ตอนที่ 589 ลุงเหลย

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 589 ลุงเหลย โดย Ink Stone_Fantasy

“เวยหลัน เรื่องมันซับซ้อนกว่าที่เธอคิดนะ….”

ตู้เฟยเงยหน้ามองเยี่ยเทียนทีหนึ่ง “ลุงเหลยได้เรียกให้คนที่ผูกมิตรกับเธอหลายคนกลับมาหมด เขา….เขาน่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับซ่งเสี่ยวหลง ฉันรู้สึกว่าซ่งเสี่ยวหลงได้เคยสัญญาบางอย่างกับเขาไว้!”

ตอนนั้นเยี่ยเทียนให้ตู้เฟยคอยเฝ้าระวังซ่งเสี่ยวหลง ดังนั้นครั้งนี้เมื่อกลับมาที่สำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิลโก ตู้เฟยก็เอาแต่สืบข่าวคราวของซ่งเสี่ยวหลง

เมื่อสัปดาห์ก่อน ตู้เฟยเห็นกับตาว่าซ่งเสี่ยวหลงที่ตอนนี้ควรจะอยู่ที่แอฟริกา กลับมาปรากฏตัวในร้านน้ำชาในย่านไชน่าทาวน์ อีกทั้งร้านน้ำชาร้านนั้นยังเป็นกิจการของลุงเหลยอีก แล้วยังเป็นสถานที่ๆเขาจะต้องไปรับประทานอาหารเช้าอยู่ทุกวัน

“เสี่ยวหลง? เป็นเขาจริงๆ?”

ซ่งเวยหลันไม่ได้มีท่าทีแปลกใจกับคำตอบของตู้เฟย เพียงแต่แสดงออกถึงความผิดหวังเสียใจเท่านั้น เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า “พี่สี่ คุณพ่อของฉันกับลุงเหลยเป็นเพื่อนกันมาหลายปี เขาปฏิบัติต่อฉันเหมือนหลานสาวคนหนึ่ง ทำไมเขาถึงไปช่วยเสี่ยวหลงเล่า?”

ตอนแรกที่เธอไว้วางใจมอบธุรกิจมูลค่ามหาศาลของเธอให้กองทุนการเงินเป็นผู้ดูแลเพราะเชื่อมั่นในตัวลุงเหลย แต่ซ่งเวยหลันคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะเกิดขึ้นกับคนที่เธอไว้ใจที่สุด

“แม่ เดี๋ยวก่อน”

เยี่ยเทียนนั่งฟังอยู่ข้างๆพอรู้เรื่องบ้าง แต่เขาไม่รู้จักลุงเหลยคนนี้แม้แต่น้อย จึงพูดขัดมารดาแล้วมองไปทางตู้เฟยถามว่า “ลุงเหลยเป็นใครกัน? มีตำแหน่งอะไรในสมาคม?”

เยี่ยเทียนรู้ว่ามารดาจัดการให้ซ่งเสี่ยวหลงไปอยู่ที่แอฟริกาก็เพื่อให้เขาอยู่ห่างจากศูนย์กลางของสมาคม ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนั้นเพราะลุงเหลยมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นกุญแจสำคัญ

ตู้เฟยถอนใจอีกครั้ง ตอบว่า “คุณชายน้อย ลุงเหลยมีชื่อว่าเหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นคนรุ่นเดียวกับคุณพ่อของผม ตอนนั้นพ่อของผมรับตำแหน่งหัวหน้าใหญ่นั้น ลุงเหลยก็เป็นผู้อาวุโสในสมาคม…”

ลุงเหลยคนนี้เดินทางมาถึงอเมริการพร้อมกับบิดาของตู้เฟย ในขณะนั้นอิทธิพลของสมาคมได้แผ่ขยายกว้างไกล แต่องค์กรกลับไม่ค่อยมีความมั่นคง ผู้อาวุโสแต่ละคนรับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ต่างกันไป ซึ่งต่างก็ไม่มีใครยอมใคร

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ลุงเหลยและบิดาของตู้เฟยเข้าร่วมควบคุมดูแลสมาชิกที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ขึ้นครองอำนาจในเมืองซานฟรานซิสโก เนื่องจากในช่วงนั้นคนในสมาคมไม่ได้รับความเดือดร้อนจากเพื่อนร่วมสมาคม และได้ขับไล่กลุ่มแก๊งยามาโมโตะของญี่ปุ่นและมาเฟียของอิตาลีออกไปจากซานฟรานซิสโกได้ในที่สุด ช่วงชิงพื้นที่ครอบครองเป็นของพรรคพวกตน

บิดาของตู้เฟยตอนนั้นแม้ไม่ได้มีชื่อเสียงในเซี่ยงไฮ้ แต่เมื่อมาถึงอเมริกาแล้วกลับแสดงออกถึงความสามารถสูงสุด เขาเริ่มจากการทำให้สมาคมเข้มแข็งเป็นหนึ่ง แล้วค่อยๆ พัฒนากิจการของสมาคมไปตามสถานที่ต่างๆทีละก้าว ทำให้อำนาจถูกแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว

อเมริกายุคหลังสงคราม เศรษฐกิจถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เมื่อเริ่มมั่งมีขึ้นแล้วบิดาของตู้เฟยก็เริ่มแทรกซึมเข้าสู่สมาคมดั้งเดิมในอเมริกา ตามคำโบราณที่กล่าวว่า มีเงินทำอะไรก็สะดวก เพียงแค่หว่านเม็ดเงินออกไปก็ทำให้ทั้งสมาคมยอมรับและเห็นดีเห็นงามไปกับเขา

ในสมาคมให้ความสำคัญกับสถานะ และฐานันดรศักดิ์ ฐานันดรของบิดาตู้เฟยก็ไม่ใช่น้อย อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสดั้งเดิมในกลุ่มจึงได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พอช่วงยุคปี 60 บิดาของตู้เฟยก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ของสมาคมในที่สุด

เบื้องหลังความสำเร็จบนบัลลังก์อำนาจ บิดาของตู้เฟยได้กระทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใน ผู้ที่ได้ร่วมบุกเบิกฐานอำนาจใหม่กับเขาอย่างเหลยเจิ้นเยวี่ยนั้นได้กลายเป็นผู้อาวุโสที่มีอำนาจในมือสูงสุดคนหนึ่ง เป็นผู้ริเริ่มรับผิดชอบการค้าระหว่างประเทศ

การค้าระหว่างประเทศในยุคแรกเริ่มของสมาคมนั้นไม่ได้หมายถึงกิจการการค้าขาย พูดให้เข้าใจอย่างง่ายคือ การแย่งพื้นที่กันนั่นเอง

เหลยเจิ้นเยวี่ยนำพาพรรคพวกฝีมือดีทำการฆ่าล้างประวัติศาสตร์ของเมืองซานฟรานซิสโกโดยชนิดที่เรียกว่าเลือดสาด เพื่อกำจัดกลุ่มอิทธิพลเก่าให้หมดไป ทำให้เป็นที่หวาดเกรงของฝ่ายตรงข้าม หลังจากนั้นจึงได้ขึ้นครองตำแหน่งผู้มีอำนาจในสมาคมแห่งเมืองภูเขาทองเก่านี้อย่างแท้จริง

การเป็นผู้นำการรบหลัก ทุกครั้งที่ต่อสู้เหลยเจิ้นเยวี่ยจะเป็นเสมือนแนวหน้าที่บุกเข้าทำลายฝ่ายศัตรูอย่างไม่กลัวตาย จึงได้รับการยอมรับจากพวกพ้อง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาในสมาคมนอกจากพ่อของตู้เฟยแล้วรองลงมาก็คือลุงเหลยคนนี้ที่ไม่ใครเทียบได้

หลังจากที่บิดาของตู้เฟยเสียชีวิตลง ลุงเหลยเคยได้เป็นผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นหัวหน้าใหญ่คนต่อไป แต่ด้วยอายุที่สูงวัย จึงปฏิเสธ ขอเพียงดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสในสมาคมเท่านั้น และยังคงเป็นผู้ที่มีบารมีสูงส่งในสมาคมอยู่เสมอ

ช่วงต้นปี 40-50 เหลยเจิ้นเยวี่ยกับบิดาของตู้เฟยและซ่งเฮ่าเทียนเป็นสหายกัน ดังนั้นธุรกิจของคนตระกูลซ่งที่อยู่ต่างประเทศต่างก็ได้เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ

เมื่อซ่งเวยหลันได้เป็นผู้นำตระกูลซ่งในต่างประเทศแล้ว ความสัมพันธ์ยังคงคงเดิมคือมีเหลยเจิ้นเยวี่ยคอยดูแลตามเดิม ไม่เช่นนั้นสถานะของตู้เฟย นอกจากเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้วยังมีใครกล้าสั่งให้เขาไปอยู่ข้างกายซ่งอิงหลันได้อีก

ดังนั้นเมื่อกองทุนการเงินในอาณัติมีปัญหา ซ่งเวยหลันจึงนึกถึงลุงเหลยเป็นอันดับแรก ในสมาพันธ์มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกิจการของเธอได้

เรื่องอดีตของลุงเหลย ซ่งเวยหลันยิ่งรู้อย่างละเอียด พอเห็นบุตรชายนิ่งเงียบไม่พูดจา เธอหันไปถามตู้เฟยว่า “พี่สี่ ฉันเคารพลุงเหลยมาตลอด ขอเพียงลุงเหลยเอ่ยปาก มีหรือที่ฉันปฏิเสธ เขา…ทำไมเขาถึงทำแบบนี้?”

ในความทรงจำของซ่งเวยหลัน ลุงเหลยเป็นคนโผงผาง ไม่ได้เป็นคนละโมบในทรัพย์สินเงินทองเท่าใด อีกทั้งอายุอานามก็ปาเข้าไปแปดสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมจึงลงมือทำเรื่องแบบนี้ได้ เป็นสิ่งที่ซ่งเวยหลันคิดไม่ตกเลยจริงๆ

“คือ…คือว่า ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ คงจะมีเหตุผลสองอย่าง….”

ได้ฟังข้อกังขาของซ่งเวยหลันแล้วตู้เฟยมีสีหน้าลังเล มองไปทางเยี่ยเทียนแล้ว พูดต่อว่า “ช่วงก่อนมีข่าวลือออกมาว่า เวยหลันเธอต้องการจะยกสมบัติทั้งหมดให้ตกอยู่ในมือของคนนอก แล้วค่อยขับไล่สมาชิกในสมาคมออกจนหมด ตอนนั้นเรื่องนี้ส่งผลกับสมาคมอย่างใหญ่หลวง…”

สำหรับคนตระกูลซ่งในต่างประเทศแล้ว สมาคมเปรียบเสมือนร่มคันใหญ่ที่คอยปกป้องคุ้มครอง สมาชิกจากตระกูลซ่งหลายคน ข้างกายจะมีคนของสมาคมอยู่ด้วย ไม่เพียงเท่านี้ ในตำแหน่งสำคัญของบริษัทของซ่งเวยหลันก็มีสมาชิกสมาคมดำรงตำแหน่งอยู่ด้วย

เมื่อซ่งเวยหลนตัดสินใจยกสมบัติมหาศาลให้แก่กองทุนแล้ว สมาชิกในสมาคมเหล่านั้นต่างได้รับผลกระทบ

เรื่องราวเป็นมาอย่างนี้ ก่อนที่จะมีการส่งมอบ ซ่งเวยหลันเคยปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในอย่างใหญ่หลวง นำเอาคนส่วนหนึ่งโยกย้ายออกไป หนึ่งในนั้นคือซ่งเสี่ยวหลง แน่นอนว่ารวมถึงคนของสมาคมด้วย

ซ่งเวยหลันอยากรีบปรับโครงสร้างระบบให้เสร็จโดยเร็วแล้วดึงตัวเองให้หลุดพ้นจากวงจรนี้เพื่อกลับไปอยู่ในประเทศจีน เธอผู้ที่ระแวดระวังมาตลอด กลับไม่ทันสังเกตรายละเอียดเล็กน้อย หรืออาจเพราะเธอเชื่อมั่นในการควบคุมของตัวเองมากเกินไป แต่เธอไม่ทราบมาก่อนว่า คนตระกูลซ่งในต่างประเทศกับคนของสมาคมมีลับลมคมในต่อกัน

ซ่งเวยหลันได้ฟังต้นเหตุแล้วก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เสี่ยวเทียนไม่อยากรับช่วงต่อกิจการพวกนั้น ตอนนั้นฉันเองก็ใจร้อนเกินไป ความจริงแล้วควรจะจัดการให้เรียบร้อยดีกว่านี้”

ตลาดการค้าที่มูลค่าสูงถึงหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หากอยากจะเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องใช้เวลาหลายปีหรืออาจจะนานกว่านั้น เดิมทีซ่งเวยหลันวางแผนจะลงมือทำตามแผน แต่เพราะความคิดถึงบุตรชายและครอบครัวจึงทำให้เธอเร่งร้อนกับเรื่องนี้มากเกินไปจนไม่ได้จัดการให้ดี

“แม่ อย่าโทษตัวเองนักเลย เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอก”

เยี่ยเทียนโบกมือไปมา พูดต่อว่า “ตู้เฟย คุณพูดถึงเหตุผลที่สองเถอะ ผมว่า…เรื่องนี้น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ลุงเหลยเปลี่ยนความคิด?”

