ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 132 คู่รักคู่แค้น

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หลิวอวี้เอ๋อร์แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างละเมียดละไม นางขึ้นนั่งเกี้ยวสำหรับนางสนมของราชวัง โดยมีนางในและขันทีสองสามคนติดตาม จนเกี้ยวมาถึงตำหนักชิงเซวียน  

 

 

ในตำหนักชิงเซวียน เมื่อคิดถึงการกระทำของหวงฝู่เย่าเย่ว์ในวันนี้ ความคิดหนึ่งเดียวของท่าป๋าหั่นหลินที่กำลังโมโหจนศีรษะลุกเป็นไฟก็คือการทำให้นางอับอาย ให้นางกลายเป็นที่หัวเราะเยาะ ให้นางไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้คนในวัง อยากรู้เหลือเกินว่านางจะบังอาจเช่นนี้อีกหรือไม่ ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็ตั้งตารอหลิวอวี้เอ๋อร์มา วันนี้เขาจะอุปถัมภ์นาง พรุ่งนี้จะแต่งตั้งนางเป็นกุ้ยเฟย เสพสังวาสกับนาง ให้นางมีลูก ให้นางเหยียบย่ำหวงฝู่เย่าเย่ว์ให้จมดิน เมื่อคิดถึงภาพนั้น ท่าป่าหั่นหลินอารมณ์ก็พลันปลุกปั่นขึ้นมา เขารู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก  

 

 

“ฝ่าบาท หลิวอวี้เอ๋อร์มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงรายงานของหัวหน้าขันทีฮูดังขึ้นจากข้างนอก  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินตัวกระตุก ออกคำสั่งอย่างอดใจรอไม่ไหวว่า “ให้นางเข้ามา!” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

เมื่อขานตอบเสร็จ ประตูห้องก็ค่อยๆเปิดออก ใบหน้าที่ถูกประทินโฉมอย่างพิถีพิถันของหลิวอวี้เอ๋อร์ก็ปรากฏอยู่ข้างประตู  

 

 

“ฝ่าบาทเพคะ!” ความตื่นเต้นดีใจที่ซ่อนเร้นอยู่ในความระมัดระวัง ความคาดหวังที่ซ่อนเร้นอยู่ในความวิตกกังวล เสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์นั้นช่างเย้ายวน สวยหยาดเยิ้ม และเป็นผู้ใหญ่ ทุกๆ อากัปกิริยาของนางช่างลงตัวและพอดี ทำเอาผู้คนอยากทะนุถนอม และครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างยากที่จะฝืน  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินโบกมืออย่างร้อนอกร้อนใจ “มาหาข้า!” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ก้าวเท้าเดินอย่างอ่อนช้อยนุ่มนวล ลำตัวพลิ้วไหวไปมา เดินเข้าหาท่าป๋าหั่นหลินด้วยมารยาร้อยเล่มเกวียน นางเดินพลางถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นส่วนเว้าโค้งภายในเรือนร่างอันงดงามที่ถูกปกปิดด้วยผ้าโปร่งบาง 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินมองจนเลือดเนื้อสูบฉีด ลูกกระเดือกระริกระรี้กลิ้งไปมาอยู่ในลำคอ เมื่อหลิวอวี้เอ๋อร์มาถึงข้างเตียง ท่าป๋าหั่นหลินก็ยื่นมือไปคว้านาง ดึงนางขึ้นมาบนเตียง ลำตัวก็ทับลงไปพร้อมลมหายใจที่เต็มไปด้วยความใคร่อันร้อนรุ่มที่สาดกระเซ็นไปทั่วใบหน้าของหลิวอวี้เอ๋อร์  

 

 

เสียงร้องตกใจอันเสแสร้งที่ปิดบังไว้ไม่อยู่ดังขึ้นอีกครั้ง จนทุกคนนอกตำหนักได้ยิน คนตำหนักฉู่ลี่ลุ้นระทึก รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี 

 

 

