครกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

เขามองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิมของหุบเขาเขี้ยวหัก แต่เป็นใครนั้นก็มิอาจรู้ได้เลย

ถึงอย่างไรผู้ที่เป็นจักรพรรดิระดับต้นในหุบเขาเขี้ยวหักก็มีจำนวนมากมายมหาศาลและไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก

“ข้าคือผู้ดูแลใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่คนหนึ่งขอรับ” บุรุษร่างผอมสูงพูดยิ้มๆ “รับบัญชายอดเคารพให้มาเชื้อเชิญจ้าวท่านขอรับ”

“ยอดเคารพเฮ่ากู่หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ “มิทราบว่ายอดเคารพมีความประสงค์อันใด”

“เรื่องนี้ข้าก็มิทราบเช่นกัน ยอดเคารพสั่งให้ข้ามาที่นี่เพื่อเชิญจ้าวท่านไปพบขอรับ” บุรุษร่างผอมสูงพูด

“ยอดเคารพเฮ่ากู่อยากพบเจ้า เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ” จักรพรรดิเซี่ยพูดยิ้มๆ

“ก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ทันใดนั้นด้านข้างก็มีร่างแยกร่างหนึ่งจำแลงออกมา แล้วร่างแยกก็พูดกับบุรุษร่างผอมสูง “ไป ไปพบยอดเคารพกัน”

……

สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงมาถึงยังชายแดนของโลกเฮ่ากู่

ตงป๋อเสวี่ยอิงและบุรุษร่างผอมสูง ‘จาฟู’ ปรากฏกายขึ้น จาฟูมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยว่า “จ้าวหิมะเหิน ได้โปรดตามข้ามา”

“ยอดเคารพเฮ่ากู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิดใคร่ครวญในใจ

สองแสนล้านปีมานี้เขาก็เคยทำข้อตกลงกับยอดเคารพห้าท่านมาก่อนแล้ว

เพราะอยากจะหยั่งรู้ ‘หยาดน้ำพันเนตร’ เป็นอย่างยิ่ง แต่เกรงว่าสมบัติชั้นยอดที่สามารถช่วยให้เข้าไปสู่ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้พรรค์นี้ก็คงมีเพียงแค่ห้ายอดเคารพเท่านั้นที่มี! ดังนั้นเขาไปคารวะ ก็นับว่าห้ายอดเคารพไว้หน้าเป็นอย่างยิ่งแล้ว อย่างน้อยก็ได้พบเขาแล้ว น่าเสียดาย ตอนที่เขาหยิบยกเรื่องอยากจะสำรวจหยั่งรู้หยาดน้ำพันเนตรสักครา ไม่บริโภคพลังงานภายในเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่รับปากว่าร่างแยกจะรั้งอยู่ที่เคหาสน์ของยอดเคารพขณะที่ทำการหยั่งรู้ แต่ห้ายอดเคารพทั้งหมดต่างพากันบอกว่าไม่มี

‘หยาดน้ำพันเนตร’

ตอนนั้นยามที่เขาไปพบยอดเคารพเฮ่ากู่ ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็อารมณ์ดีพูดมาประโยคหนึ่งว่า “ข้ามีไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษอยู่เม็ดหนึ่ง แต่ไม่มีหยาดน้ำพันเนตรจริงๆ สมบัติชั้นยอดที่เข้าไปสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษนี้ ที่ค้นพบในประวัติศาสตร์ ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็มีจำนวนมากกว่าหยาดน้ำพันเนตรจริงๆ จนกระทั่งถึงตอนนี้ รวมทั้งหยาดน้ำพันเนตรเม็ดที่จ้าวหิมะเหินค้นพบนั้นด้วย ที่เปิดเผยสู่สาธารณะก็มีอยู่เพียงแค่สามเม็ดเท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังถูกบริโภคไปตอนเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษจนหมดแล้วอีกด้วย”

พรึ่บ พรึ่บ

ตำหนักเทพเฮ่ากู่โอ่อ่าอลังการ เป็นถึงหนึ่งในสองมหายอดเคารพของชนพื้นเมืองดั้งเดิม ก็ไม่ต้องพูดถึงอิทธิพลของยอดเคารพเฮ่ากู่ให้มากความ

ตำหนักเทพแห่งนี้รักษาการณ์อย่างแน่นหนา มียามรักษาการณ์มากมาย

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไร้ซึ่งการขัดขวางตลอดทาง บรรดายามรักษาการณ์เหล่านั้นแม้กระทั่งระดับแม่ทัพเทพก็ยังค่อนข้างให้ความเคารพต่อตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขาต่างก็รู้ดีว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้ ไม่เพียงแต่เคล็ดวิชาวิญญาณร้ายกาจเท่านั้น แม้กระทั่งพลังยุทธ์ในการต่อสู้ประชิดตัวก็ยังสามารถจัดเป็นแถวหน้าในบรรดาแม่ทัพเทพได้

“คารวะยอดเคารพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นบุคคลผู้หนึ่งที่อยู่ไกลออกไปแล้วก็ทักทายขึ้นในทันที

“จ้าวหิมะเหินมาแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่นั่งอยู่ที่นั่น เขามองดูอากาศอันเวิ้งว้างแล้วก็ชี้ไปยังม้านั่งหินด้านข้างตัวหนึ่ง “มา นั่งสิ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไปแล้วนั่งลง

ขณะนี้ยอดเคารพเฮ่ากู่เก็บงำกลิ่นอายจนหมดสิ้น สีหน้าของเขาสงบเยือกเย็น สามารถเก็บงำกลิ่นอายได้ก็แสดงออกว่าเกรงใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว มิฉะนั้นหากปล่อยกลิ่นอายออกมา นั่นก็จะคล้ายกับลูกไฟอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ก็อาจจะรู้สึกว่ายากจะทนรับได้เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะมีการบรรลุไปบ้าง ฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามก็มีฉบับแรกแล้ว แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์เท่านั้นเอง

“มิทราบว่ายอดเคารพให้หาตัวข้าด้วยเรื่องอันใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม เพราะว่าตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปบุกฝ่าเกาะลอยคว้างอย่างบ้าคลั่งอีกต่อไปแล้ว ยามปกติก็มิได้ทิ้งร่างแยกเอาไว้ที่หุบเขาเขี้ยวหัก หากมีเรื่องก็ให้พวกเขาออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปหาตนยังเมืองหิมะเหินก็ใช้ได้แล้ว

“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้ามีไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษอยู่เม็ดหนึ่ง” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ยอดเคารพเฮ่ากู่พลิกมือคราหนึ่ง บนฝ่ามือก็มีไข่มุกกลมเกลี้ยงสีดำสองเม็ดปรากฏขึ้น ไข่มุกสีดำสองเม็ดนี้ลึกล้ำหาใดเปรียบ ทำให้สายตาคนถูกดึงดูดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว แล้วยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่าไข่มุกสีดำนี้คล้ายกับกำลังดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างราวกับโลกอันกว้างใหญ่หาใดเปรียบ พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมสามารถประคับประคองจิตใจเอาไว้ได้ แต่ก็ยังคงตกตะลึงอยู่ดี แล้วอดที่จะเอ่ยขึ้นมิได้ว่า “ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษสองเม็ดอย่างนั้นหรือ”

“ถูกต้อง สองเม็ด” ยอดเคารพเฮ่ากู่พยักหน้า “เดิมทีข้ามีอยู่เม็ดหนึ่งก็มิได้รีบร้อนจะไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ถึงอย่างไรข้าก็เคยไปมาหลายครั้งแล้ว อยากจะเตรียมตัวให้เต็มที่เสียก่อนแล้วค่อยไปอีกครั้งหนึ่ง! เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ข้าเดินทางไปยังเกาะลอยคว้างจำนวนหนึ่งแล้วกลับได้ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเม็ดหนึ่งมา”

“ขอแสดงความยินดีกับยอดเคารพด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เกาะลอยคว้างบางแห่งก็มีภยันตรายยิ่งใหญ่อยู่จริงๆ มิใช่สถานที่ที่ตนจะสามารถเข้าไปได้ แต่ยอดเคารพกลับมีโอกาสเข้าไป โดยทั่วไปแล้วไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษและหยาดน้ำพันเนตรต่างก็อยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายทั้งสิ้น

“ข้าสามารถมอบไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษให้เจ้าเม็ดหนึ่งได้” ยอดเคารพเฮ่ากู่มองตงป๋อเสวี่ยอิง

“มอบสมบัติชั้นยอดพรรค์นี้ให้ข้าโดยไม่มีเหตุมีผลอย่างนั้นน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองยอดเคารพยิ้มๆ แต่ในใจกลับเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ผู้ใดจะไม่อยากเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษบ้างเล่า

ยอดเคารพเฮ่ากู่เอ่ยต่อไป “เจ้าจะต้องเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษพร้อมกันกับข้า อีกทั้งหลังจากที่เข้าไปแล้วก็ยังต้องฟังคำสั่งจากข้าทั้งหมดด้วย”

“ขอยอดเคารพโปรดพูดให้กระจ่างว่าข้าจะต้องทำสิ่งใดบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย มอบสมบัติชั้นยอดระดับนี้ให้กับตน หากไม่มีข้อแลกเปลี่ยนจึงจะเป็นเรื่องแปลก แต่ไม่ว่าอย่างไรหากสามารถเข้าไปยังสถานที่ต้องห้ามในตำนานอย่าง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าเฉลิมฉลองแล้ว

…………………………………………………