ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 17 หลักการ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เซวียฮูหยินเป็นภรรยาผู้มีการศึกษาดี มีมารยาทงดงาม แม้ว่าซากศพสามีจะถูกโยนทิ้งไว้ในทุ่งหญ้าข้างถนนและตัวนางเองก็ถูกหยามหยันอย่างไม่รู้จักจบ กระนั้นนางก็ยังไม่เสียมารยาท เห็นว่าผู้เยาว์คนนี้ซึ่งนางไม่รู้จักมาทักทาย นางจึงถามกลับไปเบาๆ “มีอะไรหรือ”

เฉินฉางเซิงเดินออกจากฝูงชนมาหานาง เพราะเขาต้องการทำบางอย่างเป็นแน่ ทว่าเป็นสิ่งที่ราชสำนักในตอนนี้ไม่อนุญาตให้ใครทำ นั่นคือฝังศพเซวียสิ่งชวน

เซวียฮูหยินตกใจอยู่บ้างเมื่อได้ยินคำตอบของเขา นางจึงรู้สึกหวั่นไหวอย่างมาก แต่นางส่ายหน้า รอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้า

หลายวันที่ผ่านมา จิงตูดูเหมือนจะเงียบสงบอย่างสมบูรณ์ ทว่าอันที่จริงมีเสียงร้องขอความยุติธรรมอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ต่างก็ทนทุกข์กับชะตาเช่นเดียวกับเหล่าทหารที่กลับมาจากกองทัพเมืองชงและถูกสะกดเอาไว้อย่างโหดเหี้ยม

นางไม่ต้องการให้ผู้เยาว์คนนี้ต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน

ก่อนเฉินฉางเซิงจะมีโอกาสได้พูดอะไร เขาก็ถูกเสียงเย็นชาขัดขวางเอาไว้

เป็นเสียงเทียนไห่เซิ่ง ผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์

เมื่อเขาเห็นว่าผู้เยาว์คนนี้ไม่สนคมดาบกระบี่เย็นเยียบเดินออกมาจากฝูงชน จากนั้นก็ได้ยินบทสนทนาที่ตามมา เขาก็พบว่าทั้งหมดนี้ช่างน่าขัน แน่นอนว่าเขาโกรธอย่างมากเช่นกัน

เขาไม่รู้ว่าผู้เยาว์คนนี้เป็นใคร แต่เห็นชุดบัณฑิตที่ผู้เยาว์สวมใส่ ก็เชื่อว่าคงเป็นนักเรียนคนหนึ่งของหกสำนักไม้เลื้อย ที่ปล่อยให้อารมณ์ควบคุมความคิด

“เพื่อนนักเรียนของเจ้าถูกส่งไปคุกโจวหลายคนแล้ว บางคนก็ถูกแส้ฟาดหลายสิบหน ตอนนี้พวกเขาได้แต่หุบปากอยู่ในสำนักของตัวเอง”

เขาดุด่าอย่างเคร่งเครียด “ข้าไม่คาดคิดว่าพวกเจ้าจะกล้าสร้างปัญหาอีก เจ้าตาบอดหรือ”

ในตอนนี้ ทั้งสองฝั่งถนนหลวงเต็มไปด้วยทหารจากกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองและมือปราบจากกรมราชทัณฑ์ พวกเขามีหลายร้อยคนรวมตัวกันอย่างหนาแน่น

เหล่าทหารจากกองทัพเมืองชงไม่ได้ไร้ฝีมือ แต่ต่อหน้าขุมกำลังเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย ก่อนถูกล้มลงกองกับพื้น ได้รับบาดเจ็บสาหัส

หากนักเรียนทั่วไปของหกสำนักไม้เลื้อยเห็นภาพเช่นนี้แล้วยังก้าวออกมา นั่นนับว่าเลือดร้อนเกินไป หุนหันพลันแล่นเกินไป

