ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 15 เรื่องของคนตาย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

โลกที่อธิบายไม่ได้นี้มีกฎของมันเอง แข็งทื่อ น่าเบื่อ ซ้ำซากจำเจ บางทีอาจมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นบ้างเป็นระยะๆ แต่หากมองให้ลึกลงไป ก็เป็นการเกิดซ้ำของเหตุการณ์แบบเดิม ไม่มีอะไรใหม่ใต้อาทิตย์และดวงดาว กลอุบายการหักหลังไม่ให้อะไรนอกจากกลิ่นเหม็นเน่าชวนคลื่นไส้

เหล่าผู้เยาว์ที่ยังมองโลกใบนี้ด้วยความหวังและความคาดหมาย ผู้ที่กล้าจะยืนใต้ดวงตะวันเผชิญหน้ากับแสงดาว มองขึ้นไปยังศีลธรรมและคุณธรรมในดวงดาว ย่อมไม่อาจมีความประทับใจกับโลกเช่นนี้ ตัวอย่างของคนประเภทนี้ก็คือถังซานสือลิ่ว แม้กระนั้น ในสายตาประมุขรองตระกูลถังที่หัวเราะอย่างไรเสียง ในสายตาผู้อาวุโสตระกูลเทียนไห่ ในสายตาโจวทง ความคิดของผู้เยาว์เหล่านี้ช่างโง่เขลาน่าหัวร่อเสียจริง

“เจ้าไม่อาจใช้ทั้งชีวิตเล่นพ่อแม่ลูก” เฉินฉางเซิงจินตนาการได้ว่าตอนที่ถูกพาตัวไปเวิ่นสุ่ย ถังซานสือลิ่วจะถูกปรามด้วยประโยดทำนองนี้

เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าในตอนนี้ที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ สวีซื่อจีมีสีหน้าจริงจังและรัศมีเที่ยงธรรม กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารซึ่งอาหารทั้งหมดถูกเก็บออกไปแล้ว โต้เถียงทะเลาะกับสวีฮูหยิน “ทุกอย่างที่บิดาทำก็ล้วนเพื่อลูกสาว หากมิใช่เพราะการตัดสินใจอย่างทันท่วงทีของข้า ความทุ่มเทที่จะต้านคลื่นลมเอาไว้ เจ้าคิดหรือว่านางจะยังสามารถครองตำแหน่งเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างมั่นคงหลังจากที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตายไป”

แสงดาวค่อยๆ กระจายตัว ความมืดบางลงทีละน้อย พื้นที่ตรงหน้าสำนักฝึกหลวงเกิดความผันผวนเบาบาง ไม่นานหลังจากนั้นซูม่ออวี๋ก็รีบเร่งมาที่ริมทะเลสาบ รายงานข่าวกับเขา

ข่าวมาจากเมืองเสวี่ยเหล่าน่าตกใจอย่างมาก เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน

การตายของราชามารเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับเขา ในสวนโจว เขากับสวีโหย่วหรงเกือบถูกหนานเค่อสังหารอยู่หลายครั้ง เขาจึงไม่มีความรู้สึกดีต่อองค์หญิงเผ่ามารผู้มีดวงตาห่างกว่าปกติเล็กน้อยคนนี้แต่อย่างใด กระนั้นเขาก็อดผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ ที่ศัตรูที่ยากจะรับมือได้หายไปท่ามกลางคลื่นความวุ่นวายของการก่อกบฏราวกับน้ำกระเซ็น

“ออกจากจิงตู นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” ซูม่ออวี๋กล่าวกับเขา

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา

การตายของราชามารและความขัดแย้งภายในของเผ่ามารล้วนเป็นการจัดการของซางสิงโจว และเขาก็ได้ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด ในขณะที่การกระทำของเขายังแจ่มชัดในความทรงจำของมนุษยชาติ ไม่มีใครกล้าต่อต้านเขา

วันนี้สังฆราชได้ยืนยันอย่างหนักแน่นที่จะปกป้องเขาและนิกายหลวง แต่ก็ทำได้เพียงรักษาสมดุลอำนาจไว้

แต่เช่นที่สังฆราชกล่าว เขาแก่แล้วและกำลังจะตาย หากวันนั้นมาถึงจริงๆ แล้วเฉินฉางเซิงจะเผชิญหน้าคนผู้นั้นอย่างไร

คนผู้นั้นกำลังจะกลายเป็นเทพเจ้าแห่งต้าลู่ และยังเป็นอาจารย์ของเขาอีกด้วย

เฉินฉางเซิงยังนิ่งเงียบต่อไป

เขาไม่ต้องการจะไปจากจิงตู ในขณะที่เขานั่งอยู่ในหอตำราตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมา เขานึกจะเก็บข้าวของอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกทุกครั้งไป

เขารู้ว่าไม่อาจจากไปได้ เพราะคนผู้นั้นย่อมไม่ปล่อยให้เขาละสายตา เว้นแต่จะตายจากไป

อวี๋เหรินก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่บนบัลลังก์ เล่นบทจักรพรรดิอย่างเงียบงัน

เฉินฉางเซิงรออยู่ในสำนักฝึกหลวงให้เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ

ทั้งคู่เข้าใจซางสิงโจวดีกว่าทุกคนในโลก ยิ่งกว่าสังฆราชเสียอีก

แม้ว่าอาจารย์ที่เคยเป็นเพียงแค่นักพรตธรรมดาในใจพวกเขา ได้กลายเป็นปรมาจารย์เต๋าผู้สูงส่งในตอนนี้

แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นนักพรตธรรมดาหรือปรมาจารย์เต๋า เขาก็ยังเป็นอาจารย์ของทั้งสองคนอยู่ดี

……

……

ในวันที่สี่หลังจากการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู ข่าวน่าตกใจก็ถูกส่งมาจากหานซาน

ผู้เฒ่าความลับสวรรค์จากไปอย่างสงบในห้องเล็กๆ ที่ริมทะเลสาบสวรรค์

ผู้นำของแปดมรสุมเป็นคนรุ่นเดียวกับสังฆราชและซางสิงโจว สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่อาจต้านทานกาลเวลาและบาดแผล ดวงจิตกลับคืนสู่ทะเลดวงดาวในที่สุด

หลังจากตกใจกับข่าวนี้ไปชั่วขณะ จิงตูก็ตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างเป็นระเบียบอีกครั้งหนึ่ง

เกิดความวุ่นวายเพราะมีคนตายอยู่ทุกแห่งหน บ้านเรือนถูกรื้อค้น ทรัพย์สินถูกยึด ที่เป็นระเบียบก็เพราะอยู่ภายใต้การใช้กำลังควบคุมของราชสำนัก ขอบเขตของระลอกคลื่นและความรุนแรง ต่างอยู่ในระดับที่คนส่วนใหญ่สามารถทนได้ และก็ไม่เลวร้ายจนส่งผลกระทบร้ายแรงเกินทนต่อประชาชนทั่วไป

ขุนนางใหญ่บางคนในราชสำนักเทียนไห่ตายลง แต่คนส่วนใหญ่ที่ถูกขังคุกได้รับการปล่อยตัว มีแค่พวกหัวแข็งไม่กี่คนที่ยังอดทนอย่างขมขื่น หากพวกเขายังทนต่อไปจนผ่านฤดูใบไม้ร่วง บางทีพวกเขาอาจถูกประหาร

บางทีเพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ใช้เพลิงแท้หงส์สวรรค์เผาเฉินกวนซงทั้งเป็น อีกทั้งฮั่นชิงก็ไปจากจิงตูเมื่อตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผย ราชวงศ์ต้าโจวจึงไม่มีขุนพลแม้แต่คนเดียวที่มีประสบการณ์มากพอที่จะรักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้ การต่อสู้อันดุเดือดท่ามกลางกองทัพเมืองต่างๆ เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะๆ ผลก็คือการต่อสู้ยิ่งมากยิ่งโหดเหี้ยมรุนแรงขึ้น

เจ็ดขุนพลมารได้ตายไปแล้วในการกบฏที่เมืองเสวี่ยเหล่า แต่ราชวงศ์ต้าโจวเสียขุนพลเทพไปแปดคน ขุนพลเทพหลายคนหมดใจและเกษียณตัวเองออกจากสนามรบ แต่สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกเย็นเยียบที่สุดก็คือ ด้วยราชโองการที่ประกาศออกมา ขุนพลเทพเซวียสิ่งชวนกับนายกองของกองทัพอวี่หลินที่จงรักภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ถูกทิ้งศพประจานต่อสาธารณชนและห้ามทำการฝังศพ

ทั่วทั้งโลกรู้ว่าขุนพลเทพเซวียสิ่งชวนกับขุนพลเทพเทียนฉุยเป็นแขนซ้ายแขนขวาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีต่อนางที่สุด

ร่างขุนพลเทพเทียนฉุยกลายเป็นควันและคืนสู่ท้องฟ้าพร้อมกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เซวียสิ่งชวนกลับไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น

