เซวียฮูหยินเป็นภรรยาผู้มีการศึกษาดี มีมารยาทงดงาม แม้ว่าซากศพสามีจะถูกโยนทิ้งไว้ในทุ่งหญ้าข้างถนนและตัวนางเองก็ถูกหยามหยันอย่างไม่รู้จักจบ กระนั้นนางก็ยังไม่เสียมารยาท เห็นว่าผู้เยาว์คนนี้ซึ่งนางไม่รู้จักมาทักทาย นางจึงถามกลับไปเบาๆ “มีอะไรหรือ”
เฉินฉางเซิงเดินออกจากฝูงชนมาหานาง เพราะเขาต้องการทำบางอย่างเป็นแน่ ทว่าเป็นสิ่งที่ราชสำนักในตอนนี้ไม่อนุญาตให้ใครทำ นั่นคือฝังศพเซวียสิ่งชวน
เซวียฮูหยินตกใจอยู่บ้างเมื่อได้ยินคำตอบของเขา นางจึงรู้สึกหวั่นไหวอย่างมาก แต่นางส่ายหน้า รอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้า
หลายวันที่ผ่านมา จิงตูดูเหมือนจะเงียบสงบอย่างสมบูรณ์ ทว่าอันที่จริงมีเสียงร้องขอความยุติธรรมอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้ต่างก็ทนทุกข์กับชะตาเช่นเดียวกับเหล่าทหารที่กลับมาจากกองทัพเมืองชงและถูกสะกดเอาไว้อย่างโหดเหี้ยม
นางไม่ต้องการให้ผู้เยาว์คนนี้ต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน
ก่อนเฉินฉางเซิงจะมีโอกาสได้พูดอะไร เขาก็ถูกเสียงเย็นชาขัดขวางเอาไว้
เป็นเสียงเทียนไห่เซิ่ง ผู้คุมจากกรมราชทัณฑ์
เมื่อเขาเห็นว่าผู้เยาว์คนนี้ไม่สนคมดาบกระบี่เย็นเยียบเดินออกมาจากฝูงชน จากนั้นก็ได้ยินบทสนทนาที่ตามมา เขาก็พบว่าทั้งหมดนี้ช่างน่าขัน แน่นอนว่าเขาโกรธอย่างมากเช่นกัน
เขาไม่รู้ว่าผู้เยาว์คนนี้เป็นใคร แต่เห็นชุดบัณฑิตที่ผู้เยาว์สวมใส่ ก็เชื่อว่าคงเป็นนักเรียนคนหนึ่งของหกสำนักไม้เลื้อย ที่ปล่อยให้อารมณ์ควบคุมความคิด
“เพื่อนนักเรียนของเจ้าถูกส่งไปคุกโจวหลายคนแล้ว บางคนก็ถูกแส้ฟาดหลายสิบหน ตอนนี้พวกเขาได้แต่หุบปากอยู่ในสำนักของตัวเอง”
เขาดุด่าอย่างเคร่งเครียด “ข้าไม่คาดคิดว่าพวกเจ้าจะกล้าสร้างปัญหาอีก เจ้าตาบอดหรือ”
ในตอนนี้ ทั้งสองฝั่งถนนหลวงเต็มไปด้วยทหารจากกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองและมือปราบจากกรมราชทัณฑ์ พวกเขามีหลายร้อยคนรวมตัวกันอย่างหนาแน่น