ในสายตาขุนนางอย่างเทียนไห่เซิ่ง นักเรียนเช่นนี้ต้องตาบอดเป็นแน่

เป็นเวลานานมากแล้วที่เฉินฉางเซิงไม่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ นับตั้งแต่วันในฤดูใบไม้ผลิที่เขาเข้าสู่สำนักฝึกหลวง

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ประมุขตระกูลเทียนไห่ แม้แต่ราชามารที่เขาได้พบเจอที่หานซานอาจจะไม่มีความเคารพต่อเขา กระนั้นก็ไม่เคยพูดอย่างดูถูกเช่นนี้ เพราะเขามีฐานะและตัวตนที่พิเศษเฉพาะ

เขาไม่ได้ตอบโต้และดูเหมือนกับคนหัวช้า ในสายตาเทียนไห่เซิ่ง นี่เป็นความดันทุรัง

เทียนไห่เซิ่งไม่ชอบคนดันทุรังเพราะเขาไม่เคยดันทุรังเลยตลอดชีวิต เป็นผลให้เขาโกรธเคืองและสะบัดข้อมือ

แส้ในมือสะบัดผ่านสายลมฤดูใบไม้ร่วงเข้าหาใบหน้าเฉินฉางเซิงเสียงดังขวับ

แส้บินไปอย่างเกรี้ยวกราด ไม่มีทีท่าจะผ่อนปรนต่ออีกฝ่าย ด้วยความแข็งแกร่งนี้ หากฟาดลงบนใบหน้าเฉินฉางเซิง คงทิ้งบาดแผลลึกเอาไว้

และเทียนไห่เซิ่งก็ไม่คิดที่จะฟาดเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขาตัดสินใจที่จะฟาดจนกว่าผู้เยาว์คนนี้จะร้องขอความเมตตา จนกว่าจะกลิ้งกับพื้นร้องขออภัย

ครั้นเห็นภาพนี้ฝูงชนก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ เซวียฮูหยินหน้าซีดขาวและนางต้องการจะดึงเฉินฉางเซิงออกมา แต่นางก็ไม่มีกำลัง

ในสายตาฝูงชน เฉินฉางเซิงหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับ ทำได้แต่มองดูแส้หนังฟาดลงมา แต่ทำเช่นนี้แล้วมีประโยชน์อันใด

ทันใดนั้นเสียงแส้ฟาดที่ชัดเจนก็พลันหายไป

ศรหน้าไม้มาจากที่ใดไม่ทราบทำลายแส้ในมือของเทียนไห่เซิ่งไป!

เทียนไห่เซิ่งจ้องมองส่วนที่เหลือของแส้ในมือ จากนั้นก็มองไกลออกไป

ในตอนนั้นเองที่ศรหน้าไม้อีกดอกพุ่งเข้าสู่ดวงตาซ้ายของเขา เลือดกระฉอกพุ่งออกมา!

เสียงร้องอย่างปวดร้าวดังออกมาจากปากเขา

สองฝั่งถนนหลวงนอกประตูเมืองเต็มไปด้วยเสียงร้องตกใจของฝูงชน เสียงคนวิ่งหนี ทั้งหมดกลายเป็นความสับสนวุ่นวายอย่างที่สุด

ต่อหน้าฝูงชน เทียนไห่เซิ่งกุมดวงตาที่บาดเจ็บ ใบหน้าซีดขาวจากความเจ็บปวด ทั่วร่างสั่นสะท้าน ส่วนที่เหลือของแส้สั่นไหวอยู่ในมือราวกับเขาเป็นบ้าไปแล้ว

เฉินฉางเซิงคว้าแขนเซวียฮูหยินและถอยไปสองก้าว

ความวุ่นวายไม่ได้ดำรงอยู่นานนัก

นายกองจากกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองตะโกนสั่งการสั้นๆ ให้มือปราบจากกรมราชทัณฑ์ก้าวออกไปรับแส้ในมือของเทียนไห่เซิ่ง เมื่อเตรียมที่จะรักษาเขา ทหารจากกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองก็ล้อมพื้นที่เอาไว้ ไม่ว่าชาวบ้านที่มาชมดูหรือทหารจากกองทัพเมืองชงที่บาดเจ็บสาหัสก็ไม่อาจจากไปได้

