ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 16 ผู้มีชีวิตอยู่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เซวียฮูหยินไม่หวาดกลัวหรือโกรธเกรี้ยว นางมองไปที่ผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์แล้วกล่าวเบาๆ “กฎหมายต้าโจวไม่มีข้อกำหนดเช่นนี้”

ผู้คุมเห็นว่านางไม่ยอมถอยไปและยังคงใจเย็น ก็อดฉุนเฉียวไม่ได้ ส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชามาไล่นางไป เขาสบถ “นังโจรเฒ่า หากไม่ยอมไปแล้วยังขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ต่อไป อย่าหาว่าเราขุนนางหยาบคาย ถ้าถึงเวลานั้นอย่าได้พลันกลัวความเจ็บปวดขึ้นมา!”

นี่เป็นคำขู่ล้วน ไร้สิ่งเคลือบแฝง

ไม่ว่าเซวียฮูหยินจะมีนิสัยดื้อดึงไม่ยอมใครเพียงใด ก็ไม่อาจทนทานหอกในมือทหารพวกนี้ได้ นางกำลังเตรียมจะจากไปอย่างหม่นหมอง ทว่าทันใดนั้นเองนางก็พลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคย

นางมองไปอีกครั้งยังผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์และตระหนักว่าเขาดูคุ้นตาอยู่บ้าง นางถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “ข้า…เคยพบท่านที่ไหนมาก่อนหรือไม่”

ผู้คุมหน้าเปลี่ยนไปในทันทีและตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เอาคนผู้นี้ออกไปจากที่นี่!”

ทหารจากกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองก้าวออกมา เตรียมจะไล่เซวียฮูหยินไป

เซวียฮูหยินพลันนึกขึ้นได้และมองไปที่คนผู้นั้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าคือเทียนไห่เซิ่งใช่ไหม”

หน้าของผู้คุมซีดลงเล็กน้อยน้ำเสียงแหลมสูง เขาตะโกนไปที่ฝูงชน “เจ้าพวกไร้ประโยชน์รออะไรกันอยู่”

ได้ยินคำพูดนี้ ทหารจากกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองไม่กล้าชักช้า ยกอาวุธขึ้นราวกับจะโจมตีเพื่อขู่นางออกไป

แต่เซวียฮูหยินเหมือนจะมองไม่เห็นดาบกระบี่ที่ส่องประกายเย็นเยียบ นางเพียงแค่มองไปที่ผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์ที่ยืนอยู่นอกฝูงชน ใบหน้าโศกเศร้าแฝงความเย้ยหยัน

นางเคยพบคนผู้นี้มาก่อนจริงๆ ที่จวนของนาง

คนผู้นี้เป็นญาติห่างๆ ของตระกูลเทียนไห่ ใช้ความสัมพันธ์กับตระกูลเทียนไห่สร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจหลายคน เขาให้ความเคารพนางกับเซวียสิ่งชวนมาก ส่งของขวัญมีค่าให้พวกเขาเพื่อขอตำแหน่งการงาน

เซวียสิ่งชวนไม่เคยยอมรับของขวัญ นางเองก็ไม่เคย แต่สุดท้ายเขาก็ช่วยคนผู้นี้ เพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดสำหรับพวกเขา

เป็นเวลาหลายปีที่ดูเหมือนว่าคนผู้นี้ทำได้ดีทีเดียวในกรม เขารับตำแหน่งผู้คุมและไม่เคยเกี่ยวข้องกับสิ่งใด ตอนนี้เขายังได้รับภาระอันหนักหน่วงจากราชสำนัก

เมื่อนางคิดถึงใบหน้าคนผู้นี้ในตอนนั้นและเทียบกับใบหน้าในตอนนี้ เซวียฮูหยินรู้สึกเพียงแค่ความเย้ยหยันเท่านั้น