เหล่าทหารจากกองทัพเมืองชงไม่ได้ไร้ฝีมือ แต่ต่อหน้าขุมกำลังเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย ก่อนถูกล้มลงกองกับพื้น ได้รับบาดเจ็บสาหัส
หากนักเรียนทั่วไปของหกสำนักไม้เลื้อยเห็นภาพเช่นนี้แล้วยังก้าวออกมา นั่นนับว่าเลือดร้อนเกินไป หุนหันพลันแล่นเกินไป
ในสายตาขุนนางอย่างเทียนไห่เซิ่ง นักเรียนเช่นนี้ต้องตาบอดเป็นแน่
เป็นเวลานานมากแล้วที่เฉินฉางเซิงไม่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ นับตั้งแต่วันในฤดูใบไม้ผลิที่เขาเข้าสู่สำนักฝึกหลวง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ประมุขตระกูลเทียนไห่ แม้แต่ราชามารที่เขาได้พบเจอที่หานซานอาจจะไม่มีความเคารพต่อเขา กระนั้นก็ไม่เคยพูดอย่างดูถูกเช่นนี้ เพราะเขามีฐานะและตัวตนที่พิเศษเฉพาะ
เขาไม่ได้ตอบโต้และดูเหมือนกับคนหัวช้า ในสายตาเทียนไห่เซิ่ง นี่เป็นความดันทุรัง
เทียนไห่เซิ่งไม่ชอบคนดันทุรังเพราะเขาไม่เคยดันทุรังเลยตลอดชีวิต เป็นผลให้เขาโกรธเคืองและสะบัดข้อมือ
แส้ในมือสะบัดผ่านสายลมฤดูใบไม้ร่วงเข้าหาใบหน้าเฉินฉางเซิงเสียงดังขวับ
แส้บินไปอย่างเกรี้ยวกราด ไม่มีทีท่าจะผ่อนปรนต่ออีกฝ่าย ด้วยความแข็งแกร่งนี้ หากฟาดลงบนใบหน้าเฉินฉางเซิง คงทิ้งบาดแผลลึกเอาไว้
และเทียนไห่เซิ่งก็ไม่คิดที่จะฟาดเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขาตัดสินใจที่จะฟาดจนกว่าผู้เยาว์คนนี้จะร้องขอความเมตตา จนกว่าจะกลิ้งกับพื้นร้องขออภัย
ครั้นเห็นภาพนี้ฝูงชนก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ เซวียฮูหยินหน้าซีดขาวและนางต้องการจะดึงเฉินฉางเซิงออกมา แต่นางก็ไม่มีกำลัง
ในสายตาฝูงชน เฉินฉางเซิงหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับ ทำได้แต่มองดูแส้หนังฟาดลงมา แต่ทำเช่นนี้แล้วมีประโยชน์อันใด
ทันใดนั้นเสียงแส้ฟาดที่ชัดเจนก็พลันหายไป
ศรหน้าไม้มาจากที่ใดไม่ทราบทำลายแส้ในมือของเทียนไห่เซิ่งไป!
เทียนไห่เซิ่งจ้องมองส่วนที่เหลือของแส้ในมือ จากนั้นก็มองไกลออกไป
ในตอนนั้นเองที่ศรหน้าไม้อีกดอกพุ่งเข้าสู่ดวงตาซ้ายของเขา เลือดกระฉอกพุ่งออกมา!