ทหารม้าตรวจค้นทุกทิศทาง พยายามหาคนยิงหน้าไม้ให้เร็วที่สุด

เฉินฉางเซิงกับเซวียฮูหยิยืนบนถนนหลวง รอบกายไร้ผู้คน

นายกองบนหลังม้ามองดูเฉินฉางเซิงราวกับต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้

เฉินฉางเซิงมองไปที่เขา ก็รู้ว่าตัวตนของตนถูกจำได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่เขาแค่มองไปที่แส้ของเทียนไห่เซิ่ง แส้นั้นก็พังทลาย จากนั้น เทียนไห่เซิ่งก็ถูกลูกศรปักตา

ในสายตาฝูงชน หากเขาไม่ใช่มารปีศาจก็ต้องเป็นเทพเซียน

ทหารกองทัพรักษาการณ์ประตูเมืองย่อมคิดว่าเขาเป็นมารปีศาจ จากนั้นก็เห็นว่ามารปีศาจตนนี้มองดูผู้บังคับบัญชาของตน พวกเขาก็เป็นกังวลอย่างมากในทันที ในเวลาไม่นาน ดาบกระบี่ก็ถูกชักจากฝัก ทวนตั้งท่าพร้อมแทง

นายกองมีสีหน้าน่าเกลียดอย่างที่สุด ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าไม่ให้ใครเคลื่อนไหว

ซูม่ออวี๋แทรกตัวออกมาจากฝูงชนในที่สุด เห็นภาพตรงหน้าเขาก็ผ่อนคลายได้เล็กน้อย “โชคยังดีที่ท่านไม่ทำอะไรโดยไม่คิด”

นายกองตอบ “เขาจดจำเจ้าสำนักเฉินไม่ได้ ถึงกับบอกว่าเจ้าสำนักเฉินตาบอด เขาก็สมควรตาบอดแล้ว”

เฉินฉางเซิงย่อมเป็นคนดัง แต่มีคนไม่มากนักที่ได้เห็นเขาใกล้ๆ แม้แต่ในจิงตูก็ตาม

แต่นายกองคนนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสวีซื่อจี ดังนั้นเขาย่อมให้ความสนใจต่อเฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวง จึงจำเฉินฉางเซิงได้

เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง “แต่ข้าต้องเตือนท่าน หากท่านยืนกรานจะทำเช่นนี้ ย่อมเท่ากับ…”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าเองก็จะได้รับข้อหากบฏเช่นกันหรือ”

สีหน้านายกองเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดกว่าเดิม พลางคิด ต่อให้เป็นเซียงอ๋องก็ไม่กล้าตั้งข้อหาเช่นนี้กับว่าที่สังฆราช

“ผู้น้อยไม่อาจเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์เช่นนี้ได้”

……

……

กองทัพรักษาการณ์ประตูเมืองมีหน้าที่ดูแลความสงบปลอดภัยในจิงตู มีบทบาทสำคัญอย่างมาก มีแต่คนสำคัญที่มีคุณสมบัติสูงและได้รับเชื่อมั่นอย่างมากจากราชสำนักเท่านั้น จึงจะเป็นผู้บัญชาการได้

เฉกเช่นขุนพลเทพตงอวี้สวีซื่อจี ที่เคยได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และตอนนี้ก็ยังได้รับความเคารพอย่างสูงจากเซียงอ๋อง

ฝูงชนถูกขับไล่ออกไป เซวียฮูหยินที่งงงันอยู่บ้างเมื่อรู้ว่าตัวตนของเฉินฉางเซิงคือใคร ได้ถูกซูม่ออวี๋นำมาพักที่ข้างทาง มีผู้คนอยู่บนถนนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

