มู่เฉียนซีเริ่มมีจิตสังหารขึ้นมาจริง ๆ หลงฉือยิ้มแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ รักษาอาการบาดเจ็บเสียก่อน”

หลงฉือหยิบยาออกมาให้ราชทินนามซวง เขานั้นรู้สึกว่ามู่เฉียนซีดูพิเศษขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจะไปทะเลาะกับมู่เฉียนซีตอนนี้ได้อย่างไรเล่า?

หลังจากพักผ่อนไปได้สักพักหนึ่ง พวกเขาก็เดินเข้าไปด้านในสุด

จากนั้นก็ได้พบกับมังกรกระดูกอีกตัวหนึ่ง

เพราะด้วยประสบการณ์จากครั้งก่อน คราวนี้พวกเขาจึงไม่ได้กลัวมากนัก

หลงฉือแจกแจงหน้าที่แล้วกล่าว “ราชทินนามโยว เจ้าปรุงยาเสร็จ พวกเราจะลงมือทันที”

นี่เป็นวิธีเดียวที่จะจัดการกับมังกรกระดูกดำได้ มู่เฉียนซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรุงยาต่อไป

บึ้ม!

หลังจากที่การปรุงยาสำเร็จ หลงฉือกับไป๋อีและพวกก็ได้ลงมือ

ตูม!

มันเป็นการต่อสู้ที่อันตรายอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่ายากัดกร่อนขั้นสูงจะช่วยได้มาก แต่การชนะในครั้งที่สองกลับไม่ใช่เรื่องง่าย

มีครั้งที่สอง พวกเขาก็ต้องพบกับครั้งที่สาม…

ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับมังกรกระดูกดำที่น่าหวาดกลัวทั้งเก้าตัว

หากไม่มียากัดกร่อนขั้นสูง คนที่เข้ามาที่นี่จะไม่สามารถจัดการมังกรกระดูกดำได้เลยแม้แต่ตัวเดียว แล้วนับประสาอะไรกับเก้าตัว

หลังจากการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชมาก

หลงฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หลังจากเก้าตัวนี้แล้ว เกรงว่าต่อไปจะยิ่งอันตรายมากขึ้น ตอนนี้พักผ่อนและฟื้นฟูให้คืนสู่สภาพที่ดีที่สุดเสียก่อนเถอะ”

ไม่จำเป็นต้องให้หลงฉือพูด มู่เฉียนซีเองก็รู้ดีว่าต้องทำเช่นนี้

เมื่อพักผ่อนกันมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว จากนั้นพวกเขาก็เดินหน้าต่อไป

ทันใดนั้น วิสัยทัศน์ก็ได้ถูกลิดรอนไปจนหมดสิ้น พวกเขามองไม่เห็นอะไรเลย

“โฮก โฮก โฮก!” เสียงคำรามของมังกรที่ดังกึกก้องทำให้คนฟังรู้สึกวิงเวียนยิ่งนัก

หูทั้งสองข้างของราชทินนามซวงมีเลือดไหลออกมา สีหน้าของหลงฉือหม่นคล้ำลง การโจมตีด้วยเสียงคำรามของมังกรนี้ทำให้ผู้คนไม่อาจป้องกันได้

แต่เขาจะไม่ยอมแพ้

หลงฉือพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกว่าตราบใดที่บุกเข้าไป เช่นนั้นเขาก็จะสามารถพบสิ่งที่เขาต้องการได้

กู้ไป๋อีจำต้องเดินหน้าต่อไป ยิ่งลึกเข้าไปมากเท่าใด พลังแห่งคำสาปก็ไม่ยอมให้เขาหยุดนิ่ง

เสียงคำรามของมังกรเป็นการใช้พลังจิตวิญญาณโจมตีผู้คนโดยตรง แม้ว่าจะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนหูหนวกไปแต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้

กู้ไป๋อีไม่ไป มู่เฉียนซีก็ย่อมไปไม่ได้เช่นกัน จึงต้องอาศัยพลังจิตวิญญาณต้านทานเสียงเหล่านี้

แต่ยิ่งเดินเข้าไปด้านในท่ามกลางเสียงคำรามของมังกรประหลาดตัวนี้ ทุกคนก็เริ่มเกิดภาพหลอนขึ้นมา

เสียงนี้ทำให้ผู้คนสับสน ใบหน้าของราชทินนามซวงได้เผยความเจ็บปวดออกมาแล้ว

จิตสังหารของหลงฉือเองก็ได้ระเบิดออกมา

“ข้าอยู่ที่นี่มานับพันปี ไม่มีใครสามารถแย่งของสิ่งนั้นไปจากข้าได้ หากข้าได้มันมาแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้”

ตูม!

เขาทำลายพื้นที่โดยรอบโดยไม่สนว่าฝั่งไหนเป็นฝั่งไหน

ตอนนี้มู่เฉียนซีเห็นชายชุดดำงดงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านาง

ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งคู่นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ภาพคำสาปเริ่มปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา

เขาคว้าไหล่ของมู่เฉียนซีด้วยมือทั้งสองข้างและกล่าวด้วยความพยายามทั้งหมดของเขาว่า “ซี ฆ่าข้าซะ”

“ฆ่าข้า ข้าควบคุมไม่ได้แล้ว ข้าไม่สามารถควบคุมได้…“

นางลังเล หากไม่ลงมือ ก็มิอาจลงมือได้แล้ว

เขาเหมือนสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่ง ความเจ็บปวดและร่างกายของเขาราวกับถูกฉีกเปิดออก…

ความเจ็บปวดที่สภาพแวดล้อมมอบให้นางนั้นราวกับว่ามันได้ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า แต่มู่เฉียนซีนั้นกลับตื่นตัวขึ้นมามากกว่าเดิม อาถิง สุ่ยจิงอิ๋ง…

นางหวาดกลัวคำสาปของจิ่วเยี่ยที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ถ้ามันปรากฏสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นจริง ๆ เพื่อนของนางและพันธมิตรตามพันธสัญญาของนาง จะไม่มีทางหายไป

เสียงที่หยิ่งยโสเสียงหนึ่งดังขึ้น “นางผู้หญิงบ้าก็ไม่ได้โง่นี่!”

แสงสีเขียวอ่อนห่อหุ้มมู่เฉียนซีเอาไว้

พลังแห่งเวลารอบตัวนางแยกเสียงคำรามของมังกรทั้งหมดออกไป

มู่เฉียนซีพบเงาสีขาวที่คุ้นเคย ไม่ว่าคนจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ก็ยังมีจุดอ่อน

ไป๋อีเองก็มี เขาตกอยู่ในสถานการณ์ลวงตาที่ไม่ได้โหดร้ายเหมือนดั่งของหลงฉือ แต่เป็นความสิ้นหวังที่เงียบสงัด

เงาร่างสีม่วงพุ่งออกไป มู่เฉียนซีคว้าตัวกู้ไป๋อีแล้วตะโกนขึ้น “เสี่ยวไป๋ รีบตื่นเร็วเข้า”

“กู้ไป๋อี! กู้ไป๋อี!”

ท่ามกลางความสับสน ทำให้เสียงที่เขาไม่สามารถปิดกั้นได้ดังเข้ามาในสมองของกู้ไป๋อี

ดวงตาที่กลายเป็นสีเทาและล่องลอยคู่นั้นได้กลับมาเป็นปกติ เขามองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวเสียงต่ำว่า “คุณหนูใหญ่!”

“เจ้าไม่เป็นอะไร ช่างดีเหลือเกิน”

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ไปกันเถอะ!”

แสงสีเขียวอ่อนพุ่งไปข้างหน้าและเปิดทางให้พวกเขา มู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีก็ได้พุ่งเข้าไป

ตอนนี้หลงฉือเองก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเส้นทางนั้นคืออะไร? แต่ก็มั่นใจว่าปลอดภัย เขาอยากจะไล่ตามไป แต่ก็สายไปเสียแล้ว

สีหน้าของหลงฉือหม่นคล้ำลง หากไม่มีเส้นทางนี้ ถ้าอาศัยความสามารถของเขา คงจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลวงตาจนตาย

ไป จำเป็นต้องรีบไปเดี๋ยวนี้!

หลงฉือคว้าตัวราชทินนามซวงทั้งสองไว้ พวกเขาถอยไปทางด้านหลัง

เมื่อออกจากสถานที่ที่น่าหวาดกลัวนั่นแล้ว ราชทินนามซวงก็ฟื้นขึ้นมา

พวกเขากล่าวว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”

หลงฉือกล่าวว่า “เมื่อครู่พวกเราตกอยู่ในภาพลวงตา ตอนนี้ข้าพาพวกเจ้าออกมาแล้ว”

ราชทินนามซวงกล่าว “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”

หลงฉือกล่าว “เราจะออกไปจากที่นี่”

กู้ไป๋อีและมู่เฉียนซีไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าพวกเขาสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัย เช่นนั้นเขาก็เพียงต้องจัดการกับพวกเขาเท่านั้นเอง และไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอีกต่อไป

ถ้าพวกเขาตายในนั้น เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องตายไปพร้อมกับพวกเขา

แม้ว่าการรอคอยจะเป็นเวลานาน แต่การเฝ้าเมืองเฮยตูนี้เอาไว้ก็ทำให้ผู้คนเป็นบ้าได้ และหลงฉือเองก็ไม่อยากให้ตนเองตาย

หลงฉือบอกว่าจะออกจากสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าราชทินนามซวงย่อมไม่ปฏิเสธ พวกเขากล่าว “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”

หลงฉือและราชทินนามเฮยออกไปแล้ว ตอนนี้อุโมงค์ฝังศพมังกรเหลือเพียงแค่กู้ไป๋อีและมู่เฉียนซีเท่านั้น

ตูม!

พวกเขาทั้งสองก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่งและได้พบสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง

ไม่มีศิลาสีแดงเข้มวิบวับ พวกเขาเห็นเพียงท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่

บึ้ม! เสียงระเบิดดังกึกก้อง

จากนั้นแสงสีดำก็บดบังท้องฟ้าสีคราม มู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีเงยหน้ามอง

สิ่งมหึมาบนท้องฟ้านั่น ไม่ใช่มังกรหรอกเหรอ?

“มังกรดำ เจ้าช่างใจกล้าเสียจริง เจ้าขโมยกุญแจของเผ่ามังกรไป”

“มังกรดำ เจ้ารีบส่งกุญแจเผ่ามังกรออกมาเร็วเข้า”

“……”

มังกรยักษ์หลายตัวตามล่ามังกรดำ

มังกรดำตัวนี้เป็นหัวหน้าที่องอาจและกล้าหาญในการรบอย่างแน่นอน แม้ว่ามันจะถูกรุม แต่มันก็สามารถรับมือได้ โดยไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกจับ

สิ่งที่ทำให้กู้ไป๋อีและมู่เฉียนซีประหลาดใจก็คือเผ่ามังกรแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แต่กลับไม่สามารถตรวจพบพวกนางที่อยู่ตรงนี้ได้

มู่เฉียนซีนึกถึงคำกล่าวของหลงฉือที่พูดถึงอุโมงค์ฝังศพมังกรในตอนนั้น นางกล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเราย้อนเวลากลับไปในอดีต?”

เสียงของอาถิงดังขึ้น “การกลับไปในอดีตมันง่ายนักหรือ? นางผู้หญิงบ้า นี่พวกเจ้ากำลังติดอยู่ในกระจกแห่งเวลา และเมื่อพวกเจ้าติดอยู่ในนี้ เช่นนั้นก็จะไม่มีทางออกไปได้อีกตลอดกาล”

.

.