ขันทีและนางกำนัลตำหนักหลวนเฟิ่งต่างคุกเข่ารับโทษอยู่หน้าประตูวัง พวกเขาคุกเข่าลำตัวตั้งตรงโดยที่ไม่ต้องมีใครเฝ้า นางกำนัลและขันทีที่เดินผ่านไปมาต่างมองมาด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรผิดไป ฮองเฮาถึงลงโทษทุกคนให้คุกเข่าตั้งแต่วันแรกที่นางเข้าวัง
หลังจากลงจากเกี้ยวพระที่นั่ง ท่าป๋าหั่นหลินก็พุ่งตัวเดินอย่างโมโหกลับไปตำหนักชิงเซวียนทันที เมื่อได้ยินองครักษ์รายงาน อารมณ์โกรธที่เพิ่งระงับลงไปเมื่อครู่ก็เดือดพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เขาเขวี้ยงแก้วสุราในมือลงบนพื้นอย่างแรง แล้วสบถอย่างโมโหว่า “หวงฝู่เย่าเย่ว์ เจ้านังตัวดี เชือดไก่ให้ลิงดูรึ”
องครักษ์ตกใจจนคุกเข่าลง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
บรรยากาศในตำหนักกดดันจนผู้คนข้างในหายใจไม่ออก
ท่าป๋าหั่นหลินลุกขึ้น เดินวนไปวนมาในห้องหลายรอบ แล้วจู่ๆ ก็หันหลังเดินออกไป พูดมุมปากว่า “ข้าล่ะไม่เชื่อว่าเจ้าเข้าวังแล้วยังทำตัวก้าวร้าวเช่นนี้ได้”
หัวหน้าขันทีฮูรีบลุกขึ้น แล้วเดินตามหลังไป
หลังจากเดินออกจากวังเพียงไม่กี่ก้าว จู่ๆ ท่าป๋าหั่นหลินก็หยุดฝีเท้าลง เขายืนขมวดคิ้วอยู่ที่เดิม
องครักษ์ที่เดินตามข้างหลังก็หยุดลง ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
“เจ้าคิดว่า นางกำลังใช้อุบายหลอกล่อให้ข้าไปหานางหรือเปล่า” เสียงของท่าป๋าหั่นหลินดังขึ้นข้างหูของหัวหน้าขันทีฮู น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่มั่นใจ
หัวหน้าขันทีฮูไม่กล้าตอบ
ก่อนจะถึงวันนี้ เขาคิดว่าฮ่องเต้เป็นผู้สูงส่งไร้ซึ่งคนเทียมทาม แต่ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องวันนี้ เขาก็แสนจะมั่นใจว่า ฮองเฮาเองก็ไม่เป็นรองฮ่องเต้ ทั้งยังมีแนวโน้มที่สามารถสกัดกั้นฮ่องเต้ไว้ได้อีกด้วย ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าต่อไปใครเป็นใหญ่ในวังแห่งนี้ เขาไม่อยากยืนผิดฝ่าย หากทำให้ฮองเฮาไม่พอใจ ต่อไปคงอยู่ลำบากแน่
ท่าป๋าหั่นหลินก็แค่พูดไปเช่นนั้น ไม่ได้ต้องการให้เขาตอบจริงๆ หลังจากที่ตนถามเสร็จแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เพราะตนไม่ได้ส่งนางกลับวัง นางก็เลยคิดวิธีเช่นนี้ออกมา เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา ให้ตนไปหานาง
ไม่ได้ เขาจะตกหลุมพรางไม่ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็หันหลังกลับวังของตนไป
เศษแก้วแตกในห้องถูกเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้านเช่นเดิมแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินนั่งลงอีกครั้ง หยิบแก้วสุราขึ้นมาอย่างสบายใจ เมื่อคิดถึงใบหน้าเล็กๆ ของหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่บูดบึ้งเพราะเขาไม่ได้ไปหา ในใจเขาก็รู้สึกดีใจนัก จนอดไม่ได้ที่จะดื่มอีกสองสามแก้ว