อย่าว่าแต่เรื่องที่เซวียสิ่งชวนต่อสู้ต้านทานกองทัพมารที่แดนเหนือแย่งแข็งขันเคยมีความดีความชอบต่อราชวงศ์ต้าโจว ต่อให้เขาเป็นเพียงขุนพลธรรมดา มีความจำเป็นอันใดที่ต้องให้เขาถูกเหยียดหยามถึงเพียงนี้หลังจากตายแล้ว

หลายคนรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ทว่าไม่มีใครกล้าคัดค้าน เพราะเป็นราชโองการที่มาจากวังหลวง นอกจากนี้พวกเขายังรู้ว่านี่เป็นการแสดงออกของคนสำคัญที่จะตอบโต้ข่าวลือในจิงตู

ข่าวลือนี้บอกว่าเซวียส่งชวนตายใต้เล่ห์กลของโจวทง

โจวทงทรยศจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ทั้งยังทรยศเพื่อนเพียงคนเดียวอีกด้วย

ข่าวลือแพร่ออกไป ระดับความเกลียดชังและน่าละอายที่ผู้คนมีต่อโจวทงก็สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

ในตอนนี้ มีราชโองการมาจากในวัง ร่างเซวียสิ่งชวนกับเหล่านายกองแห่งกองทัพอวี่หลินก็ถูกนำมาทิ้งไว้

คนสำคัญเหล่านั้นต้องการใช้ภาพอันโหดร้ายนี้บอกต่อโลกว่าผู้ใดต้องหารตัดความสัมพันธ์กับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็จะได้รับผลประโยชน์และการป้องกันที่ไม่สั่นคลอน พวกเขาไม่ลังเลที่จะใช้วิธีหยามหมิ่นคนตายเพื่อแสดงความตั้งใจที่จะสนับสนุนโจวทง

มีคำกล่าวในต้าลู่ว่า หากโจวทงตาย มีคนเดียวที่จะยอมทำศพให้เขา คนผู้นั้นก็คือเซวียสิ่งชวน

ในตอนนี้ เซวียสิ่งชวนตายแล้ว ตายด้วยมือโจวทงเอง และก็เป็นเพราะโจวทงอีก เขาจึงต้องตายโดยไร้หลุมฝังศพ

เรื่องนี้ทำให้ผู้คนหัวร่อไยไพ มีคนมากมายโกรธเกรี้ยว แต่ทั่วทั้งจิงตูยังคงนิ่งงันอย่างสมบูรณ์

บางทีอาจเป็นเพราะข่าวการจากไปของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ทำให้ประชาชนนึกถึงคำพูดของสังฆราชในคืนที่เกิดการยึดอำนาจในสุสานเทียนซู เขาแก่แล้วและกำลังจะตาย

หากแม้แต่สังฆราชยังตายไป ใครจะต้านทานปรมาจารย์เต๋าที่น่าคับแค้นผู้นั้นได้

คนเดียวที่อาจต้านทานได้ อาจเพราะนางไม่เคยคิดว่านางจะต้านทานได้หรือไม่ ด้วยว่านางคือภรรยาเซวียสิ่งชวน

ในยามเช้าตรู่ เซวียฮูหยินออกจากประตูเมืองเป็นครั้งที่สี่

นางมายังถนนหลวงและมองไปยังศพที่ถูกทิ้งสะเปะสะปะข้างถนน แต่นางก็ยังไม่อาจหาศพของสามีพบ

นางหันไปหาผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์ที่ยืนคุมอยู่ แล้วกล่าว “สวัสดีใต้เท้า ข้าอยากช่วยสามี…”

ใบหน้านางซีดขาวอยู่บ้าง สีหน้าเหนื่อยล้า ริมฝีปากแห้งผาก แต่นางยังสงบและคงความเด็ดเดี่ยวมั่นคงเอาไว้

ผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์ไม่ปล่อยให้นางพูดจบ

เสียงแส้ดังขึ้น!

มุมหนึ่งของเสื้อผ้าเซวียฮูหยินฉีกขาด

อาจเพราะเขาหวาดหวั่นต่อท่าทีน่าเกรงขามของเซวียฮูหยิน จึงรู้สึกอับอายอยู่บ้าง เสียงผู้คุมแหลมสูงระคายหู

“เซวียสิ่งชวนติดตามจักรพรรดินีมารทำเรื่องชั่วร้าย ทำความผิดต่อแผ่นดิน โทษของเขาคือประจานศพสิบวันแล้วให้เป็นอาหารสุนัข!”