เสียงร้องอย่างปวดร้าวดังออกมาจากปากเขา
สองฝั่งถนนหลวงนอกประตูเมืองเต็มไปด้วยเสียงร้องตกใจของฝูงชน เสียงคนวิ่งหนี ทั้งหมดกลายเป็นความสับสนวุ่นวายอย่างที่สุด
ต่อหน้าฝูงชน เทียนไห่เซิ่งกุมดวงตาที่บาดเจ็บ ใบหน้าซีดขาวจากความเจ็บปวด ทั่วร่างสั่นสะท้าน ส่วนที่เหลือของแส้สั่นไหวอยู่ในมือราวกับเขาเป็นบ้าไปแล้ว
เฉินฉางเซิงคว้าแขนเซวียฮูหยินและถอยไปสองก้าว
ความวุ่นวายไม่ได้ดำรงอยู่นานนัก
นายกองจากกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองตะโกนสั่งการสั้นๆ ให้มือปราบจากกรมราชทัณฑ์ก้าวออกไปรับแส้ในมือของเทียนไห่เซิ่ง เมื่อเตรียมที่จะรักษาเขา ทหารจากกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองก็ล้อมพื้นที่เอาไว้ ไม่ว่าชาวบ้านที่มาชมดูหรือทหารจากกองทัพเมืองชงที่บาดเจ็บสาหัสก็ไม่อาจจากไปได้
ทหารม้าตรวจค้นทุกทิศทาง พยายามหาคนยิงหน้าไม้ให้เร็วที่สุด
เฉินฉางเซิงกับเซวียฮูหยิยืนบนถนนหลวง รอบกายไร้ผู้คน
นายกองบนหลังม้ามองดูเฉินฉางเซิงราวกับต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้
เฉินฉางเซิงมองไปที่เขา ก็รู้ว่าตัวตนของตนถูกจำได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่เขาแค่มองไปที่แส้ของเทียนไห่เซิ่ง แส้นั้นก็พังทลาย จากนั้น เทียนไห่เซิ่งก็ถูกลูกศรปักตา
ในสายตาฝูงชน หากเขาไม่ใช่มารปีศาจก็ต้องเป็นเทพเซียน
ทหารกองทัพรักษาการณ์ประตูเมืองย่อมคิดว่าเขาเป็นมารปีศาจ จากนั้นก็เห็นว่ามารปีศาจตนนี้มองดูผู้บังคับบัญชาของตน พวกเขาก็เป็นกังวลอย่างมากในทันที ในเวลาไม่นาน ดาบกระบี่ก็ถูกชักจากฝัก ทวนตั้งท่าพร้อมแทง
นายกองมีสีหน้าน่าเกลียดอย่างที่สุด ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าไม่ให้ใครเคลื่อนไหว
ซูม่ออวี๋แทรกตัวออกมาจากฝูงชนในที่สุด เห็นภาพตรงหน้าเขาก็ผ่อนคลายได้เล็กน้อย “โชคยังดีที่ท่านไม่ทำอะไรโดยไม่คิด”
นายกองตอบ “เขาจดจำเจ้าสำนักเฉินไม่ได้ ถึงกับบอกว่าเจ้าสำนักเฉินตาบอด เขาก็สมควรตาบอดแล้ว”
เฉินฉางเซิงย่อมเป็นคนดัง แต่มีคนไม่มากนักที่ได้เห็นเขาใกล้ๆ แม้แต่ในจิงตูก็ตาม
แต่นายกองคนนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสวีซื่อจี ดังนั้นเขาย่อมให้ความสนใจต่อเฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวง จึงจำเฉินฉางเซิงได้
เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง “แต่ข้าต้องเตือนท่าน หากท่านยืนกรานจะทำเช่นนี้ ย่อมเท่ากับ…”
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าเองก็จะได้รับข้อหากบฏเช่นกันหรือ”
สีหน้านายกองเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดกว่าเดิม พลางคิด ต่อให้เป็นเซียงอ๋องก็ไม่กล้าตั้งข้อหาเช่นนี้กับว่าที่สังฆราช
“ผู้น้อยไม่อาจเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์เช่นนี้ได้”
……
……
กองทัพรักษาการณ์ประตูเมืองมีหน้าที่ดูแลความสงบปลอดภัยในจิงตู มีบทบาทสำคัญอย่างมาก มีแต่คนสำคัญที่มีคุณสมบัติสูงและได้รับเชื่อมั่นอย่างมากจากราชสำนักเท่านั้น จึงจะเป็นผู้บัญชาการได้
เฉกเช่นขุนพลเทพตงอวี้สวีซื่อจี ที่เคยได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และตอนนี้ก็ยังได้รับความเคารพอย่างสูงจากเซียงอ๋อง
