หลังจากที่หลิงตู้ฉิงเอ่ยปากว่าเขาจะยังคงรั้งอยู่ในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่อไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาและคนของเขาก็เอาแต่เก็บตัวตัวเงียบอยู่ในเรือนของเย่ชิงเฉิงไม่ออกไปไหนทั้งสิ้น
แต่ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะเอาแต่เก็บตัวเงียบไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ มันกลับทำให้ใครหลายคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์รู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้พวกเขาอุตส่าห์วางแผนกดดันตระกูลเย่เป็นอย่างดีให้ตระกูลเย่แบ่งสมบัติที่ได้จากเย่เจียงไห่มาบ้าง แต่เมื่อตอนนี้หลิงตู้ฉิง จู่ ๆ กลับโผล่มามันทำให้แผนการของพวกเขาต้องหยุดชะงักลงทันที
ในสายตาของใครหลายคนในสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาคิดว่าในฐานะที่เย่ชางคงเป็นเจ้าสำนัก เขาควรที่จะแบ่งสมบัติล้ำค่าทั้งหลายที่ได้มาเย่เจียงไห่มาพัฒนาสำนักบ้างไม่ใช่เก็บไว้กับตัวเองแบบนี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่คู่ควรที่จะอยู่ในตำแหน่งเจ้าสำนัก
ส่วนเรื่องของอิทธิพลของเย่เจียงไห่ที่ในตอนนี้กลายเป็นเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนไปแล้ว และเป็นลูกชายของเย่ชางคง บรรดาผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เกรงกลัวว่าเย่เจียงไห่จะมาเอาเรื่องพวกเขาเท่าไหร่หากพวกเขาจะกดดันตระกูลเย่ เพราะพวกเขาเข้าใจว่าการที่เย่เจียงไห่ให้สมบัติมากมายขนาดนี้ มันก็เหมือนว่าเขาตัดสัมพันธ์กับตระกูลเย่แบบอ้อม ๆ
ปัญหาของพวกเขาตอนนี้จึงเหลือแค่เพียงหลิงตู้ฉิงที่ จู่ ๆ ก็โผล่มา
ในฐานะที่หลิงตู้ฉิงเป็นลูกเขยของเย่ชางคง หากมีอะไรเกิดขึ้นกับตระกูลเย่ แน่นอนว่าหลิงตู้ฉิงจะต้องยื่นมือเข้ามาแทรกแซงแน่นอน
สิ่งที่พวกเขากลัวเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงนั้นไม่ใช่ความแข็งแกร่ง แต่มันเป็นความสัมพันธ์ที่หลิงตู้ฉิงมีต่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่หลังสำนัก ด้วยความแข็งแกร่งของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาไม่อาจต่อต้านได้ ดังนั้นพวกเขาจะกล้าบุ่มบ่ามทำอะไรหลิงตู้ฉิงหรือตระกูลเย่ได้ยังไง
ตอนนี้พวกเขาจึงทำได้แค่เพียงอ้อนวอนต่อสวรรค์ให้หลิงตู้ฉิงจากไปให้เร็วที่สุด เพื่อที่แผนการกดดันตระกูลเย่ของพวกเขาจะได้ดำเนินต่อไปได้
ในระหว่างที่คนส่วนใหญ่ของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อ้อนวอนต่อสวรรค์และสาปแช่งให้หลิงตู้ฉิงจากไปโดยไวที่สุด แต่จนแล้วจนรอดเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอีก 8 ปี แต่หลิงตู้ฉิงก็ยังคงอยู่ในสำนักเหมือนเดิมไม่จากไปไหน
เวลา 8 ปีที่ผ่านไป ระดับการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงตอนนี้ได้พัฒนามาถึงขอบเขตนภาระดับ 7 เรียบร้อยแล้ว เพิ่มขึ้นมา 1 ระดับจากตอนที่เขาจบการบรรยายเต๋าให้กับภูเขาฟีนิกซ์
หลิงตู้ฉิงไม่ได้รีบร้อนที่จะเพิ่มระดับการบ่มเพาะของตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะเขารู้ดีว่าต่อให้ระดับการบ่มเพาะของเขาจะเพิ่มไปถึงขอบเขตนภาระดับสูงสุด เขาก็ยังคงไม่อาจทะลวงขึ้นไปยังขอบเขตสวรรค์ได้อยู่ดี
เขาจำเป็นต้องรอให้เขาบ่มเพาะร่างกายเบญจธาตุให้สำเร็จก่อน
นับตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันนี้ แผนการบ่มเพาะร่างกายเบญจธาตุของเขานั้นเพิ่งสำเร็จไปได้แค่ 2 ธาตุเท่านั้น ส่วนอีก 3 ธาตุเขายังไม่มีโอกาสที่ได้บ่มเพาะมันเลย
ในทางกลับกัน บรรดากลุ่มคนของหลิงตู้ฉิง ยกเว้นหลิงเทียนหยุนคนเดียวกลับทะลวงระดับการบ่มเพาะกันอย่างบ้าคลั่งภายใต้การชี้แนะของหลิงตู้ฉิง
หลังจากเวลาผ่านไป 8 ปี ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็พาคนของเขากลับไปที่ด้านหลังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้ที่ด้านหลังสำนักก็ยังคงมีเขตแดนหมอกดำรงอยู่เหมือนเดิม
ส่วนทางด้านผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพวกเขาเห็นว่าหลิงตู้ฉิงพากลุ่มคนของเขาเดินไปที่ด้านหลังสำนักอีกแล้ว บรรดาผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แต่สงสัยแต่ไม่มีใครในพวกเขาที่กล้าตามไปดู
นับตั้งแต่ที่ผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์รู้แล้วว่าในหมอกนั้นมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่น่ากลัวดำรงอยู่ มันก็ไม่มีใครในพวกเขาสักคนที่กล้าเหยียบเข้าไปในบริเวณนั้นอีก เนื่องจากพวกเขากลัวว่าพวกเขาจะเผลอไปทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขุ่นเคือง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เลยว่าในตอนนี้เขตแดนหมอกที่ด้านหลังสำนักของพวกเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่า
หลิงตู้ฉิงเดินตรงเข้าไปในหมอกและมองดูหมาชราสีทองที่ในเวลานี้ได้กลายร่างเป็นง้าวเทวะพินาศไปแล้ว และถามขึ้นว่า “เจ้าบรรลุทักษะลับของคุนเป๋งได้แล้วรึยัง?”
ง้าวเทวะพินาศไม่ตอบอะไรกลับอะไร มันกลายร่างเป็นหมาชราสีทองเหมือนเดิมอีกครั้ง จากนั้นมันจึงส่งทักษะลับของคุนเป๋งที่มันบรรลุมาทั้งหมดตรงเข้าไปในห้วงทะเลจิตสำนึกของหลิงตู้ฉิงทันที
นี่คือความสามารถเฉพาะของง้าวเทวะพินาศ มันสามารถสืบค้นทักษะหรือความลับต่าง ๆ ได้จากร่างหรือวิญญาณของใครก็ตามที่ตายไปแล้ว และส่งต่อให้กับผู้เป็นนายของมันได้
“เป็นเพราะเจ้าไม่ยอมจับวิญญาณของคุนเป๋งมาด้วยมันเลยทำให้ข้ายังคงไม่เข้าใจแก่นแท้ทักษะของคุนเป๋งได้ทั้งหมด” หมาชราสีทองบ่น “แต่ช่างเถอะ การที่ได้มาแต่ร่างของคุนเป๋งแค่นี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว จะให้ได้มาทั้งวิญญาณด้วยมันก็ออกจะเกินไปหน่อย”
ถึงแม้ว่ามันจะบ่น แต่มันก็เข้าใจดีว่าการจับคุนเป๋งแบบเป็น ๆ มันยากแค่ไหน
ส่วนหลิงตู้ฉิงก็ได้แต่ยิ้ม และไม่อยากจะบอกว่าเป็นเขาเองที่ยอมปล่อยดวงวิญญาณของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป๋งไปเพราะคำสัญญาที่เขาให้ไว้
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงได้รับทักษะลับของคุนเป๋งมาจนครบ เขาก็พูดกับหมาชราสีทองว่า “สร้างร่างจำลองของเจ้ามาให้ข้าที ส่วนตัวเจ้าจงกลับไปที่ทะเลชางหมางเพื่อปกป้องครอบครัวของข้าที่อยู่ที่นั่น และถ้าหากเจ้ายังไม่รู้ทะเลชางหมางคือจุดเริ่มต้นชีวิตนี้ของข้า”
หมาชราสีทองตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “แต่ข้าคิดว่าที่นี่มันก็ไม่เลวเท่าไหร่ ข้าอยากอยู่ที่นี่มากกว่า”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “หลังจากเจ้าไปถึงทะเลชางหมาง เจ้าก็จงไปขอปราณมังกรจักรพรรดิและพลังแห่งศรัทธาจากลูกชายของข้า ข้ารับประกันว่าเจ้าจะได้ประโยชน์มากกว่าอยู่ที่นี่”
หมาชราสีทองเย้ยหยัน “ข้าไม่อยากฟังคำชี้แนะอะไรของเจ้า ขืนข้าฟังเจ้ามาก ๆ ข้าไม่ต้องแต่งงานมีลูกเหมือนเจ้างั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็รู้สึกเหนื่อยใจ ‘เจ้าคืออาวุธ เจ้าจะแต่งงานมีลูกได้ยังไง!’
“และอีกอย่าง หลังจากที่เจ้าไปถึงทะเลชางหมางแล้วเจ้าจงถ่ายทอดทักษะลับของคุนเป๋งให้กับครอบครัวของข้าด้วย ส่วนพวกเขาจะเข้าใจได้มากขนาดไหนอันนั้นก็ปล่อยให้พรสวรรค์ของพวกเขาเป็นตัวกำหนด” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นอีกครั้งโดยไม่สนใจท่าทีของหมาชราสีทอง
ในตอนนี้หลิงตู้ฉิงสัมผัสได้เช่นกันว่าอาวุธของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปเหมือนกับเขา
หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าอาวุธของเขาต้องการมหาวิถีเต๋าของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มานอนหนุนเล่นจริง ๆ มันคงจะฆ่าคนทั้งสำนักให้ตายไปหมดแล้วเพื่อตัดความรำคาญ
แต่ตอนนี้มันกลับจับพวกเขาเอาไว้เพื่อให้คอยอยู่รับใช้แปรงขนให้มัน แถมมันยังชี้แนะแนวทางการบ่มเพาะให้อีกต่างหาก
หากเป็นในอดีตสิ่งนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด
หมาชราสีทองพ่นลมออกจมูกด้วยอาการไม่พอใจ จากนั้นมันจึงสร้างง้าวเทวะพินาศจำลองขึ้นมา และมอบให้กับหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงหลอมรวมง้าวเทวะพินาศจำลองเข้าไปในร่างกายของเขาด้วยความเบิกบานใจ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นของจำลองแต่มันก็มีอำนาจเพียงพอที่จะใช้จัดการกับปัญหาต่าง ๆ ในปัจจุบันได้
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ถามหมาชราสีทอง “เจ้าจะให้ข้าไปส่งหรือว่าเจ้าจะไปด้วยตัวเอง?”
หมาชราสีทองตอบกลับด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “ข้าจะไปด้วยตัวเอง เจ้าแค่บอกตำแหน่งมาให้ข้าก็พอ!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ จากนั้นเขาบอกตำแหน่งคฤหาสน์สราญรมย์ให้กับหมาชราสีทอง
หมาชราสีทองไม่พูดอะไรต่อให้มากความเมื่อมันรู้ตำแหน่ง มันโบกขาหน้าของมันสร้างรอยแยกมิติและพุ่งตัวเข้าไปในรอยแยกมิติทันที
ที่ปลายทาง จู่ ๆ กลางลานหน้าคฤหาสน์สราญรมย์ก็มีรอยแยกมิติปรากฏขึ้น จากนั้นหมาชราสีทองก็พุ่งออกมาจากรอยแยกมิติ และยืนอยู่กลางลานด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง ส่งผลให้บรรดาผู้คนที่อยู่ในคฤหาสน์ต่างหวาดกลัวและตกตะลึง.
พวกเขาจะไม่หวาดกลัวได้ยังไงในเมื่อแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันยังไม่สามารถฝ่าค่ายกลป้องกันของคฤหาสน์เข้ามาได้ แต่ตอนนี้กลับมีหมาที่ไหนก็ไม่รู้จู่ ๆ ก็โผล่ออกมาจากรอยแยกมิติมายืนอยู่ตรงกลางลานของพวกเขา
แต่หลังจากที่พวกเขารู้เหตุผลการมาของหมาชราสีทอง พวกเขาก็ยิ่งตกตะลึงกันมากขึ้นกว่าเดิม
หมาตัวนี้คืออาวุธได้ยังไงกัน? แล้วในการต่อสู้จะใช้มันยังไง? โยนใส่คู่ต่อสู้งั้นเหรอ?
ในระหว่างที่ผู้คนแทบทั้งหมดกำลังตกตะลึง กลับมีคนอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้ตกตะลึงแต่กลับรู้สึกหงุดหงิด
มี่ไลจ้องไปที่หมาชราสีทองด้วยสายตาราวกับอยากจะถลกหนังของมัน “แกนี่มันน่ารำคาญลูกตาจริง ๆ!”
ถึงแม้จะได้ยินเช่นนี้ หมาชราสีทองก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกลับ มันเอาแต่ทำเป็นไม่สนใจมี่ไลเพราะมันเองจำกลิ่นอายของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ามันได้ว่าเป็นใคร
ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางจะเปลี่ยนไป แต่กลิ่นอายของนางยังคงเหมือนเดิม
ในอดีตนางเคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับมัน แต่ตอนนี้นางกลับกลายเป็นภรรยาของเจ้านายมันไปแล้ว ดังนั้นหากมันต่อล้อต่อเถียงอะไรไปมันก็มีแต่เสียกับเสีย
มี่ไลไม่มีท่าทีลดราวาศอกลงเลย นางจ้องเขม็งไปที่หมาชราสีทองอยู่สักพัก จากนั้นนางเดินไปที่มันและยกเท้าขึ้นกระทืบหลังมัน “ข้าจะกระทืบเจ้าให้ตายคาเท้าเลยคอยดู!”
หมาชราสีทองนอนอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่แยแสว่ามี่ไลจะทำอะไรกับมัน ไม่ต้องพูดถึงว่าในตอนนี้มี่ไลมีระดับการบ่มเพาะแค่ระดับสวรรค์สามัญ ต่อให้นางอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดินางก็ทำอะไรมันไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้นหากมี่ไลจะระบายอารมณ์กับมันสักเท่าไหร่ มันก็ไม่สนใจ ปล่อยให้มี่ไลเหนื่อยและหยุดไปเอง