หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน
วันที่สอง หลิวอวี้เอ๋อร์สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ ก็ถูกนางกำนัลประคองออกมาเพราะขาที่สั่นระริก นางขึ้นนั่งบนเกี้ยว ในมือถือแผ่นกระเบื้อง กลับตำหนักฉู่ลี่ไป
หลังจากนางกำนัลช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องให้ท่าป่าหั่นหลินเสร็จ เขาก็นั่งเกี้ยวพระที่นั่งมาถึงตำหนักหลวนเฟิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้รับรายงาน ก็สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยเดินออกมาคารวะ “คารวะฮ่องเต้เพคะ!”
ท่าป๋าหั่นหลินหน้านิ่งไม่พูดอะไร
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ไม่ใส่ใจ นางลุกยืนตัวตรง หมิงเย่ว์และหมิงสยาประคองนางขึ้นเกี้ยวพระที่นั่ง แล้วนั่งข้างๆ เขาอย่างสุภาพ
“ไปวังหย่งเหอ” ท่าป๋าหั่นหลินพูดเสียงเล็ดลอดออกมาทางซี่ฟัน
เกี้ยวพระที่นั่งค่อยๆ เคลื่อนตัวไปช้าๆ จนถึงในตำหนักไทเฮา
วันนี้เป็นวันราชาภิเษกสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮาวันแรก ตามขนบธรรมเนียมแล้วต้องไปเข้าเฝ้าไทเฮา ไทเฮาอยู่รอตั้งแต่เช้าแล้ว
เมื่อได้รับรายงานจากนางกำนัล จึงยิ้มพลางสั่งทั้งสองเข้ามา
ทั้งสองเดินเข้ามาในตำหนัก แล้วคุกเข่าโขกหัวลงบนพื้นเพื่อคารวะไทเฮา
หลังจากคารวะแล้ว ไทเฮาก็ยื่นมือออกไป ประคองหวงฝู่เย่าเย่ว์ขึ้นมา แล้วมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ ยิ่งมองก็ยิ่งถูกใจ นางจึงยิ้มแล้วผงกศีรษะ “ฝ่าบาทตาถึงจริงๆ ฮองเฮาช่างงดงามนัก”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หน้าแดงระเรื่อ “ขอบพระทัยเสด็จแม่ชมเชยเพคะ”
ไทเฮาถอดกำไลมือของตนออกมา แล้วสวมให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ ยิ้มพูดว่า “กำไลมือนี้คือกำไลที่ฮ่องเต้องค์ก่อนประทานให้ข้าเมื่อครั้นเราพบหน้ากันครั้งแรก ข้าใส่มาตลอดหลายสิบปีไม่เคยถอดออกเลย วันนี้ข้าขอมอบให้เจ้า หวังว่าเจ้าและฝ่าบาทและรักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนกับข้าและฮ่องเต้องค์ก่อน”
เมื่อเห็นไทเฮามอบกำไลที่ตนไม่เคยถอดออกเลยมาตลอดหลายสิบปีให้กับหวงฝู่เย่าเย่ว์ ท่าป๋าหั่นหลินก็ชะงักเล็กน้อย ครั้นกำลังจะพูดห้าม หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยิ้มกล่าวขอบคุณอย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน “ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ เย่ว์เอ๋อร์ยังอายุยังน้อย ต่อไปอาจทำอะไรมิเหมาะสมไปบ้าง หวังว่าเสด็จแม่จะช่วยชี้แนะเย่ว์เอ๋อร์เพคะ”
ไทเฮาชอบคนตรงไปตรงมาเช่นนี้ โดยเฉพาะนางยังเป็นลูกสะใภ้ของตนอีก นางอดดีใจไม่ได้ ไทเฮาจับมือนางขึ้นมาวางลงข้างกายตน ยิ้มพลางพูดว่า “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ในวังนี้มีกฎระเบียบมากมาย มีอะไรไม่เข้าใจมาถามแม่ได้ แม่จะช่วยเจ้าเอง”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มดั่งดอกไม้บานพูดกล่าวขอบคุณ
ท่าป๋าหั่นหลินรู้เพียงว่ารอยยิ้มนั้นสร้างความรำคาญใจนัก เขาจึงพูดขึ้นว่า “เสด็จแม่ เมื่อคืนลูกให้อวี้เอ๋อร์ถวายงาน ลูกอยากมอบตำแหน่งให้นางเป็นกุ้ยเฟย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ชะงักไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันหายไป
ท่าป๋าหั่นหลินจ้องมองนาง เมื่อเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้สึกสาสมใจอย่างบอกไม่ถูก
ไทเฮากลับรู้สึกอยากจะทุบตีท่าป๋าหั่นหลินเสียเหลือเกิน คืนวันแรกที่ฮ่องเต้และเฮาฮองแต่งงานกัน เขาไม่ไปตำหนักหลวนเฟิ่งก็แล้วไป แต่กลับให้หญิงอื่นมาปรนนิบัติ ในขณะที่ขบวนส่งตัวเจ้าสาวของรัฐอู่ก็ยังไม่ได้กลับไป หากเรื่องนี้ถึงหูฮ่องเต้รัฐอู่ ท่าป๋าหั่นหลินจะยังได้เป็นฮ่องเต้อยู่ไหมนะ
ไทเฮาถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง แล้วสั่งกูกูผู้ดูแลตำหนักหย่งเหอว่า “ไปนำตราประทับหงส์มา”
เมื่อได้ตราประทับหงส์มา ไทเฮาก็ส่งให้หวงฝู่เย่าเย่ว์กับมือตน “วันนี้เสด็จแม่ส่งมอบตราประทับหงส์ให้เจ้า ต่อไปเจ้าเป็นคนตัดสินใจทุกเรื่องในวังได้เลย” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ก็จงใจมองไปที่ท่าป๋าหั่นหลินแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “หากเจ้าไม่ชอบพอใคร ก็รีบกำจัดทิ้งได้เลย”
ท่าป๋าหั่นหลินไม่เคยพูดถึงสถานะของหลิวอวี้เอ๋อร์เลย ไทเฮาคิดว่านางเป็นแค่หญิงสาวที่ไม่รู้ว่าท่าป๋าหั่นหลินไปหามาจากไหนที่ดูเหมือนจะเข้าท่า แต่เมื่อเทียบกับสถานะของหวงฝู่เย่าเย่ว์ อย่าว่าแต่หลิวอวี้เอ๋อร์คนเดียวเลย จะพันคนหรือหมื่นคนตายไปก็ไม่ควรค่าแก่การเสียดาย
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่คิดว่าไทเฮาจะมอบตราประทับหงส์ให้นางตั้งแต่วันที่สองหลังแต่งงาน นางจึงชะงักไปเล็กน้อย
นางยื่นมือออกไปรับไว้ กล่าวขอบคุณไทเฮา แล้วส่งให้หมิงเย่ว์ที่อยู่ข้างกาย ยิ้มพูดขึ้นว่า “เสด็จแม่ ในเมื่อฮ่องเต้พอพระทัยในตัวคุณหนูอวี้เอ๋อร์ขนาดนั้น ก็ตามใจฝ่าบาทเถอะเพคะ”
ไทเฮาคิดว่าตนฟังผิดไป นางแสดงสีหน้าประหลาดใจ อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ฮองเฮา เจ้า…”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มแล้วพูดต่อ “ฮ่องเต้รอสู่ขอข้าเพื่อตบแต่งเข้าวังมาหลายปี จนทำให้การมีลูกสืบทอดรัชทายาทล่าช้าออกไป ตอนนี้ข้าอยู่ในวังแห่งนี้แล้ว ย่อมต้องคิดแทนฮ่องเต้ให้มากเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินมองรอยยิ้มนั้นแล้วรู้สึกรำคาญใจอีกครั้ง เขาร้อง ฮึ ขึ้นมา “เสแสร้ง!”