ฝูงชนถูกขับไล่ออกไป เซวียฮูหยินที่งงงันอยู่บ้างเมื่อรู้ว่าตัวตนของเฉินฉางเซิงคือใคร ได้ถูกซูม่ออวี๋นำมาพักที่ข้างทาง มีผู้คนอยู่บนถนนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
นี่เป็นเพราะสวีซื่อจีไม่ต้องการให้คนมากเกินไปได้ยินบทสนทนาของเขากับเฉินฉางเซิง
สามปีผ่านไป ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉินฉางเซิงก็เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย
เขาไม่อาจใช้ฐานะพ่อได้อีกต่อไป ไม่อาจสะกดเฉินฉางเซิงเอาไว้ด้วยฐานะขุนพลเทพ หากเฉินฉางเซิงยืนกราน เขาก็ต้องก้มหัวให้
สวีซื่อจีย่อมไม่อาจยอมรับได้
“นี่คือราชโองการจากวังหลวง แม้แต่ท่านก็ไม่อาจขัดขืนได้”
เขากล่าวเตือนเฉินฉางเซิงอย่างหนักแน่น จากนั้นสีหน้าก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย “นอกจากนี้ ท่านมีความสนิทสนมกับเซวียสิ่งชวนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
เรื่องวันนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าในความเป็นจริง นี่เป็นเรื่องใหญ่เพราะผู้ปกครองใหม่ต้องแสดงอำนาจให้เป็นที่ประจักษ์
สวีซื่อจีรู้ว่าเขาต้องพบกับความยากลำบาก แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเฉินฉางเซิงถึงเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขาเสมอมา หรือว่าเขายังมีความขุ่นเคืองในเรื่องนั้น และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะทำให้ชื่อเสียงของสวีซื่อจีตกต่ำถึงขีดสุด
เขาไม่ต้องการตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น จึงต้องสะกดความโกรธเอาไว้ ใช้ถ้อยคำที่อ่อนโยนเกลี้ยกล่อมเฉินฉางเซิง
ในมุมมองของสวีซื่อจีและคนมากมาย เฉินฉางเซิงกับเซวียสิ่งชวนไม่มีความสนิทชิดเชื้อกันแม้แต่น้อย ในอดีตพวกเขาถึงกับอยู่คนละฝ่าย เป็นศัตรูกันก็ว่าได้ ดังนั้นเหตุใดเขาถึงต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วย
“ข้าไม่สนิทกับเซวียสิ่งชวน” เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วถามกลับ “แต่ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าสนิทกับเขามากไม่ใช่หรือ”
สีหน้าสวีซื่อจีน่าเกลียดอย่างที่สุด
เขากับเซวียสิ่งชวนเป็นสองขุนพลเทพที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เชื่อใจที่สุดในกองทัพ อีกฝ่ายเป็นผู้บัญชาการกองทัพอวี่หลินในขณะที่เขาเป็นผู้นำกองทัพรักษาการณ์ประตูเมือง
ย่อมไม่ผิดที่จะบอกว่าเขากับเซวียสิ่งชวนสนิทสนมกัน พวกเขาไม่เพียงเป็นเพื่อนร่วมงานแต่ยังเป็นเพื่อนทหาร เป็นเพื่อนร่วมรบ เป็นสหาย
หากบอกว่าเฉินฉางเซิงไม่สนิทกับเซวียสิ่งชวนและไม่มีภาระหน้าที่ต้องฝังศพให้เซวียสิ่งชวน แล้วสวีซื่อจีเล่า
เฉินฉางเซิงไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น เขาแค่พูดไปตามใจคิด แต่เขากลับทำให้สวีซื่อจีพูดอะไรไม่ออก
ผ่านไปเป็นเวลานาน สวีซื่อจีก็สูดหายใจเข้าลึกและกล่าว “นี่เป็นพระราชโองการ”
เฉินฉางเซิงตอบ “แต่มันไร้หลักการ”
สวีซื่อจีตอบกลับอย่างเย็นชา “ราชโองการก็คือหลักการยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้!”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “กินเวลาหิว นอนเวลาง่วง กินยาเวลาป่วย ฝังศพคนเมื่อตายไป นี่คือหลักการยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริง”