ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 134 รบร้อยครั้ง แพ้ร้อยครั้ง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

“เจ้ากล้ารึ” 

 

 

เมื่อเห็นว่านางไม่ได้กำลังพูดเล่น หลิวอวี้เอ๋อร์ก็เริ่มลน นางยืดตัวขึ้น ตะโกนเสียงดังเพื่อขู่ขวัญตบตา  

 

 

“เรียกขันทีปั๋วเข้ามา” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์สั่งหมิงเย่ว์ โดยที่ไม่ได้สนใจนาง  

 

 

หมิงเย่ว์เดินออกไป ขันทีปั๋วเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาโค้งตัวคารวะ “พ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียง” 

 

 

“ตามกฎของวังแล้ว หากนางสนมตะคอกเสียงดังใส่ข้าที่เป็นฮองเฮาอย่างไม่รู้มารยาท มีโทษอันใดหรือ” 

 

 

ขันทีปั๋วสะดุ้ง เขารีบเงยหน้าขึ้นเหลือบมองหลิวอวี้เอ๋อร์ที่กำลังโมโหเกรี้ยวกราด แล้วก็รีบก้มศีรษะลง ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ทูลเหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ ตามกฎของวังแล้ว มีโทษคุกเข่าพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จงนำตัวออกไปเถิด” 

 

 

เสียงของหวงฝู่เย่าเย่ว์ราบเรียบไร้อารมณ์ 

 

 

ขันทีปั๋วกลับใจสั่นระริก เขารีบพูดกับหลิวอวี้เอ๋อร์ทันทีว่า “คุณหนูอวี้เอ๋อร์ เชิญขอรับ” 

 

 

จุดประสงค์ที่หลิวอวี้เอ๋อร์มาตำหนักหลวนเฟิ่งก็เพื่อรับตำแหน่ง ขันทีปั๋วทราบดี แต่ยังไม่ทันถูกแต่งตั้งเลย นางก็พูดจาไม่เข้าหูฮองเฮาเสียแล้ว อย่าว่าแต่รับตำแหน่งเลย แม้แต่ตำหนักชิงเหอก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เข้าไปอยู่ไหม ขันทีปั๋วจึงเปลี่ยนคำขานเรียกเป็นเช่นนี้ 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์จะยอมไม่ได้อย่างไร นางร้องโวยวายและขานชื่อสกุลทันที “หวงฝู่เย่าเย่ว์ เจ้าบังอาจนัก เจ้าก็แค่ได้ขนานนามว่าเป็นฮองเฮา ฮ่องเต้ไม่ได้โปรดปรานเจ้าเสียหน่อย เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาลงโทษข้า” 

 

 

เมื่อได้ยินนางเอ่ยอ้างชื่อสกุลของฮองเฮาเช่นนี้ ขันทีปั๋วไม่เพียงแต่ใจเต้นระส่ำระส่าย แม้แต่ตับของเขาก็เต้นสั่นระริกด้วย เขาโบกมือขึ้น ขันทีร่างสูงใหญ่สองคนก็เดินเข้ามาปิดปากของหลิวอวี้เอ๋อร์ และลากนางออกไป  

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ดิ้นกระเสือกกระสน พูดเสียงอู้อี้  

 

 

ขันทีปั๋วที่ตามหลังมาส่ายศีรษะไปมา นังหญิงโง่ไม่มีสมอง แม้ฮ่องเต้จะโปรดปรานเจ้าแล้วอย่างไร พื้นเพของฮองเฮากำหนดไว้แล้วว่าไม่ว่านางจะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่ นางก็จะได้นั่งบนบัลลังก์ฮองเฮาอย่างมั่นคง หามีคนมาแทนที่ได้ไม่ 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกบังคับให้คุกเข่าลงกลางลานตำหนัก เมื่อนางกำนัลและขันทีที่ติดตามนางมาเห็นเข้าก็ตกใจ ครั้นจะเข้าไป ก็ถูกคนตำหนักหลวนเฟิ่งดักไว้  

 

 

เมื่อคิดได้ว่าเมื่อคืนหลิวอวี้เอ๋อร์เพิ่งปรนนิบัติไป นางย่อมมีความสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้บ้าง ขันทีปั๋วก็กระแอมขึ้น พูดกับนางกำนัลและขันทีตำหนักชิงเหอว่า “คุณหนูอวี้เอ๋อร์พูดจาไม่เข้าหูฮองเฮา จึงถูกโทษคุกเข่า พวกเจ้าอย่าโวยวายเลย” 

 

 

ฟังแล้วเหมือนเป็นคำตำหนิพวกเขา แท้จริงแล้วเขากำลังบอกว่าเหตุใดหลิวอวี้เอ๋อร์จึงถูกลงโทษอย่างเป็นนัย เพื่อให้พวกเขาไปทูลฮ่องเต้ให้มาช่วยเหลือ  

 

 

ทุกคนเป็นคนที่อยู่ในวังทั้งนั้น มีไหวพริบหลักแหลมนัก เมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางกำนัลคนหนึ่งของตำหนักชิงเหอก็วิ่งไปทางตำหนักชิงเซวียนทันที  

 

 

หลังจากที่ท่าป๋าหั่นหลินมองเกี้ยวพระที่นั่งจากไป เขาก็ก้าวเท้ากำลังจะไปห้องทรงพระอักษรเพื่อจัดการสาส์นกราบทูลของขุนนาง แต่ความเดือดพล่านในใจนั้นยังมีมาก จนเขาไม่มีอารมณ์ จึงกลับไปตำหนักชิงเซวียนด้วยความโมโห เมื่อถึงตำหนักเขาก็ดื่มน้ำชาลงไปหลายแก้ว ครั้นเพิ่งจะคลายความโกรธในใจลงไปได้บ้าง ก็ได้ยินหัวหน้าขันทีฮูรายงาน ความเดือดพล่านในใจก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เขาลุกขึ้นและเดินสาวเท้าออกไปข้างนอกทันทีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับว่าหาเหตุผลที่จะลงโทษหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้แล้วอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

เมื่อเข้าไปในตำหนักชิงหลวน ก็เห็นหลิวอวี้เอ๋อร์คุกเข่าบนพื้น ความโมโหเดือดพลุ่งพล่าน จนลืมบอกให้หลิวอวี้เอ๋อร์ลุกขึ้น เขาเดินตรงปรี่เข้าไปในห้องทันที เอ่ยปากถามหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “ไม่ใช่เพิ่งบอกเสด็จแม่ไปว่าตนเองไม่ใช่คนริษยาหรอกหรือ เหตุใดผ่านไปครู่เดียวก็ตบหน้าตนเองเสียเล่า” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มน้อยๆ “ฝ่าบาทพูดผิดแล้วล่ะ หม่อมฉันลงโทษนางเพราะนางตะคอกใส่หม่อมฉัน ซึ่งผิดกฎมารยาทในวัง ไม่เกี่ยวกับเป็นคนริษยาหรือไม่เพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินไม่เชื่อ เขาร้อง ฮึ “เจ้าจงใจหาเรื่องเพราะไม่พอใจที่เมื่อคืนเราให้นางมาถวายงานน่ะสิ” 

 

 

“ฝ่าบาทเป็นถึงกษัตริย์แห่งรัฐ อย่าว่าแต่อวี้เอ๋อร์คนเดียวเลย ท่านจะอุปถัมภ์นางสนมเป็นพันเป็นหมื่นคนก็ไม่เกินไปหรอกเพคะ หากข้าไม่พอใจพวกนางสักคน ภพชาตินี้ข้าคงมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก” 

 

 

“เจ้า…” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินจุกจนพูดอะไรไม่ออก เขาโกรธจนกัดฟันแน่น  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์แสร้งไม่ได้ยิน  

 

 

ผ่านไปนาน กว่าท่าป๋าหั่นหลินจะเอ่ยปากอย่างโมโหว่า “เจ้าต้องการอย่างไรถึงจะยอมปล่อยนางไป” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “หม่อมฉันไม่เข้าใจความหมายของฮ่องเต้เพคะ ตามกฎในวังแล้ว หลังจากลงโทษเสร็จ ก็ย่อมปล่อยนางได้ หรือว่ายังมีสิ่งอื่นที่ต้องทำหรือเพคะ” 

 

 

“วันนี้เป็นวันที่นางได้รับการแต่งตั้ง ที่ข้าถามคือ ต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะยอมแต่งตั้งนาง” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เพิ่งเข้าใจ นางพยักหน้า “อ้อ ฝ่าบาทหมายถึงเรื่องนี้หรอกหรือ โปรดกริ้วหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันเกรงว่าจะทำตามพระทัยฝ่าบาทไม่ได้แล้วเพคะ” 

 

 

“เจ้าบังอาจนัก กล้าดีอย่างไรฝ่าฝืนราชโองการของเรา” 

 

 

เมื่อเขาพูดประโยคนี้ขึ้น ต่างตกใจกลัวจนคุกเข่าลงบนพื้น ไม่กล้าหายใจ  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์กวาดตามองเหล่านางกำนัลและขันทีครู่หนึ่ง แล้วจึงถามอย่างเนิบช้าว่า “ฝ่าบาทรู้หรือไม่ว่าอวี้เอ๋อร์เป็นใครเพคะ” 

 

 

“เรารู้อยู่แล้ว” 

 

 

“ในเมื่อเช่นนี้ ตอนนั้นที่ท่านพานางมาวังหลวงรัฐอิง ได้แจ้งแก่ครอบครัวนางหรือไม่เพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินไม่พูดอะไร  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ไม่ได้หวังได้คำตอบจากเขา นางพูดต่ออีกว่า “อวี้เอ๋อร์ลูกสาวโดยแท้ของจวนอู่โหว สถานะต่ำกว่าหม่อมฉันเล็กน้อย เป็นตำแหน่งที่ถูกเคารพนับถือเช่นกันในรัฐอู่ ท่านนำตัวนางมาตั้งแต่นางยังเล็ก โดยไม่บอกกล่าวอะไรแก่ครอบครัวนาง ท่านรู้หรือไม่ว่าหากเรื่องเช่นนี้แพร่สะพัดในรัฐอู่ จะเกิดกระแสใหญ่โตขนาดไหน ทุกคนในจวนอู่โหวจะคิดอย่างไร ฮ่องเต้รัฐอู่จะคิดอย่างไร เหล่าขุนนางน้อยใหญ่จะคิดอย่างไร เหนือรัฐอู่มีฮ่องเต้ ใต้มีสามัญชน อารมณ์ขุ่นเคืองและความปั่นป่วนของมวลชน ฝ่าบาทเตรียมรับมือไว้แล้วหรือยังเพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินพูดไม่ออก  

 

 

ตอนนั้นเขาสั่งคนให้จับตัวหลิวอวี้เอ๋อร์มาเพียงเพื่อต้องการถามเรื่องของหวงฝู่เย่าเย่ว์ เขาไม่ได้มีความมคิดอยากจะแต่งตั้งนางเป็นกุ้ยเฟยเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะว่าวันสองวันนี้ถูกหวงฝู่เย่าเย่ว์ยั่วยุจนอารมณ์เดือดพล่าน จึงตัดสินใจทำเช่นนี้ลงไป วันนี้เมื่อหวงฝู่เย่าเย่ว์พูดประโยคเหล่านี้ออกมา เขาที่ไร้สติไป ก็ดึงสติกลับมาได้ อารมณ์โมโหก็สงบลง เขาเงยหน้ายกศีรษะขึ้น สายตามองไปที่หวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างลึกซึ้ง  

 

 

เสียงของหวงฝู่เย่าเย่ว์ดังขึ้นอีกครั้ง นางพูดอย่างไม่มีทางเลือกและสุภาพว่า “แต่ว่า หากฝ่าบาทยังคงประสงค์เช่นนี้ หม่อมฉันทำตามนั้นก็ได้เพคะ” 

 

 

“ไม่ต้องแล้ว!” 

 

 

เมื่อเห็นท่าทีเสแสร้งของนาง ท่าป๋าหั่นหลินก็สะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นยืน แล้วเดินสาวเท้าออกไปข้างนอกทันที  

 

 

เมื่อเห็นท่าป๋าหั่นหลินเดินออกมา สีหน้าหลิวอวี้เอ๋อร์พลันดีใจ แล้วร้องเรียกอย่างต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมว่า “ฝ่าบาทเพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินมองนางอย่างดุดัน แล้วสั่งว่า “เมื่อครบเวลาแล้ว ส่งนางกลับไปตำหนักฉู่ลี่” 

 

 

เพียงประโยคเดียวทำลายภาพวาดฝันทั้งหมดของหลิวอวี้เอ๋อร์ นางเบิกตาโพลง ล้มกองลงบนพื้นอย่างไม่เชื่อหูตนเอง  

 

 

ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งวังอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างเบิกตาโต นินทากันสนุกปาก เป็นเรื่องไม่แปลกที่นางสนมจะถูกถอนตำแหน่งในวังหลวง แต่คนที่ถูกถอนตำแหน่งตั้งแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งนั้น เพิ่งเคยพบเห็นจริงๆ ดังนั้น เมื่อครั้นคนของตำหนักฉู่ลี่ย้ายของจากตำหนักชิงเหอกลับไปตำหนักฉู่ลี่ด้วยหน้าตาเศร้าสร้อย เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างก็พากันมามุงดูและซุบซิบกัน จดจำใบหน้าของพวกเขาไว้ เพื่อต่อไปจะได้ตีตัวออกห่างจากพวกเขาที่อาจนำพาความโชคร้ายมาให้  

 

 

เมื่อไทเฮาทราบข่าว ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอย่างนุ่มลึก นางยิ้มพลางผงกศีรษะ ฮองเฮาช่างร้ายกาจนัก จัดการคนอย่างไร้ซึ่งคาวเลือด แต่กลับทำลายชีวิตเสียสิ้นซาก 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่สนใจเสียงวิพากษ์ข้างนอก นางนั่งจิบชาอยู่ในตำหนักของตนอย่างสบายใจ  

 

 

ตอนนี้คนในตำหนักชิงหลวนรู้ฤทธิ์เดชของนายหญิงคนใหม่ของพวกเขาแล้ว หลังจากนั้นมา ทุกคนต่างทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ขยันขันแข็ง และไม่มีใครกล้าแปรพักตร์  

 

 

หลังจากนั้นสามวัน ก็ถึงเวลาที่เมิ่งชิงและคนอื่นๆ อีกสามคนต้องนำขบวนทหารหมื่นนายกลับรัฐอู่แล้ว  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ตื่นแต่เช้า หลังจากเก็บของเสร็จ ก็รอให้ท่าป๋าหั่นหลินเสร็จจากทรงว่าราชกิจ แล้วสั่งคนให้ไปทูลขออนุญาตจากเขา ว่าตนเองจะออกจากวังเพื่อไปส่งครอบครัวของตน  

 

 

อันที่จริงท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้อยากให้นางไป แต่เมื่อคิดถึงการกระทำสองสามวันนี้ของหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว เขาก็รู้ว่าแม้ตนจะไม่เห็นด้วยอย่างไร นางก็หาวิธีทางออกไปได้อยู่ดี เขาจึงยอมอนุญาตนางไปแต่โดยดี  

 

 

เมื่อได้รับอนุญาต หวงฝู่เย่าเย่ว์ออกจากวัง นางกำลังจะมุ่งหน้าไปโรงเตี๊ยมพักม้า แต่ไม่คิดว่าเมิ่งชิงพาหวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยมารออยู่หน้าประตูวังตั้งแต่เช้าแล้ว เมื่อเห็นนางออกมา ทั้งสามก็ดีใจมาก เมิ่งชิงยืนอยู่ที่เดิม หวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยเดินขึ้นหน้า ขานเรียกพร้อมกันว่า “พี่รอง” หลังจากขานเรียกเสร็จ ก็กวาดตามองดูนางอย่างพินิจพิเคราะห์  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ปล่อยให้พวกเขามองดูจนพอใจ แล้วจึงยิ้มพูดว่า “วางใจเถอะ ข้าสุขสบายดี พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” 

 

 

เมื่อเห็นนางเป็นปกติดี สีหน้าก็ดูดี ทั้งสองจึงวางใจลง  

 

 

แต่เมิ่งชิงกลับรู้สึกผิดปกติ เขาหรี่ตาลง มองสำรวจนางอย่างละเอียด  

 

 

“ท่านน้าชิง” หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มพลางเรียกให้เขาหยุดมองนาง 

 

 

เมิ่งชิงพยักหน้า “วันนี้พวกเราจะกลับไปแล้ว ต่อไปเจ้าต้องดูแลตัวเองดีๆ มีเรื่องอะไรก็ส่งข่าวมาให้พวกเรา” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว” 

 

 

“พี่รอง” หวงฝู่เฮ่าเอ่ยปาก สีหน้าจริงจัง “พี่เป็นท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉี ไม่ว่าอย่างก็อย่าทำตนเองตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่างมากก็แค่ให้พวกเรามารับพี่กลับบ้านนะขอรับ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์พ่นหัวเราะออกมา “ถ้าฝ่าบาทได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้ คงส่งทหารมาไล่ตามเจ้าแน่ๆ” 

 

 

คำพูดเช่นนี้ ท่าทีเช่นนี้ เหมือนกับเจ้าสาวผู้มีความสุขที่เพิ่งแต่งงานไป  

 

 

หวงฝู่เฮ่าชะงัก จากนั้นก็เกาหัวอย่างเขินอาย  

 

 

หวงฝู่รุ่ยกลับพูดสำทับอย่างจริงจังว่า “พี่รอง พี่เฮ่าพูดจริงๆ นะขอรับ หากพี่ถูกรังแกก็กลับบ้าน พวกเราเลี้ยงพี่เอง” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ยื่นมือออกมาลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้ง “พวกเจ้าทั้งสองพูดเช่นนี้ในวันมงคลสมรสของข้า ดูซิ ว่าข้าจะเขียนจดหมายฟ้องท่านปู่อย่างไร จะได้ให้ท่านไล่ตีพวกเจ้าทั่วจวนเลย” 

 

 

คำพูดหยอกเล่นเพียงประโยคเดียวทำลายบรรยากาศเศร้าหมองลง หวงฝู่รุ่ยก็ยิ้มออกมา  

 

 

“นี่ก็จวนถึงเวลาแล้ว รีบออกเดินทางเถิด กลับไปบอกที่บ้านด้วยว่าข้าสุขสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เร่งทั้งสาม นางกลัวว่าหากยังพูดต่อไป ตนจะตามพวกเขากลับไปอย่างอดใจไว้ไม่อยู่  

 

 

ทั้งสามพยักหน้า กลับโรงเตี๊ยมพักม้าไป แล้วเดินนำทหารหมื่นนายออกจากวังหลวงรัฐอิงไป  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่งพวกเขาถึงประตูเมือง หลังจากกล่าวลาอย่างอาวรณ์แล้ว นางก็เดินขึ้นไปบนประตูเมือง มองดูแผ่นหลังของพวกเขาที่ค่อยๆ จากไปไกล นางกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา นางรู้ว่าจากนี้ไปไม่ว่าจะทุกข์ลำบากเพียงใด ก็เหลือเพียงนางคนเดียวที่ต้องเผชิญกับทุกสิ่งเองแล้ว