หวงฝู่เย่าเย่ว์แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ใบหน้านางยังคงปรากฏรอยยิ้มสุภาพ
ไทเฮากลับไม่พอใจ นางตำหนิท่าป๋าหั่นหลิน “ฝ่าบาท ท่านพูดจาแดกดันเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน ไม่พอใจที่ฮองเฮาใจกว้างเกินไปหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องแต่งตั้งให้อวี้เอ๋อร์แล้ว ไล่ออกจากวังไปเสีย!”
เมื่อเห็นไทเฮาโมโห ท่าป๋าหั่นหลินก็เงียบกริบ
ไทเฮาจับมือหวงฝู่เย่าเย่ว์ พูดกับนางอย่างจริงใจว่า “ฮองเฮา เจ้ามีเรื่องทุกข์ร้อนใจอะไรมาบอกข้าได้เลย ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มขอบคุณ กลับไม่ร้องทุกข์เรื่องใดๆ เลย
ไทเฮายิ่งชอบนาง จูงมือนางแล้วพูดคุยต่ออีกครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มพูดว่า “เจ้ามาแต่ไกล เมื่อวานก็ยุ่งวุ่นวายกับพิธีสมรส ยังไม่ทันได้พักผ่อนดีๆ เลย วันนี้หลังจากกลับไปแล้ว พักผ่อนดีๆ เสียนะ ต่อไปการเข้าเฝ้าน้อมทักยามเช้าก็ละไว้เถิด”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ”
หลังจากออกมาจากตำหนักหย่งเหอ ก็ขึ้นนั่งเกี้ยวพระที่นั่ง ท่าป๋าหั่นหลินยิ่งมองหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยิ่งขัดเคืองใจ ไม่รู้ว่านางแอบใส่ยาเสน่ห์อะไรลงไปให้เสด็จแม่เสวย จนเสด็จแม่ไม่เพียงแต่ตำหนิเขาต่อหน้านาง แล้วยังละการเข้าเฝ้ายามเช้าให้นางอีก เขาหันศีรษะไป ขึ้นเสียงสูงสั่งหัวหน้าขันทีฮูอย่างจงใจว่า “ข้ามีราชโองการให้แต่งตั้งคุณหนูอวี้เอ๋อร์เป็นกุ้ยเฟย ให้นางย้ายออกจากตำหนักฉู่ลี่เสีย และเข้าตำหนักชิงเหอทันที”
หัวหน้าขันทีฮูขานรับ ไปส่งสานส์ที่ตำหนักฉู่ลี่
หวงฝู่เย่าเย่ว์แสดงสีหน้านิ่งเรียบ ราวกับไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร
ท่าป๋าหั่นหลินหงุดหงิด แต่ระบายออกมาไม่ได้ เขาโมโหนัก จึงแสร้งพูดหาเรื่องอีกว่า “เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว ประเดี๋ยวจัดแจงพิธีแต่งตั้งตำแหน่งให้เลยแล้วกัน อวี้เอ๋อร์เป็นหญิงที่ข้าชอบพอ จะทำให้นางตกลำบากมิได้”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ กลับไปแล้วจะจัดแจงให้เลยเพคะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบอย่างสุภาพ สีหน้านิ่งเรียบ
ท่าป๋าหั่นหลินโมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมา ทันใดนั้นก็ตะโกนขึ้นมาว่า “หยุดเกี้ยว!”
เกี้ยวหยุดลง
ท่าป่าหั่นหลินหันไปมองหวงฝู่เย่าเย่ว์ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ไสหัวลงไปซะ!”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เพียงมองด้วยสายตานิ่งๆ ไปที่เขา แล้วก็หลุบตาลง “ฮ่องเต้ลืมไปแล้วหรือเพคะ เมื่อวานหม่อมฉันเท้าแพลง วันนี้ยังเดินไม่ได้เพคะ”
“เจ้า…”
ท่าป๋าหั่นหลินโกรธจนสะบัดแขนเสื้อ ลงจากเกี้ยวพระที่นั่ง แล้วเดินสาวเท้าไปอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เพิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ตนเองเป็นคนไล่นางลงจากเกี้ยวพระที่นั่งเพื่อให้นางอับอายในวังนี้แท้ๆ เหตุใดกลับกลายเป็นเขาเองที่เป็นคนเดินเล่า
เขาหันศีรษะกลับไปมองดูเกี้ยวพระที่นั่งที่ห่างออกไป กัดฟันกรอด
หลิวอวี้เอ๋อร์กลับไปในตำหนักฉู่ลี่ หลังจากไล่ทุกคนออกจากห้องแล้ว ก็นำแผ่นกระเบื้องที่แตกหักไปเก็บไว้ในที่ที่ลับตาคน จากนั้นก็ฟุบศีรษะลงบนเตียง มือทุบตีผ้าห่ม ระบายความไม่พอใจและความโกรธของตนอย่างไร้เสียงใดๆ
เมื่อหัวหน้าขันทีไปส่งสานส์ หลิวอวี้เอ๋อร์กำลังระบายอารมณ์อยู่ด้วยผมเผ้ารุงรัง และสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว
เมื่อหัวหน้าขันทีฮูบอกว่าฮ่องเต้มีราชโองการ กูกูผู้ดูแลวังก็รีบพานางกำนัลสองสามคนเข้าไป เพื่อรีบพยุงนางออกมารับราชโองการ โดยที่ยังไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อวี้เอ๋อร์ ทำเพียงหวีผมเผ้าให้เรียบร้อยพอเป็นพิธี
เมื่อได้ยินราชโองการ ตำหนักฉู่ลี่ก็คึกคักขึ้นมาทันที หลังจากหัวหน้าขันทีฮูไปแล้ว ต่างก็คุกเข่าแสดงความยินดีกับหลิวอวี้เอ๋อร์
ใบหน้าหลิวอวี้เอ๋อร์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางพูดกับทุกคนว่า “รีบไปเก็บของย้ายไปตำหนักชิงเหอ หลังจากได้ตำแหน่งแล้ว ข้าจะตบรางวัลให้พวกเจ้าทุกคน”
นายหญิงได้ตำแหน่งเป็นกุ้ยเฟย แล้วยังได้รางวัลอีก คนในตำหนักฉู่ลี่ตื่นเต้นดีใจราวกับฉีดเลือดไก่ หลังจากเก็บของทุกอย่างอย่างคล่องแคล่วเสร็จแล้วก็ย้ายไปตำหนักชิงเหอ
มองดูเรือนในตำหนักชิงเหอที่ใหญ่ขึ้นกว่าที่เดิมหลายเท่า หลิวอวี้เอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่เรื่องเมื่อคืนที่นางไม่ได้ขึ้นเตียงท่าป๋าหั่นหลินก็ลืมไปเสียหมดสิ้น
ยังไม่ทันเก็บของเสร็จ ก็มีราชโองการมาอีก ว่าวันนี้จะจัดพิธีแต่งตั้ง ให้นางรีบไปวังฮองเฮาทันที
หลิวอวี้เอ๋อร์ตะลึงงันกับข่าวดีนี้ หลังจากยุ่งเป็นพัลวันแล้ว นางก็สวมใส่เสื้อผ้ากุ้ยเฟยที่ถูกส่งมาจากโรงทอผ้าเสร็จ ขึ้นนั่งบนเกี้ยวพระที่นั่ง จนมาถึงนอกตำหนักหลวนเฟิ่ง
เท้าข้างหนึ่งเพิ่งจะลงจากเกี้ยว ก็นึกขึ้นได้ว่าฮองเฮาคือหวงฝู่เย่าเย่ว์ นางชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ายืดอก เดินเข้าไปอย่างสดใสและอิ่มอกใจ พูดในใจอย่างเย่อหยิ่งว่า แม้นางจะเป็นฮองเฮาแล้วอย่างไร ในวันแต่งงานของนาง ฮ่องเต้กลับมาให้ตนถวายงาน ให้นางคอยปรนนิบัติทั้งคืน ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนถูกลืมไปหมดสิ้นแล้ว ในหัวมีเพียงเสียงสะท้อนไปมาว่า ‘ฮ่องเต้โปรดปรานนาง ฮ่องเต้โปรดปรานนาง’
หวงฝู่เย่าเย่ว์นั่งอย่างสง่าอยู่ในที่รับรองนางสนม รอคอยการมาถึงของกุ้ยเฟยคนใหม่
หลิวอวี้เอ๋อร์เข้ามาในตำหนักหลวนเฟิ่ง หลังจากนางกำนัลรายงานแล้ว ก็เปิดม่านประตู นางเดินเข้าไปอย่างเชิดหน้าชูตา มองไปที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ แล้วคารวะนางอย่างไม่จริงใจนัก “หม่อมฉันคารวะฮองเฮาเพคะ”
เนื่องจากเป็นคนที่เคยคบค้ากันมาหลายครั้งในเมืองหลวง แม้จะผ่านไปสามปีแล้ว ทุกคนโตขึ้น แต่ก็ยังคงโครงหน้าเดิมอยู่ ยิ่งเมื่อหลิวอวี้เอ๋อร์จงใจเชิดหน้าให้นางเห็นชัดเจนเช่นนี้
หวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่แน่ใจว่า “หลิวอวี้เอ๋อร์?”
หลิวอวี้เอ๋อร์ยิ้มตอบ “ทูลฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันเอง คิดไม่ถึงสินะ ว่าท่านและหม่อมฉันจะได้พบเจอกันในวังแห่งนี้” เมื่อพูดประโยคนี้จบ ก็เหมือนจะพูดอะไรขึ้นอีก แต่ไม่รู้เหตุใด กลับกลืนกลับไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วผงกศีรษะ “คิดไม่ถึงจริงๆ เจ้าหายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน ที่แท้ก็มาอยู่ในวังของรัฐอิง”
พูดจบ ก็กวาดตามองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วถามอย่างมีความหมายแฝงว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าอายุเท่าข้า สามปีที่แล้วก็อายุเพียงสิบสองหรือเปล่า”
ความหมายแฝงคืออะไร แม้หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ได้พูด หลิวอวี้เอ๋อร์ก็รู้ดีแก่ใจ นางบิดผ้าเช็ดหน้าในมือด้วยความขุ่นเคือง ครั้นความเดือดพลุกพล่าน นางก็พูดคำพูดที่เมื่อครู่กลืนลงไปออกมาว่า “ใช่ ฮ่องเต้โปรดปรานข้ามานานแล้ว ไม่เช่นนั้น ในคืนวันสมรสของเจ้า ฮ่องเต้จะเรียกข้าไปปรนนิบัติได้อย่างไรเล่า”
ริษยา บิดเบือน บ้าคลั่ง กรีดร้องอย่างไร้สติ อาการเหล่านี้ของหวงฝู่เย่าเย่ว์ในความคิดของหลิวอวี้เอ๋อร์กลับไม่ปรากฎให้เห็นเลย หลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์ฟังนางพูดจบ นางเพียงแค่เหลือบมองนางอย่างนิ่งเรียบ พูดอย่างสงบว่า “แล้วอย่างไรล่ะ ตอนนี้ข้าเป็นผู้กุมอำนาจของตำหนักทั้งหกนี้ ข้ามีสิทธิ์ลงโทษเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้”