ตอนที่ 590 เข้าร่วมสมาคมหงเหมิน โดย Ink Stone_Fantasy
การคัดเลือกประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเปรียบเสมือนกับงานปราศรัยระดับประเทศ ผู้เข้ารอบคัดเลือกมาจากรัฐต่างๆทั่วอเมริกาขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที ราวกับให้คำสัญญาต่อประชาชนว่าตนจะนำความรุ่งเรืองมาสู่ชีวิตและสร้างโอกาสให้พวกเขาอย่างไร
ยังมีการปราศรัยผ่านทางสื่อโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดไปทั่ว ทั้งหมดนี้ต่างต้องการเงินทุนสนับสนุนจำนวนมาก หากไม่มีแหล่งเงินทุนแต่อยากลงสมัครเลือกตั้งนั้นเป็นสิ่งที่น่าขันสิ้นดี
ดังนั้นนอกจากประธานาธิบดีในยุคแรกเริ่มอย่างจอร์จ วอชิงตันแล้ว ประธานาธิบดีในยุคต่อมามักจะได้รับการสนับสนุนจากแหล่งเงินทุนที่คอยให้ความช่วยเหลือ อีกทั้งยังมีกลุ่มการค้าที่ยินดีเสนอเงินทุนให้แก่ผู้สมัครเลือกตั้งอีกด้วย
มีสำนวนพื้นบ้านกล่าวไว้ว่า การปกครองประเทศก็เหมือนกับการปรุงอาหาร การลงสมัครเลือกตั้งก็เช่นกัน แก๊งมาเฟียเลือกหัวหน้าก็ไม่ต่างอะไรกันมาก
ในต่างประเทศการก่อตั้งแก๊งมาเฟียมักจะเริ่มจากการหารายได้จากสิ่งผิดกฎหมาย มีกฎภายในที่เคร่งครัดทั้งยังแยกแยะการให้รางวัลและการลงโทษด้วยผลประโยชน์อย่างชัดเจนจึงจะทำให้ขยายอิทธิพลได้อย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับแก๊งมาเฟียมอสโค ที่อาศัยการค้ายาเสพติดเป็นหลัก และอาจจะเกี่ยวข้องกับการทุจริตในธุรกิจบ้างบางครั้ง หรือแก๊งมาเฟียแคนาดาที่แทรกซึมเข้ามาในอเมริกา ส่วนมากมักมีธุรกิจสถานบันเทิง ค้ากามและพวกอุตสาหกรรมแปรรูป ยังมียาเสพติดอีกอย่างที่สร้างรายได้หลักให้แก่พวกเขา
แม้ว่ากลุ่มแก๊งต่างมีระบบเป็นรูปปีระมิด ทรัพย์สินเงินทองมหาศาลนั้นถูกควบคุมอยู่ในมือของคนไม่กี่คน แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ แม้แต่สมาชิกแก๊งในระดับล่างทั่วไปก็ยังได้รับค่าตอบแทนมากกว่าพนักงานบริษัทชั้นดีเสียอีก
แน่นอนว่าค่าตอบแทนเหล่านี้ต้องแลกมาด้วยชีวิตและอิสระของพวกเขาเอง ดังนั้นเมื่อเข้าร่วมแก๊งใดแล้วจะไม่กล้าไปแตะต้องผลประโยชน์ของสมาชิกขั้นสูงกว่า ทั้งยังจะไปช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้พวกเขาเหล่านั้นด้วย ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีเงินทุนจำนวนมากเป็นรากฐาน
สำหรับสมาคมหงเหมินแห่งนี้ที่อยู่มาร้อยกว่าปี มีสมาชิกมากมายเกินหนึ่งแสนคน เงินทองที่สนับสนุนนั้นยิ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะอำนาจในสมาคมหงเหมินนั้นอยู่ที่รายได้ที่สามารถหามาจากธุรกิจ และใช้ธุรกิจที่มีเพื่อแลกกับผลประโยชน์และสภาพคล่องเพื่อนำกลับมาใช้ปกป้องตำแหน่งของตนอีกที
ถ้าหากผู้นำไม่สามารถนำพาพวกเขาไปสู่ผลประโยชน์ที่เฟื่องฟูขึ้นกว่าเดิมแล้ว ถึงแม้จะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ในสมาคมหงเหมินก็ไม่มีทางได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาได้ แล้วนับประสาอะไรกับบุตรชายของเหลยเจิ้นเยวี่ยที่ไม่สามารถทำให้สมาชิกคนอื่นยอมรับ
เหลยเจิ้นเยวี่ยเคยคิดว่าจะอาศัยบารมีของตนเพื่อผลักดันให้บุตรชายได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง แต่ตอนหลังเขากลับพบว่าแม้ผู้อาวุโสคนอื่นจะเคารพเขา แต่กับเรื่องการคัดเลือกผู้นำนี้ พวกเขากลับไม่ร่วมมือด้วย
ผู้สูงวัยมักกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้รับความสำคัญ ท่าทีของเหล่าผู้อาวุโสในสมาคมหงเหมินทำให้เหลยเจิ้นเยวี่ยรู้สึกเกิดปมในใจ ตลอดชีวิตของท่านผู้อาวุโสเหลยไม่เคยมีคำว่าทำเพื่อตนเอง ตอนนี้ท่านอึดอัดใจนักที่อยากจะผลักดันให้บุตรชายได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำของสมาคมหงเหมิน
สมาคมหงเหมินมีกฎเหล็กอยู่ข้อหนึ่งระบุไว้ว่าห้ามสมาชิกห้ำหั่นกันเอง ดังนั้นแม้เหลยเจิ้นเยวี่ยจะมีทั้งกำลังพลและอาวุธอยู่ในมือแต่ไม่สามารถใช้มันเพื่อช่วยส่งเสริมบุตรชายได้ เขาได้แต่ทำตามกฎเหล็กเท่านั้น ดังนั้นตอนนี้แหล่งเงินทุนชั้นดีจึงจำเป็นมากกว่า
ความจริงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลซ่ง ขอแค่เขาเอ่ยปาก ตระกูลซ่งต้องให้การสนับสนุนเต็มกำลัง และเป็นไปตามผลประโยชน์ของตระกูลซ่งในต่างประเทศ
หากแต่เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น เมื่อปีที่แล้วซ่งเวยหลันอยู่ในประเทศจีนเกือบตลอดทั้งปี โดยมอบงานของกลุ่มการค้าให้ลูกน้องที่ตนเองวางใจไม่กี่คน ทั้งยังเอาแต่สรรหากองทุนเอสโครว์ที่น่าเชื่อถือเพื่อให้ดูแลการเงินต่อ จึงทำให้การติดต่อสัมพันธ์กับสมาคมหงเหมินลดน้อยลง
เหลยเจิ้นเยวี่ยเคยเชิญซ่งเวยหลันไปตามนัดถึงสองครั้งแต่เธอไม่ได้กลับมาที่อเมริกาเพียงแต่สั่งให้ลูกน้องจัดการแทน
เงินทุนที่เหลยเจิ้นเยวี่ยต้องการนั้นเป็นจำนวนมหาศาล ลูกน้องของเธอเป็นเพียงผู้จัดการเล็กๆที่ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจมอบเงินจำนวนมากขนาดนั้นออกไป จึงกลายเป็นการปฏิเสธข้อเรียกร้องของเหลยเจิ้นเยวี่ยไปโดยปริยาย ทั้งยังไม่ได้บอกให้ซ่งเวยหลันรับรู้ในภายหลังอีก ผู้จัดการลูกน้องของเธอคนนั้นกลับมองเหลยเจิ้นเยวี่ยว่ามาขอเงินเสียเปล่าอย่างน่าไม่อาย
เหลยเจิ้นเยวี่ยที่ถูกปฏิเสธแบบไร้เยื่อไยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บวกกับสมาชิกตระกูลซ่งคนอื่นที่ตั้งใจยุแหย่เขา เขาจึงไม่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากซ่งเวยหลันหรือซ่งเฮ่าเทียนอีก แต่กลับหาวิธีการของตัวเอง โดยไปยุแยงหลานชายที่ไม่สำนึกบุญคุณของซ่งเวยหลัน
กองทุนเอสโครว์แห่งนั้นเป็นฝีมือของซ่งเสี่ยวหลง จากนั้นให้เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้แนะนำให้ซ่งเวยหลันอีกครั้ง ซ่งเวยหลันที่ไม่เคยระวังตัวจากเหลยเจิ้นเยวี่ยเลยจึงตกหลุมพรางอย่างง่ายดาย
การลงทุนหลายหมื่นล้านได้ถูกผ่านมือหลายกระบวนการ เงินทุนจำนวนมหาศาลถูกส่งมอบอย่างถูกต้องตามกฎหมายไปที่บริษัทของซ่งเสี่ยวหลง ด้วยเหตุนี้ซ่งเวยหลันจึงต้องรีบกลับมาที่อเมริกาเพื่ออธิบายให้เหลยเจิ้นเยวี่ยฟัง
ฟังคำอธิบายของตู้เฟยจบแล้ว เยี่ยเทียนนิ่งไป แล้วเอ่ยถามว่า “แม่ เงินที่สูญเสียไปในการลงทุนนี้ ยังจะหากลับคืนมาได้ไหม?”
ซ่งเวยหลันส่ายหน้า “ตามกลับมาไม่ได้แล้ว แต่แม่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับกองทุนเอสโครว์นั่น แล้วยังจะใช้กฎหมายบังคับให้ฝ่ายนั้นรับผิดชอบ!”
ซ่งเวยหลันบอกต่อว่า “เสี่ยวเทียน แม่ไม่ได้สนใจว่าเงินก้อนนั้นจะตามกลับมาได้ไหม แม่เพียงแต่อยากอธิบายให้ลุงเหลยเข้าใจอย่างชัดแจน อย่างน้อยตระกูลซ่งกับตระกูลเหลยก็เป็นสหายกันมาหลายสิบปี เงินก้อนนี้ถือว่าแม่ให้ลุงเหลยเป็นการชดเชยแล้วกัน”
สำหรับซ่งเวยหลันตั้งแต่เลือกจะออกจากวงการธุรกิจเพื่อมาทำหน้าที่แม่เต็มตัว เรื่องเงินกับกิจการสำหรับเธอนั้นไม่ได้สำคัญอีกต่อไป เธอเพียงแต่กังวลถึงธุรกิจใหญ่โตที่เธอสร้างมันมากับมือ และเป็นความรับผิดชอบของเธอด้วยที่จะจัดการหาหนทางไปที่ดีสำหรับผู้ที่เคยร่วมบุกบั่นในธุรกิจร่วมกันมา
“เวยหลัน ฉันว่าเธอไม่ต้องไปพบลุงเหลยหรอก ความจริงแล้วพอหลังจากเกิดเรื่องฉันเคยไปขอพบเขาครั้งหนึ่งเพื่ออธิบาย แต่เขาบอกว่าเรื่องมันดำเนินไปแล้ว จะไม่มีทางเสียใจภายหลังเป็นอันขาด ถึงมันจะผิดแต่เขาก็ยังยืนยันที่จะเดินต่อไป”
ตู้เฟยเป็นเหมือนลูกหลานของเหลยเจิ้นเยวี่ย จึงรู้ซึ้งถึงนิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างดี คนอย่างชายชราเห็นเรื่องหน้าตายิ่งใหญ่กว่าท้องฟ้าเสียอีก หากจะให้เขาเอ่ยคำขอโทษต่อซ่งเวยหลันนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ซ่งเวยหลันแม้ได้ไปพบกับเขาแล้วก็คงไม่ได้เกิดประโยชน์อันใด
“ยังจะเดินต่อไปในทางที่ผิด?ทำไมล่ะ ยังอยากจะให้แม่ของผมอยู่ที่นี่ต่ออีกหรือ?”
ฟังตู้เฟยพูดจบเยี่ยเทียนหรี่ตาลง ตั้งแต่มาถึงอเมริกานี่ เขารู้สึกได้ถึงความอันตราย แต่คิดไม่ถึงว่าความอันตรายนี้จะมาจากสมาคมหงเหมิน ยิ่งทำให้เยี่ยเทียนยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจ
“ซ่งเสี่ยวหลงกับเหลยหู่ร่วมมือกันฉันพอจะรู้บ้าง พวกเขาอยากจะให้แม่ของเธอนำเอาหุ้นทั้งหมดออกมา จากนั้นให้คนทั้งสองแบ่งกันคนละครึ่ง ส่วนบริษัทก็ให้ซ่งเสี่ยวหลงเป็นคนดูแล…”
ตู้เฟยถอนใจอีกครั้ง มองไปที่ซ่งเวยหลันแล้วพูดว่า “ตอนแรกฉันไม่ให้เธอมาเพราะกลัวว่าพวกเขาจะกักตัวเธอไว้ กลับเป็นเธอสิที่มาหาเองถึงที่”
ไม่ว่าตอนนี้สมาคมหงเหมินจะล้างมือจนขาวสะอาดแค่ไหน แต่ไม่อาจลบล้างวิถีการกระทำแบบชาวยุทธได้ บางเวลาพวกเขาจะลงมือเพื่อให้บรรลุประสงค์โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ ใช้แม้กระทั่งวิธีสกปรก
ตั้งแต่เด็กตู้เฟยเคยอาศัยอยู่กับซ่งเฮ่าเทียนชั่วระยะเวลาหนึ่ง จึงคุ้นเคยกับตระกูลซ่งมากกว่าเหลยเจิ้นเยวี่ย เมื่อก่อนเขาไม่ทราบเรื่อง ตอนนี้พอรู้เข้าแล้วจึงเลือกยืนหยัดอยู่ข้างซ่งเวยหลันอย่างไม่ลังเล
“กักตัวแม่ผม? ใครที่อยากจะทำแบบนี้?” เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ยิ้มเย็น “เป็นเหลยเจิ้นเยวี่ยหรือว่าเหลยหู่ หรือเป็นซ่งเสี่ยวหลงที่เสนอออกมา?”
เจ้าคนเนรคุณ สำหรับเยี่ยเทียนแล้วคนที่อกตัญญูกลับเป็นคนในบ้านของตัวเอง เหลยเจิ้นเยวี่ยละโมบวางแผนยักยอกเงินของซ่งเวยหลัน เยี่ยเทียนยังไม่ได้โกรธเท่าไหร่ แต่ถ้าเขาคิดจะทำร้ายมารดาของตน นั่นก็คือได้ล่วงละเมิดเยี่ยเทียนเข้าแล้ว
ตู้เฟยหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ซ่งเสี่ยวหลงเป็นคนเสนอออกมา เรื่องนี้เป็นแผนของเขากับเหลยหู่ ลุงเหลยอาจจะไม่รู้ก็ได้”
“เสี่ยวหลงเด็กคนนี้นี่ ทำไมถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ไปได้?”
ซ่งเวยหลันเคยประสบวิกฤติมาในชีวิต ในโลกธุรกิจเธอเคยทั้งลุ่มๆดอนๆอยู่หลายครั้ง ถ้าเทียบกับความเสียหายในครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้เธอหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เธอเพียงแต่เสียใจ
ตอนซ่งเสี่ยวหลงยังเด็ก เคยอยู่กับซ่งเวยหลันมาก่อน ตอนนั้นเธอมอบความรักความคิดถึงห่วงหาที่มีต่อบุตรชายทั้งหมดให้กับซ่งเสี่ยวหลงเพียงคนเดียว ดูแลเขารักเขาราวกับลูกแท้ๆ
แต่เธอกลับคิดไม่ถึงว่า ซ่งเสี่ยวหลงจะวางแผนทำร้ายลูกชายของเธอ ตอนนี้ยังจะทำร้ายเธออีก หรือว่าบุญคุณความรักความผูกพันในสิบกว่าปีที่ผ่านมาสำหรับเขามันไม่มีค่าอะไรเลย?
“แม่ แม่ควรจะเข้าใจว่าความโลภเป็นหนึ่งในกิเลสอย่างหนึ่งของมนุษย์”
เยี่ยเทียนเห็นท่าทางเสียใจของมารดาแล้วเข้าไปโอบไหล่เบาๆปลอบโยน หันไปถามกับตู้เฟยว่า “ซ่งเสี่ยวหลงอยู่ในซานฟรานซิสโกไหม? แล้วพวกเหลยหู่ล่ะอยู่ที่ไหน?”
“ซ่งเสี่ยวหลงหลายวันก่อนพอได้ยินว่าพวกคุณจะมา ก็รีบออกจากซานฟรานซิสโกไป ดูท่าน่าจะบินกลับไปที่แอฟริกาแล้ว”
เรื่องที่ซ่งเสี่ยวหลงร่วมมือกับผู้อื่นรังแกอาหญิงแท้ๆของตัวเอง ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปจะไม่เป็นผลดีกับหุ้นที่ซ่งเสี่ยวหลงได้ครอบครอง และเขาจะควบคุมกิจการได้อย่างยากลำบาก อย่างน้อยผู้ที่อยู่ในตำแหน่งระดับสูงของกลุ่มการค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ร่วมต่อสู้บุกเบิกมากับซ่งเวยหลานทั้งนั้น
แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นผู้นำศูนย์กลางของกลุ่มการค้า แต่ถ้าพวกเขารวมตัวกันก็เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจนี้สูญสลายไปได้ทันตา ผลลัพธ์ที่ตามมาซ่งเสี่ยวหลงไม่มีทางรับมือได้ไหว ดังนั้นเขาจำเป็นต้องหลบหนีกลับไปที่แอฟริกาเสียก่อน
“เหลยหู่ล่ะ?” เยี่ยเทียนซักไซ้
“คุณชายน้อย คุณจะทำอะไร?”
ตู้เฟยถูกเยี่ยเทียนรบเร้าถึงข่าวคราวของเหลยหู่สีหน้าตึงเครียดขึ้น “เหลยหู่ตอนนี้เป็นผู้ตัดสินคดีของสมาคมหงเหมิน คุณชายน้อย ผมทราบว่าวิชากังฟูของคุณนั้นเยี่ยมยอด แต่ถึงคุณจะเก่งแค่ไหนก็ไม่ใช่คู่แข่งของสมาชิกสมาคมหงเหมินหลายแสนคนหรอก?”
“ผมไม่ได้อยากจะทำอะไร…”
เยี่ยเทียนโบกมือ มองดูดวงหน้าเคร่งเครียดของตู้เฟยแล้วเอ่ยว่า “ผมแค่อยากจะทำตามความปรารถนาของอาจารย์ เข้าร่วมในสมาคมหงเหมิน!”
………………………………………………………………….