เยี่ยเทียนเชื่อว่า ขอแค่เป็นมนุษย์ย่อมต้องมีจุดอ่อน ลุงเหลยเป็นคนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อสมาคม ไม่อย่างนั้นด้วยฐานะอย่างเขา สามารถแสดงออกว่าไม่พอใจซ่งเวยหลันได้ตรงๆ ไม่ต้องถึงกับลักลอบทำเรื่องจุดไต้ตำตอแบบนี้

ตู้เฟยพยักหน้า “คุณชายน้อยพูดถูก ตามข่าวที่ได้รับมาคือ ซ่งเสี่ยวหลงสัญญาว่าถ้าให้เขาขึ้นรับตำแหน่งผู้นำหัวหน้าตระกูลซ่งในต่างประเทศแล้ว เขาจะมอบเงินทุนให้ลุงเหลยก้อนหนึ่งเป็นจำนวนไม่น้อย!”

ซ่งเวยหลันได้ฟังก็อึ้งไป ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ลุงเหลยอยากได้เงินไปทำอะไร? ทำไมไม่มาขอที่ฉันล่ะ?”

เธอรู้จักกับลุงเหลยมายี่สิบกว่าปี ซ่งเวยหลันรู้ว่าลุงเหลยเป็นคนที่เคารพกฎเกณฑ์มากที่สุดคนหนึ่ง แม้ว่าขาจะมีโอกาสหาเงินมากมายมหาศาล แต่ไม่มีทางล้ำเส้นแน่นอน ถ้าบอกว่าลุงเหลยอยากได้เงินล่ะก็ ซ่งเวยหลันไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

ตู้เฟยหัวเราะเสียงแห้ง “ตอนนี้สุขภาพของหัวหน้าใหญ่ในสมาคมไม่ค่อยดี เมื่อปีที่แล้วก็ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ หากคาดการณ์ไม่ผิดน่าจะอยู่ได้ไม่เกินปีนี้แน่…”

“ตู้เฟย เหลยเจิ้นเยวี่ยอายุปาเข้าไปเท่าไหร่แล้ว? คงไม่ได้หวังในตำแหน่งอะไรหรอกนะ?”

ตู้เฟยพูดยังไม่ทันขาดคำถูกเยี่ยเทียนพูดขัดขึ้น เหลยเจิ้นเยวี่ยหากเป็นคนรุ่นเดียวกับซ่งเฮ่าเทียน อายุคงไม่น้อยกว่าแปดสิบปีแล้ว เขายังมีแรงลงไปจัดการกับความวุ่นวายในการงานอีกเหรอ?

ตู้เฟยส่ายหัว ตอบว่า “คุณชายน้อย ตัวลุงเหลยไม่ได้อยากจะขึ้นนั่งตำแหน่งนั้นหรอก แต่ลูกชายของเขาเหลยหู่ ปีนี้อายุเพิ่งจะสี่สิบต้นๆ ยังมีความหวังอีกยาวไกล คนแก่ก็แก่ไปแล้ว แต่ยังมีห่วงเรื่องลูกหลาน….”

ในปีที่บิดาของตู้เฟยเสียชีวิต บุตรชายของเหลยเจิ้นเยวี่ยอายุเพิ่งจะยี่สิบกว่าปี ยังไม่มีชื่อเสียงเกียรติยศในสมาคมเลย ตำแหน่งหัวหน้าใหญ่นั้นอย่างไรก็ไม่มีทางตกไปถึงมือเขาได้ ลุงเหลยก็ยังไม่ได้มีความคิดในตอนนั้น

แต่เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว บุตรชายของเหลยเจิ้นเยวี่ยตอนนี้อยู่ในวัยหนุ่มแน่น ค่อยสร้างฐานอำนาจของตัวเองในสมาคม คนเราพอมีอำนาจ ก็มีความทะเยอทะยานตามมา

หัวหน้าใหญ่ตอนนี้ป่วยหนัก เบื้องหลังการแก่งแย่งตำแหน่งอำนาจค่อยๆรุนแรงขึ้น เหลยหู่ได้บอกเจตจำนงค์ของตนต่อบิดา แต่เขากลับมีจุดอ่อนข้อหนึ่งคือ ไม่มีเงิน

อย่าได้ดูถูกการใช้อำนาจเงินในสมาคมเชียว เฉกเช่นเดียวกับการเลือกตั้งในสหรัฐ ทุกตำแหน่งที่ประสบความสำเร็จ เบื้องหลังย่อมต้องมีกลุ่มการเงินที่เข้มแข็งคอยสนับสนุน

…………………………………………………….