เมื่อสัมผัสถึงความเร่าร้อนของท่าป๋าหั่นหลิน หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ยื่นมือไปคล้องคอเขาไว้อย่างกล้าหาญ พูดด้วยน้ำเสียงสุดจะยั่วยวนว่า “ฝ่าบาทเพคะ ให้อวี้เอ๋อร์รับใช้ท่านดีหรือไม่เพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินก้มศีรษะลง แล้วกัดลงไปบนหัวไหล่อันขาวนวลที่เปลือยเปล่าของนางจนนางร้องเจ็บ ในขณะที่หลิวอวี้เอ๋อร์เจ็บจนกระหืดกระหอบอยู่นั้น เสียงแหบแห้งของท่าป๋าหั่นหลินก็ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มอันชั่วร้าย เขาถามว่า “เจ้าจะรับใช้อย่างไร” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินกัดเจ็บและแรงมาก หลิวอวี้เอ๋อร์เจ็บจนน้ำตาเล็ด น้ำตาที่คลอเป็นประกายวิบวับอยู่ในดวงตายาวรีดั่งนกการเวกของนาง เผยให้เห็นความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่เล็กน้อย นางพูดค้อนใส่ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความลำบากใจ “ฝ่าบาท!” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินกระตุกมุมปาก ยิ้มอย่างชั่วร้าย แล้วเคลื่อนลำตัวลงจากตัวนาง เขานอนแผ่หลาบนเตียงใหญ่ “ไม่ใช่บอกว่าจะรับใช้เราหรือ หากทำให้เรามีความสุขได้ เรามีราชโองการแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกุ้ยเฟยทันที” 

 

 

น้ำตาหลิวอวี้เอ๋อร์พลันหายไป นัยน์ตาแสดงความดีใจ นางลุกขึ้น คุกเข่าลงข้างกายท่าป๋าหั่นหลิน แล้วมองตาเขา “ฝ่าบาท ฝ่าบาทพูดจริงหรือเพคะ” 

 

 

“อยู่ที่ความสามารถของเจ้าแล้วล่ะ” ตอนนี้ท่าป๋าหั่นหลินมีอารมณ์ดีมาก น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความสุข 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ดีใจแทบจะบ้าคลั่ง เมื่อพูดจบนางก็ลุกขึ้นช้าๆ แล้วค่อยๆ ถอดผ้าบางโปร่งที่ตนสวมอยู่ต่อหน้าท่าป๋าหั่นหลิน จนไม่หลงเหลือสักชิ้น จากนั้น ก็ยืนคุกเข่าข้างกายท่าป๋าหั่นหลิน ยื่นมือออกไป เริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขา  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินคล้อยตามนาง เขายกลำตัวขึ้นเล็กน้อย ปล่อยให้นางถอดชุดนอกของตนออก จากนั้นก็เป็นชุดชั้นใน  

 

 

เมื่อครั้นมือของหลิวอวี้เอ๋อร์สัมผัสโดนชุดชั้นในของเขา ไม่รู้เหตุใด ท่าป๋าหั่นหลินพลันรู้สึกต่อต้านขึ้นมา เขาอยากจะผลักมือนางออกไป แต่ก็ขมวดคิ้วแล้วฝืนอดทนไว้  

 

 

เมื่อคิดถึงการโมโหอย่างไม่ทราบสาเหตุของท่าป๋าหั่นหลินเมื่อครั้งที่แล้ว หลิวอวี้เอ๋อร์ก็มองสีหน้าเขาพลางแกะสายรัดชุดชั้นในออกด้วยอาการสั่นเทาเล็กน้อย  

 

 

จนเมื่อถอดสายรัดออกหมดแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินยังคงยิ้มมองนาง หลิวอวี้เอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็สบายใจ ความกล้าหาญจึงบังเกิดขึ้น นางช่วยถอดชุดชั้นในของเขาออกอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเรือนร่างอันวิจิตรและแข็งแกร่งของเขา นางก็กลืนน้ำลายลงไปอย่างอดไม่ได้ ครั้นกำลังเคลื่อนไหวตัว หวังจะทับลำตัวลงบนเรือนร่างของเขา  

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ก็มีใบหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์โผล่ขึ้นมาในความคิดของท่าป๋าหั่นหลิน เป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้น ความคับข้องใจ ทันใดนั้นเขาก็ผลักหลิวอวี้เอ๋อร์ออกไปอย่างจับพลัดจับผลู  

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ทันตั้งตัว นางล้มหัวทิ่มตกลงบนพื้น  

 

 

โอ้ย! เสียงร้องดังไปทั่วทั้งตำหนักชิงเซวียน  

 

 

ทุกคนนอกตำหนักสะดุ้งเล็กน้อย ต่างเงยหน้าขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย และมองไปทางข้างในตำหนัก  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินตั้งสติได้ ก็รีบคว้าเสื้อผ้าที่อยู่ข้างตัวมาปิดส่วนสำคัญไว้ เขาลุกนั่งขึ้น มองหลิวอวี้เอ๋อร์ที่นอนแผ่ราบอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนา เขาเม้มปาก ไม่พูดไม่จา  

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ล้มหัวกระแทกจนมึนงงไปหมด นางทิ้งตัวนอนนิ่งบนพื้นที่เย็นเฉียบ เบิกตาโพลง มองท่าป๋าหั่นหลินอย่างไม่อยากจะเชื่อ  

 

 

ในตำหนักชิงเซวียนเงียบสงัด 

 

 

ทุกคนที่อยู่นอกตำหนักชิงเซวียนพากันคร่ำเครียด โดยเฉพาะคนตำหนักฉู่ลี่ ขาของพวกเขาสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ หากครั้งนี้ คุณหนูอวี้เอ๋อร์ยังคงไม่สามารถได้รับความอุปถัมภ์จากฮ่องเต้ คนตำหนักฉู่ลี่พวกเขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้อิสระอีกต่อไปแล้ว 

 

 

ในตำหนัก  

 

 

ผ่านไปนานแสนนาน  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเอ่ยปาก พูดด้วยน้ำเสียงไร้ความปรานีว่า “พวกเขาสอนเจ้ามาแค่นี้รึ” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจเสียงดุดันของเขา เมื่อนางตั้งสติได้ ก็ตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “ไม่ ไม่ ไม่ใช่เพคะ…” 

 

 

“แสดงฝีมือออกมาสิ ให้เราดูหน่อย หากเรียกความสนใจจากเราไม่ได้ ก็กลับไปแขวนคอตายเสียเถิด” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ตัวสั่นด้วยความหวาดผวา ใบหน้าก็ปรากฏความกลัว นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่าป๋าหั่นหลินจึงผลักตนเองออกในจังหวะสำคัญเช่นนี้ หรือว่า… เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็มองไปที่ลำตัวส่วนล่างของเขา 

 

 

นางลืมปกปิดสายตาที่มองตรงไปและแสดงสีหน้าออกอย่างชัดเจน ท่าป๋าหั่นหลินจะไม่รู้ความหมายของนางได้อย่างไร เขาโกรธขึ้นมาทันใด หยิบเสื้อผ้าออก แล้วลงจากเตียงมาถีบหลิวอวี้เอ๋อร์ไปเต็มแรง “หาเรื่องตายรึ!” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกถีบลงไปกับพื้น นางรีบปีนป่ายขึ้นมาอย่างไม่มีเวลาให้รู้สึกเจ็บ แล้วคุกเข่าอยู่หน้าขาของเขา ไม่กล้าแม้แต่เงยหน้าขึ้น เอาแต่คุกเข่าโขกหัวขอความเมตตา “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยเพคะ! ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยเพคะ!” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินมองสภาพทุลักทุเลของนาง ภาพของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ปรากฏในศีรษะของเขาอีกครั้ง เขายิ่งขุ่นเคือง ความโมโหก็ทวีความรุนแรงขึ้น เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รู้หรือยังว่าต้องทำอย่างไร” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ผงกศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย  

 

 

“ทำ!”  

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์รีบลุกขึ้นมา ยืนตรงหน้าเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ใช้ท่าทางยั่วยวนเขาทุกวิธีที่ถูกสอนมา  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินยิ่งเดือด เขาถีบออกไปเต็มแรง “ไร้ประโยชน์สิ้นดี เราให้เจ้าทำอย่างนี้รึ” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกถีบลงบนพื้นอีกครั้ง เสียงหึ่งๆ ดังก้องในหู นางไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้ดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร  

 

 

ไม่เพียงแต่ความโมโหของท่าป๋าหั่นหลินที่ไม่ได้ระบายออกมา แต่ความโมโหของเขากลับเดือดพล่านยิ่งขึ้นไปอีก เขาโกรธจนหอบหายใจขึ้นลง เสียงลมหายใจอันหนักหน่วงดังไปทั่วตำหนัก  

 

 

แม้จะเจ็บปวดมากเพียงใด หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ไม่กล้าแสร้งนอนตาย นางฝืนความเจ็บไว้ ค่อยๆ ลุกขึ้น คุกเข่าต่อหน้าท่าป๋าหั่นหลินอย่างนอบน้อม พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ฝ่าบาท!” 

 

 

น้ำเสียงของท่าป๋าหั่นหลินเคร่งขรึม และเต็มไปด้วยความดุดัน “รู้หรือยังว่าเราต้องการให้เจ้าทำอะไร” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา นางรีบส่ายหน้า “ไม่ ไม่ทราบเพคะ ฝ่าบาทโปรดให้ความกระจ่างเพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินจ้องนาง สายตาราวกับจะฉีกเนื้อนางให้แหลกเป็นชิ้นๆ 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์กลัวยิ่งกว่าเดิม นางอยากจะกรีดร้องแล้ววิ่งหนีจากที่นี่ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่นางก็ไม่กล้า ได้แต่คุกเข่าอยู่ที่เดิมด้วยเนื้อตัวที่สั่นสะท้าน รอคอยคำสั่งของท่าป๋าหั่นหลิน  

 

 