แต่ทุกอย่างกลับกลับกันสิ้นเชิง หลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์ลงโทษทุกคนแล้ว นางก็ถอดเสื้อเจ้าสาวสีแดงตัวใหญ่ออก เช็ดเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าจนเกลี้ยงเกลา ปรากฏใบหน้าอันสะสวยอีกครั้ง นางสั่งเย่ว์เอ๋อร์และคนอื่นๆ ว่า “วันนี้เล่นเอาข้าเหนื่อยเลย ข้าอยากพักสักครู่ พวกเจ้าไปเฝ้าข้างนอกเถอะ”
หมิงเย่ว์และคนอื่นๆ ขานรับ เดินออกไป และปิดประตูเบาๆ
หวงฝู่เย่าเย่ว์นอนลง ดึงผ้าห่มฝั่งหนึ่งขึ้นแล้วห่มลง นางหลับตาลง ผ่านไปเพียงไม่นาน นางก็ผล็อยหลับไป
ขณะเดียวกัน ในตำหนักแห่งหนึ่งที่ตกแต่งค่อนข้างประณีตที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวังหลวง ก็มีเสียงสิ่งของถูกเขวี้ยงแตกลอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
นางกำนัลและขันทีต่างยืนหวาดกลัวอยู่นอกตำหนัก ไม่กล้าพูดอะไร
ในตำหนัก หลังจากที่หลิวอวี้เอ๋อร์เขวี้ยงของในตำหนักอย่างบ้าคลั่งแล้ว นางก็นั่งหอบอยู่บนเตียง นางไม่คิดเลยว่า ท่าป๋าหั่นหลินจะรักหวงฝู่เย่าเย่ว์ขนาดนี้ แม้แต่เดินขึ้นบันไดเพียงไม่กี่สิบขั้นยังไม่ยอมปล่อยให้นางเดินเอง ทั้งยังอุ้มนางเดินขึ้นไปต่อหน้าเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ และทูตต่างรัฐ จะให้นางไม่โกรธ ให้นางไม่เดือด ให้นางไม่โมโหได้อย่างไร ทั้งๆ ที่พวกนางต่างก็เกิดในตระกูลสูงส่ง เหตุใดหวงฝู่เย่าเย่ว์จึงเป็นคนที่ถูกเลือก ไม่เพียงแต่ได้ตำแหน่งฮองเฮา ยังได้รับความโปรดปรานจากท่าป๋าฮั่นหลิน แต่คนที่ทำทุกวิถีทางกลับไม่ได้นอนบนเตียงท่าป๋าหั่นหลิน นางเจ็บใจนัก! เจ็บใจจริงๆ!
เมื่อไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในตำหนัก เหล่านางกำนัลและขันทีสบตากันครู่หนึ่ง หัวหน้าขันทีและกูกูผู้ดูแลจึงผลักประตูเข้าไปอย่างกล้าหาญ เดินเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนูอวี้เอ๋อร์ ท่าน…”
ใช่สิ นี่ก็เป็นสิ่งที่อวี้เอ๋อร์โมโหเช่นกัน เพราะว่านางไม่สามารถนอนบนเตียงท่าป๋าหั่นหลินได้ จึงไม่มีแม้แต่ยศศักดิ์จนถึงทุกวันนี้ นางต้องอยู่อย่างไร้ตัวตน กลายเป็นเรื่องเล่าสนุกปากของผู้คนในวัง
นางลืมตาขึ้นมองไปที่หัวหน้าขันทีและกูกูผู้ดูแล นัยน์ตาลุกเป็นไฟ “เจ้าคนไร้ประโยชน์ทั้งสอง ไสหัวออกไปซะ ไม่มีคำสั่งของข้า ไม่ต้องมาปรากฎต่อหน้าข้า”
ทั้งสองสะดุ้งตกใจ ครั้นกำลังจะถอยกลับไป นางกำนัลคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเริงร่า “ข้าขอพบนายหญิง”
นางกำนัลที่เฝ้าอยู่หน้าประตูที่ค่อนข้างสนิทสนมกับนางโบกมือให้นาง เป็นสัญญาณว่าหลิวอวี้เอ๋อร์กำลังโมโหอยู่ ขอให้นางอย่าหาเรื่องใส่ตัว แต่หลิวอวี้เอ๋อร์ได้ยินเสียงของนางแล้ว ความเดือดภายในใจร้อนลุ่มขึ้นกว่าเดิม นางพูดเสียงแหลมสูงว่า “ไสหัวเข้ามา!”
นางกำนัลเดินเข้าไป เมื่อเห็นสิ่งของสะเปะสะปะบนพื้น แววตาพลันมีแสงแวบผ่าน สีหน้าเริงร่าบนใบหน้าก็หายไป นางพูดอย่างระมัดระวัง “นายหญิง”
“มีเรื่องอะไร” น้ำเสียงหลิวอวี้เอ๋อร์เต็มไปด้วยความโมโห ราวกับว่าหากนางกำนัลพูดอะไรไม่เข้าหู นางจะสั่งคนให้โบยนางให้ตายเสียอย่างนั้น
“นายหญิง ไม่รู้ว่าคนในวังฮองเฮาทำอะไรผิด ทุกคนถูกทำโทษคุกเข่าอยู่นอกตำหนัก แล้วก็ แล้วก็…”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ หลิวอวี้เอ๋อร์พลันมีพลังขึ้นมา นางยืดตัวตั้งตรง แล้วถามเสียงแหลมว่า “แล้วก็อะไร”
นางกำนัลรีบตอบว่า “อันที่จริงแล้วฝ่าบาทไม่ได้ไปวังฮองเฮา ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านไปตำหนักชิงเซวียนเจ้าค่ะ”
หลิวอวี้เอ๋อร์ลุกพรวด ถามอย่างไม่เชื่อว่า “เจ้าพูดจริงหรือ”
นางกำนัลพยักหน้า “หลังจากที่ข้าน้อยได้ยินแล้ว ก็ไปถามที่ตำหนักชิงเซวียนทันที ฝ่าบาทอยู่ในตำหนักจริงๆ เจ้าค่ะ”
“เร็วเข้า รีบไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
นางกำนัลขานรับ รีบวิ่งออกไปทันที
หลิวอวี้เอ๋อร์อดกลั้นความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ นางเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง
จนถึงเวลาพลบค่ำ ท่าป๋าหั่นหลินก็ไม่ได้มาตำหนักหลวนเฟิ่งเป็นไปตามที่หวงฝู่เย่าเย่ว์คาดไว้
หลังจากทานอาหารเสร็จ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เดินออกไปนอกห้อง มองสวนรอบทิศที่สวยงามในเรือน กำแพงที่ตั้งสูงตระหง่าน ในใจนางก็รู้สึกซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก นางมีนิสัยร่าเริง รักอิสระ การอยู่ในวังที่มีกำแพงสูงรอบทิศเช่นนี้ไม่ใช่ชีวิตที่นางใฝ่หา ก่อนที่ท่าป๋าหั่นหลินจะช่วยนางไว้ นางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตนเป็นคนเดินเข้ามาในนี้เอง และถูกขังในพื้นที่สี่เหลี่ยมนี้ไปตลอดชีวิต ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าการมีคนรักอยู่เคียงข้าง ชีวิตในอีกสิบปีข้างหน้าก็ไม่น่ายากลำบาก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทำลายภาพวาดฝันของนางไปอย่างสิ้นเชิง จากนี้ไป นางคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับกำแพงสูงตระหง่านและสวนหย่อมอันกว้างขวางนี้ตลอดไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์สูดหายใจเข้าลึก ถามคนที่อยู่ข้างกายว่า “หมิงเย่ว์ บอกข้าที หรือว่าข้าทำผิดไป”
หมิงเย่ว์ไม่ได้ตอบ และก็ไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไร
หวงฝู่เย่าเย่ว์มองออกไปในความมืดมิด เสียงก็ดังขึ้นเบาๆ ว่า “แม้จะทำผิดไป ข้าก็กลับตัวไม่ได้แล้ว หวังเพียงว่าฝ่าบาทจะไม่ทำเกินเลย ขอแค่เราต่างใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยก็พอ”
หมิงเย่ว์มองดูใบหน้าน้อยๆ ที่สงบนิ่งของหวงฝู่เย่าเย่ว์ ราวกับเห็นนางที่เติบใหญ่ขึ้นภายในชั่วพริบตา นางรู้สึกเศร้าใจนัก ก่อนจะถึงวันนี้ ท่านหญิงน้อยยังตื่นเต้นดีใจอยู่เลย จินตนาการว่าตนและฝ่าบาทจะรักใคร่กันดั่งดนตรีฉินเซ่อที่สอดประสานกัน แต่ตอนนี้ความฝันสลายแล้ว นางคิดว่าท่านหญิงน้อยจะร้องห่มร้องไห้ ตีโพยตีพาย แต่นางกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย นางแค่ยอมรับทุกสิ่งอย่างสงบ บังคับให้ตนเองโตเป็นผู้ใหญ่ภายในวันเดียว
ในตำหนักชิงเซวียน ท่าป๋าหั่นหลินนอนทิ้งร่างบนเตียง ในหัวคิดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนลุ่ม จนลุกพรวดขึ้นนั่ง “อีนังหนูสมควรตาย ดูซิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
ในขณะที่อารมณ์กำลังเดือดพล่าน จนคิดอยากจะฉีกเนื้อหวงฝู่อี้เซวียนเป็นชิ้นๆ อยู่นั้น หัวหน้าขันทีฮูก็ถามเสียงเบาจากข้างนอกว่า “ฝ่าบาท ฮองเฮาส่งคนมาถามว่า วันนี้ท่านจะกลับไปบรรทมที่ตำหนักหลวนเฟิ่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากไม่ไป นางจะรีบเข้าบรรทมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อท่าป๋าหั่นหลินฟังจบ ก็จับหมอนที่อยู่ข้างๆ โยนออกไป เสียงดัง ตุบ ชนกับประตูเข้าอย่างจัง เสียงพึมพำดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงโมโห “ไสหัวไป!”
ข้างนอกไม่มีเสียงใดๆ อีก
หน้าอกของท่าป๋าหั่นหลินหอบขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ความคิดอยากจะฆ่าคนแล่นผ่าน วันนี้เขายังแสดงออกไม่ชัดเจนพออีกหรือ แม่ตัวดีหน้าไม่อายยังบังอาจส่งคนมาถาม นางทนความเหงาไม่ได้เพียงไหนกัน อยากขึ้นเตียงของเขามากแค่ไหนกัน เขาจะไม่ทำให้นางสมปรารถนาแน่นอน ชีวิตนี้จะไม่แตะต้องตัวนางเลยด้วย
ในตำหนักชิงเซวียนเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงเคลื่อนไหว คนในวังที่เดินสวนกันไปมาอย่างขวักไขว่ก็หยุดงานของตนลง ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงสงบนิ่งของท่าป๋าหั่นหลินก็ดังขึ้นจากข้างในว่า “ขันทีฮู!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หัวหน้าขันทีฮูขานรับอย่างสุภาพ
“เรียกตัวหลิวอวี้เอ๋อร์มาถวายงาน!”
หัวหน้าขันทีฮูชะงัก
วันสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮา ฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ไม่ได้ไปบรรทมในวังฮองเฮา ยังเรียกหลิวอวี้เอ๋อร์มาปรนนิบัติอีก นี่ไม่ใช่การป่าวประกาศแก่คนใต้หล้าหรือว่าฮองเฮาตกกระป๋องตั้งแต่วันแรก วันเวลาที่เหลือในวังของฮองเฮาไม่ต้องคิดก็รู้แล้วล่ะ
ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้ยินเสียงขานตอบ ก็ขมวดคิ้ว ถามด้วยความโมโหว่า “ไม่ได้ยินที่เราพูดหรือ เรียกหลิวอี้เอ๋อร์มาถวายงาน!”
หัวหน้าขันทีฮูตั้งสติได้ รีบขานตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไปเรียกคุณหนูอวี้เอ๋อร์มาเดี๋ยวนี้”
ในห้องเงียบไป
หัวหน้าขันทีฮูเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก นำขันทีสองคนตามมาที่ตำหนักฉู่ลี่
เมื่อหลิวอวี้เอ๋อร์ทราบข่าวที่แน่ชัดว่าท่าป๋าหั่นหลินอยู่ในตำหนักชิงเซวียน ไม่ได้ไปตำหนักหลวนเฟิ่ง นางก็ดีใจ แอบคิดว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็มีวันนี้เหมือนกัน เมื่อได้ยินราชโองการจากขันทีฮู นางไม่ทันตั้งสติได้ เอาแต่นั่งนิ่งไม่ขยับ
กูกูผู้ดูแลวังรีบสะกิดเรียกนางเสียงเบา “คุณหนูอวี้เอ๋อร์ รีบอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ฝ่าบาทรอท่านไปถวายงานอยู่นะเจ้าคะ”
หลิวอวี้เอ๋อร์เพิ่งตั้งสติได้ ถามอย่างยินดีปรีดาว่า “ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ ฝ่าบาทเรียกข้าไปถวายงานจริงๆ ใช่หรือไม่”
กูกูผู้ดูแลวังพยักหน้าอย่างดีใจ “ท่านฟังไม่ผิด ฝ่าบาทเรียกท่านไปถวายงานเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดจบ สีหน้าดีใจบนใบหน้านั้นไม่สามารถปกปิดไว้ได้ ครั้งที่แล้วคุณหนูไปถวายงาน แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจ จนถูกไล่ออกมา ทำเอาพวกนางถูกคนในวังเยาะเย้ยอยู่ไม่รู้นานขนาดไหน ตอนนี้ดีแล้วล่ะ ในวันราชาภิเษกสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮา ฮ่องเต้ไม่ไปบรรทมในตำหนักฮองเฮา กลับมาเรียกคุณหนูอวี้เอ๋อร์ไปถวายงาน นี่หมายความว่าในใจของฮ่องเต้นั้นคุณหนูอวี้เอ๋อร์สำคัญกว่าฮองเฮา ต่อไปพวกนางทุกคนในตำหนักฉู่ลี่แห่งนี้ จะได้เดินเชิดหน้าชูตาต่อหน้าผู้คนในวังได้แล้ว