ในการกวาดล้างจิงตูที่เกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว กลุ่มที่มีท่าทีดุดันและใช้วิธีรุนแรงที่สุดไม่ใช่พวกขุนนางชราที่ต่อต้านเทียนไห่มานานหลายปี หรือพวกอ๋องสกุลเฉิน หากแต่เป็นพวกขุนนางในราชสำนักที่เคยภักดีและซื่อสัตย์ต่อเทียนไห่ พวกผู้ใต้บังคับบัญชาของตระกูลเทียนไห่ที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมที่สุด

นี่อาจดูบ้าบิ่นอยู่บ้าง นึกไม่ถึงอยู่บ้าง ทว่าในประวัติศาสตร์ยาวนานนับปีไม่ถ้วน ก็มีเช่นนี้เสมอมา

หลังจากการใหญ่ คนที่ดูเหมือนบ้าที่สุด ทำสิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุด ย่อมเป็นพวกคนทรยศ ประหนึ่งว่าต้องทำแต่สิ่งบ้าคลั่งที่สุดเท่านั้น จึงจะสามารถพิสูจน์ความภักดีในตอนนี้ที่ต่างไปจากความภักดีในตอนนั้นได้ พวกเขาจะได้ทำให้ตัวเองปักใจเชื่อว่า ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าตนจะถูกละเลยจากผู้นำคนใหม่ สามารถมีอิสระไร้ซึ่งความกลัว

เช่นเดียวกับผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์ กองทหารรักษาการณ์ประตูเมือง เหล่าขันทีในวัง ผู้ใต้บังคับบัญชาของตระกูลเทียนไห่ และโจวทงเองก็เช่นกัน

ว่ากันว่าในช่วงเช้าหลังจากการยึดอำนาจ โจวทงได้รับการรักษาด้วยวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ ทันทีที่เขาเริ่มทุเลาจากอาการบาดเจ็บสาหัส เขาก็ประชุมกับผู้ใต้บังคับบัญชาในกรมอาญาและเริ่มทำการปกป้องจักรพรรดิองค์ใหม่

เมื่อนางคิดถึงข่าวลือและมองไปที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของกรมราชทัณฑ์ รอยยิ้มเย้ยหยันของเซวียฮูหยินก็กว้างขึ้น เจิดจ้ามากขึ้น

ผู้คุมรู้สึกตาพร่าและร้องคำรามอย่างดุร้าย เขาไม่ต้องการขับไล่นางไป จึงออกคำสั่ง “จับนางให้กับข้า!”

……

……

พระราชวังหลี

เหมาชิวอวี่กำลังมองดูสังฆราชรดน้ำใบไม้คราม เขารายงาน “การตรวจสอบของหอจงซื่อเสร็จสิ้นแล้ว นักเรียนทั้งหมดกลับมาแล้ว สำนักจวนราชวังหลี…มีนักเรียนสองคนถูกส่งไปคุกโจว อีกไม่นานซื่อหยวนจะไปรับพวกเขากลับมาด้วยตัวเอง ทางชิงเหย้าสงบสุขกว่าเล็กน้อย ประตูทั้งหมดของสำนักเทียนเต้าถูกปิด ไม่มีนักเรียนคนใดได้รับอนุญาตให้ออกมา มีเพียงสำนักฝึกหลวงที่ไม่แสดงท่าทีอันใด”

ใบไม้ครามในกระถางขาดไปใบหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ดูเหมือนกับว่าขาดไปมากกว่านั้น ให้ความรู้สึกโหวงเหวง

สังฆราชกล่าวโดยไม่หันหน้าไป “ในเมื่อเรื่องนี้ได้จัดการอย่างเหมาะสมแล้ว ก็ไปดูขุนพลเซวียเถอะ”

เหมาชิวอวี่รับคำและหันกลับออกจากตำหนักไป ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กลับมากล่าวว่า “มีบางคนไปแล้ว”

สังฆราชหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “ใครไป”

เหมาชิวอวี่ตอบ “คนผู้นั้น”

สังฆราชรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง “เจ้าเด็กนั่นใจดี แต่นิสัยของเขาไม่ได้ตรงไปตรงมาเช่นนี้”

เหมาชิวอวี่ส่ายหน้าตอบ “บังเอิญว่าเขาผ่านไปพอดี”

……

……

เขานั่งเงียบๆ อยู่ในหอตำรามานานสามวัน จากนั้นก็ต้อนรับคนสามคนเข้ามา หลินกงกง เฉินหลิวอ๋องและสังฆราช

เฉินฉางเซิงรู้แค่ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในจิงตูช่วงหลายวันมานี้

ในครั้งนี้ เขากับซูม่ออวี๋กำลังเดินเล่นอยู่ในจิงตู

สาเหตุที่พวกเขาออกมาเดินก็เพราะสถานการณ์ในจิงตูเริ่มสงบลงแล้ว เขานั่งอยู่ในหอตำรานานเกินไป ทั้งร่างกายและจิตใจออกจะเงื่องหงอยอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้ดีว่าถึงแม้เขาจะออกจากจิงตูได้ยาก ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่อาจออกจากสำนักฝึกหลวงได้ ที่สำคัญ เขาต้องการหาว่าเจ๋อซิ่วอยู่ที่ไหน

ใบไม้ตกลงไปในแม่น้ำลั่ว ลอยเรื่อยไปอย่างเชื่องช้า เขาก็เป็นเฉกเช่นกับใบไม้พวกนั้น ลอยไปอย่างไรจุดหมาย

บางทีอาจเพราะว่าเขาทำตามส่วนลึกในใจตัวเอง การเดินอย่างไร้จุดหมายนี้จึงนำเขากับซูม่ออวี๋มายังประตูเมือง

นี่เพราะว่าจิงตูไม่มีกำแพงเมือง ดังนั้นประตูเมืองจึงไม่โดดเด่นสะดุดตาเท่าใดนัก

ต้นหลิวสองฝากฝั่งถนนหลวงทอดยาวเป็นเส้นตรงสีเขียวสองเส้นยื่นไกลออกไป ภายใต้แสงแดดฤดูใบไม้ร่วง คงเป็นภาพที่งดงามทีเดียว

หาไม่มีเสียงโหยหวนครวญร้อง เลือดและกลิ่นเหม็นคาว

เฉินฉางเซิงเห็นรอยเลือดบนถนนและแมลงวันตัวดำที่บินอยู่ในทุ่งข้างถนน

การมีแมลงวันมากมายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บนั้น น่าหงุดหงิดยิ่งนัก เฉกเช่นทหารรักษาการณ์ประตูเมืองและพวกที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารเหล่านั้น

ผู้คนมากมายในจิงตูมาที่นี่

ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบพูดคุยอย่างระวังตัวและก่นด่าเบาๆ ของฝูงชน เฉินฉางเซิงกับซูม่ออวี๋ก็เรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้จนหมด

เขาเดินตรงไป เห็นหญิงผู้เหนื่อยล้า อ่อนแอ ซีดเซียว ทว่าสุขุมหนักแน่น ยืนกรานกล้าหาญยืนอยู่ตรงหน้าฝูงชน

ภรรยาเซวียสิ่งชวนนั่นเอง

จากนั้นเขาก็เห็นทหารกล้าผู้มุ่งมั่น อาบไปด้วยเลือดและบาดเจ็บสาหัส ดวงตาไร้ความสำนึกผิด มีแต่ความโกรธและไม่ยินยอม

พวกเขาคือทหารของเซวียสิ่งชวน

……

……

เมื่อครู่ที่ผ่านมา ตอนที่พวกผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์กำลังจะจับกุมเซวียฮูหยิน ทหารสิบกว่านายก็พลันพุ่งออกมาจากประตูเมือง

พวกเขาคือทหารจากกองทัพชงโจวที่ได้รับคำชื่นชม พวกเขากลับมายังจิงตูเพื่อพักผ่อนในฤดูใบไม้ร่วง

กองทัพชงโจวเป็นที่ซึ่งเซวียสิ่งชวนสร้างชื่อให้กับตัวเอง และยังเป็นที่ที่เขาต่อสู้กับเผ่ามาร สร้างความดีความชอบมากมาย

เซวียสิ่งชวนกลับมายังจิงตูหลายปีแล้ว ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจจำพลทหารทั่วไปได้ ทว่าพลทหารเหล่านี้ไม่มีวันลืมแม่ทัพของพวกเขา

พวกเขากำลังแอบซุ่มรอจังหวะที่จะขโมยซากร่างที่เหลือของเซวียสิ่งชวนเพื่อฝังเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อเซวียฮูหยินอยู่ในอันตราย พวกเขาก็ไม่อาจซ่อนตัวได้อีกต่อไป

ความวุ่นวายสงบลงอย่างรวดเร็ว เซวียฮูหยินตกใจแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ เหล่าทหารจากกองทัพชงโจวล้วนบาดเจ็บล้มตายมากมายเป็นภาพที่น่าอนาถนัก

นายกองของกองทัพรักษาการณ์ประตูเมืองมองไปที่ทหารจากกองทัพชงโจวซึ่งบาดเจ็บสาหัสเหล่านั้นและตำหนิอย่างดุดัน “ขุนพลเทพเซวียเหอถูกจับหลายวันแล้ว ในอีกไม่กี่วันก็จะถูกส่งตัวกลับจิงตูเพื่อตัดสินโทษ เจ้าพวกทหารโง่เขลากล้าขัดราชโองการแล้วทำร้ายผู้อื่น คิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร”

เสียงเซวียฮูหยินตกใจแต่ก็ยังสุภาพ “ท่านแม่ทัพ เราแค่ต้องการจะฝังศพ หาได้ก่อกบฏไม่”

นายกองมองไปที่นางอย่างเงียบงันแล้วจึงกล่าว “ฮูหยิน ใครที่กล้าฝังศพสามีท่านก็คือกบฏ”

ผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์หัวเราะเยาะเซวียฮูหยินอย่างชั่วช้า

เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทั่วไป แต่มีเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นที่มีคนกล่าวออกมาตรงๆ

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตายไปแล้ว เซวียสิ่งชวนก็ตายไปแล้ว เซวียเหอก็จะตายในอีกไม่กี่วัน ขุนพลเทพอันดับสองที่มีชื่อเสียงก้องไปทั่วจิงตูตอนนี้กลับไม่มีค่าอันใดเลย

ซากศพของเขาไม่อาจถูกฝังและถูกประจานเพื่อแสดงอำนาจของราชสำนัก ทั้งยังแสดงถึงการชี้ตัวคนที่วางยาพิษเขา

ภรรยาม่ายของเขาต้องทนการหยามหมิ่นนานัปการ ที่สุดแล้วนางอาจโดดน้ำตาย แขวนคอตัวเองกับขื่อคาน หรือใช้ชีวิตอย่างขมขื่นจนกว่าจะแก่ตาย

กองทัพของเขาเองก็ไม่ได้รับเกียรติยศศักดิ์ศรีอีกต่อไป เหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำและความเจ็บปวดที่ไม่อาจลืม

……

……

“คืนนี้ ข้าจะมาจัดการเรื่องนี้”

ซูม่ออวี๋ยืนตรงหน้าเฉินฉางเซิงและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

สถาพน่าอนาถของเซวียสิ่งชวนเป็นเหมือนเครื่องวัดมาตรฐานของผู้ปกครองใหม่ เป็นเครื่องยืนยันความตั้งใจของผู้กุมอำนาจ

ซูม่ออวี๋รู้ว่าเมื่อเฉินฉางเซิงได้เห็นภาพนี้แล้ว เขาย่อมต้องใส่ใจ ทว่าตัวตนของเฉินฉางเซิงนั้นอ่อนไหวเกินไป หากเฉินฉางเซิงเป็นคนลงมือ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เอาได้ง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นคนจัดการเอง

ไม่ว่าจากมุมไหน ก็ต้องทำอย่างรอบคอบและปลอดภัย แต่เฉินฉางเซิงไม่คิดเช่นนั้น

ผ่านมาตั้งสี่วันแล้ว จะปล่อยให้นานขึ้นอีกวันได้อย่างไรกัน

เขาเดินออกมาจากฝูงชนเข้าใกล้เซวียฮูหยินแล้วกล่าว “สวัสดี”

……