เสียงเคร่งขรึมดังขึ้น “พรุ่งนี้ ข้าต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเจ้าเป็นของข้าอย่างสมบูรณ์แล้ว และเจ้ายังคงถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย เข้าใจหรือยัง” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ทันตั้งสติได้ นางเงยหน้าเหม่อมองเขา 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินมองกลับมาอย่างรังเกียจและโกรธแค้น เขาเดินไปข้างเตียง โค้งลำตัวลงไปเก็บเสื้อผ้าของตนขึ้นมาทีละตัว แล้วพาดบนไหล่ของตน เดินไปห้องสรงที่อยู่ข้างหลัง 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงร้องครางที่คละเคล้าไปด้วยความเจ็บปวดและความสุขเล็กน้อยก็ดังออกมาจากในตำหนัก จนดังเข้าหูของทุกคนที่อยู่นอกตำหนัก  

 

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ไม่เพียงแต่คนตำหนักฉู่ลี่ แม้แต่หัวหน้าขันทีฮูและบ่าวสาวรับใช้ตำหนักชิงเซวียนก็โล่งอก ฮ่องเต้สิบแปดพรรษาแล้ว ยังไม่เคยสัมผัสความงามของหญิงสาว ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกกังวลอย่างยิ่ง พวกเขากลัวว่าฮ่องเต้จะเก็บซ่อนความลับไว้ แต่ตอนนี้ฮ่องเต้อุปถัมภ์คุณหนูอวี้เอ่อร์แล้ว แสดงว่าพลามัยของท่านยังแข็งแรงสมบูรณ์ดี ใช้เวลาไม่นานก็คงมีบุตรแล้วล่ะ  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินอยู่ในห้องสรง ฟังเสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์ที่อยู่ข้างนอกด้วยแววตาเคร่งเครียด  

 

 

เสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์ดังต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม แล้วจึงหยุดลง  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูเดินขึ้นหน้า ถามเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ในตำหนักไม่มีเสียงใดๆ  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูไม่ได้ถามต่อ เขาโบกมือให้เหล่าขุนนางและขันทีที่อยู่ข้างหลังอย่างดีใจระริกระรี้ เป็นสัญญาณให้ทุกคนถอยหลังออกไป อย่ารบกวนฮ่องเต้และคุณหนูอวี้เอ๋อร์พักผ่อน  

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์นั่งอยู่บนเตียง มองไปที่ห้องสรง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่รุนแรง  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินออกมาจากห้องสรง หลิวอวี้เอ๋อร์มองกลับมา ลุกขึ้นยืนอย่างนอบน้อม  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเหลือบมองนาง แล้วสั่งอย่างส่งเดชว่า “ทำให้เรียบร้อย” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ก้มหน้าลง กัดปาก แล้วขานตอบ เมื่อพูดจบ ก็เดินไปข้างโต๊ะ กัดฟัน แล้วโยนแก้วชาลงบนพื้น เสียงแตกหักของกระเบื้องทำเอาหัวหน้าขันทีฮูสะดุ้งตกใจ เขารีบวิ่งเหยาะๆ มาหน้าประตู แล้วถามอย่างรีบร้อนว่า “ฝ่าบาท เกิดเรื่องอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินมองไปที่หลิวอวี้เอ๋อร์ หลิวอวี้เอ๋อร์โค้งลำตัวลงไปเก็บเศษกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้นมา นางเดินกลับไปข้างเตียง แล้วคุกเข่าลงบนเตียง นางกัดฟันพร้อมกับกรีดแผ่นกระเบื้องลงบนขาขวาด้านในของตน เลือดไหลซิบ หยดลงบนผ้าปู  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินหยิบผ้าห่มขึ้นมาโยนไปที่นาง เพื่อให้นางปกปิดเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไว้ แล้วสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เข้ามาเก็บกวาด” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูผลักประตูอย่างเบามือ แล้วเดินเข้าไป เมื่อเขาเห็นเศษกระเบื้องที่แตกกระจายบนพื้น ก็โบกมือขึ้น นางในสองคนก้มหน้าเดินเข้ามาทันที พวกนางเก็บความเศษกระเบื้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงก้มศีรษะถอยออกไป 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินโบกมือ “เราเหนื่อยแล้ว ตรงนี้ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว ออกไปเถิด” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูขานตอบ แล้วถอยออกจากตำหนักไป เขาค่อยๆ ปิดประตูลง แล้วจึงถอนหายใจยาว  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเหลือบมองหลิวอวี้เอ๋อร์ที่นิ่งไม่ขยับอย่างรังเกียจ แล้วออกคำสั่งเสียงทุ้มต่ำว่า “ไสหัวไปนอนบนตั่งซะ!”