นี่เป็นเพราะสวีซื่อจีไม่ต้องการให้คนมากเกินไปได้ยินบทสนทนาของเขากับเฉินฉางเซิง

สามปีผ่านไป ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินฉางเซิงก็เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย

เขาไม่อาจใช้ฐานะพ่อได้อีกต่อไป ไม่อาจสะกดเฉินฉางเซิงเอาไว้ด้วยฐานะขุนพลเทพ หากเฉินฉางเซิงยืนกราน เขาก็ต้องก้มหัวให้

สวีซื่อจีย่อมไม่อาจยอมรับได้

“นี่คือราชโองการจากวังหลวง แม้แต่ท่านก็ไม่อาจขัดขืนได้”

เขากล่าวเตือนเฉินฉางเซิงอย่างหนักแน่น จากนั้นสีหน้าก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย “นอกจากนี้ ท่านมีความสนิทสนมกับเซวียสิ่งชวนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

เรื่องวันนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าในความเป็นจริง นี่เป็นเรื่องใหญ่เพราะผู้ปกครองใหม่ต้องแสดงอำนาจให้เป็นที่ประจักษ์

สวีซื่อจีรู้ว่าเขาต้องพบกับความยากลำบาก แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเฉินฉางเซิงถึงเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขาเสมอมา หรือว่าเขายังมีความขุ่นเคืองในเรื่องนั้น และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะทำให้ชื่อเสียงของสวีซื่อจีตกต่ำถึงขีดสุด

เขาไม่ต้องการตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น จึงต้องสะกดความโกรธเอาไว้ ใช้ถ้อยคำที่อ่อนโยนเกลี้ยกล่อมเฉินฉางเซิง

ในมุมมองของสวีซื่อจีและคนมากมาย เฉินฉางเซิงกับเซวียสิ่งชวนไม่มีความสนิทชิดเชื้อกันแม้แต่น้อย ในอดีตพวกเขาถึงกับอยู่คนละฝ่าย เป็นศัตรูกันก็ว่าได้ ดังนั้นเหตุใดเขาถึงต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วย

“ข้าไม่สนิทกับเซวียสิ่งชวน” เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วถามกลับ “แต่ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าสนิทกับเขามากไม่ใช่หรือ”

สีหน้าสวีซื่อจีน่าเกลียดอย่างที่สุด

เขากับเซวียสิ่งชวนเป็นสองขุนพลเทพที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เชื่อใจที่สุดในกองทัพ อีกฝ่ายเป็นผู้บัญชาการกองทัพอวี่หลินในขณะที่เขาเป็นผู้นำกองทัพรักษาการณ์ประตูเมือง

ย่อมไม่ผิดที่จะบอกว่าเขากับเซวียสิ่งชวนสนิทสนมกัน พวกเขาไม่เพียงเป็นเพื่อนร่วมงานแต่ยังเป็นเพื่อนทหาร เป็นเพื่อนร่วมรบ เป็นสหาย

หากบอกว่าเฉินฉางเซิงไม่สนิทกับเซวียสิ่งชวนและไม่มีภาระหน้าที่ต้องฝังศพให้เซวียสิ่งชวน แล้วสวีซื่อจีเล่า

เฉินฉางเซิงไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น เขาแค่พูดไปตามใจคิด แต่เขากลับทำให้สวีซื่อจีพูดอะไรไม่ออก

ผ่านไปเป็นเวลานาน สวีซื่อจีก็สูดหายใจเข้าลึกและกล่าว “นี่เป็นพระราชโองการ”

เฉินฉางเซิงตอบ “แต่มันไร้หลักการ”

สวีซื่อจีตอบกลับอย่างเย็นชา “ราชโองการก็คือหลักการยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้!”

เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “กินเวลาหิว นอนเวลาง่วง กินยาเวลาป่วย ฝังศพคนเมื่อตายไป นี่คือหลักการยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริง”