ตอนที่ 557 จุ้ยเซียนจู (เหลาเซียนเมา)

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

พอมองขึ้นไป บนเกาะมีหมอกจางๆรายล้อม ทั้งยังมีกระเรียนเซียนโผบินไปมา บนหน้าผาของเกาะเหล่านั้น ยังมีกลีบของดอกไม้ร่วงลงมาอยู่ตลอดเวลา

 

 

รอบนอกของเกาะยังมีไอทิพย์บริบูรณ์ กระทั่งตาเปล่าก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

 

ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ตู๋กูซิงหลันไม่เคยเห็นเกาะที่ลอยได้เช่นนี้มาก่อน

 

 

พอมองดูสิ่งก่อสร้างล้วนเป็นอาคารสูงที่สร้างขึ้นจากไม้ทั้งหลัง และยังงดงามปราณีตอย่างยิ่ง ผู้คนที่สัญจรล้วนเหยียบกระบี่เหาะเหิน บ้างก็ขี่สัตว์วิญญาณอสูรหน้าตาแปลกประหลาดต่างๆ

 

 

พ่อค้า นักพรต ทั้งยังมีชนเผ่าที่หน้าตาเป็นสัตว์ต่างๆ

 

 

เมืองว่านฮวาเฉิงทั้งเปิดกว้างและเจริญรุ่งเรือง

 

 

ตู๋กูซิงหลันถอนหายใจออกมายาวๆ ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยประกายแวววาว

 

 

เปรียบเทียบกับสำนักหยินหยางที่ดูเหมือนสถานสวดมนต์ส่งวิญญาณแล้ว เมืองว่านฮวาเฉิงช่างน่าดูกว่ามากมายนัก ได้ยินนางถอนหายใจ ท่านเจ้าสำนักค่อยหันมาให้ความสนใจกับศิษย์น้อยเสียบ้าง

 

 

“เหนื่อยแล้วหรือ?” เขาสอบถาม

 

 

เนื่องเพราะเมืองว่านฮวาเฉิงอยู่ค่อนข้างไกลจากสำนักหยินหยาง เขาเองก็ไม่ได้ใช่สัตว์อสูรใดมาเป็นพาหนะเบิกทาง ทั้งยังไม่ได้ใช้วิชาเวทย์ที่ส่งคนข้ามมาถึงที่ในชั่วพริบตา เพียงแค่พานางนั่งรถม้ามาอย่างเรียบง่ายเท่านั้น

 

 

ทั้งยังอ้างอย่างสวยหรูว่า ต้องการจะให้ศิษย์น้อยได้ชื่นชมกับภูมิทัศน์และผู้คนในดินแดนจิ่วโจว

 

 

ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้ จึงกินเวลานานถึงหกวัน

 

 

ทั้งการกินการดื่มขับถ่ายหลับนอนล้วนอยู่บนรถม้าคันนี้

 

 

รถม้าก็มิได้ตกแต่งอย่างงดงามหรูหรา มีแค่เพียงเครื่องเรือนที่จำเป็นในชีวิตประจำวันไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

 

 

คนที่เป็นถึงเจ้าสำนักหยินหยางผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับประหยัดมัธยัสถ์ราวกับยาจกผู้หนึ่ง

 

 

ตลอดทางแทบจะไม่มีการพูดจา ช่วงหกวันที่ผ่านมา คำพูดของเขานับรวมกัน ก็คงได้ไม่ถึงสิบประโยค

 

 

ยากนักที่จะได้ยินเขาเอ่ยปาก ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ แต่ประกายตายังคงวาววับ

 

 

“เพียงแค่รู้สึกว่า…….เมืองว่านฮวาเฉิงแห่งนี้ช่างหรูหรางดงาม จนน่าอิจฉา”

 

 

เมืองนี้ทำให้นางนึกถึงบรรยากาศของวัดวาอารามในโลกปัจจุบัน คฤหาสน์ในชานเมืองและพาหนะหรูหราต่างๆ

 

 

ท่านเจ้าสำนักหรี่ตามองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าเป็นฮ่องเต้หญิง ย่อมไม่ขาดแคลนเงินทอง”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..”

 

 

นี่ใช่วาจาภาษาคนหรือ? นางมาที่จิ่วโจว แล้วจะให้หอบภูเขาเงินภูเขาทองของดินแดนโบราณมาด้วยหรือยังไง?

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งของที่อยู่ในท้องพระคลัง นางก็ไม่เคยนำออกมาใช้เพื่อตนเองเลยสักครั้ง มีแต่นำไปใช้กับเรื่องราวของบ้านเมืองต่างหาก รู้หรือไม่?

 

 

นางทำงานหนักบริหารบ้านเมืองด้วยคุณธรรม เป็นฮ่องเต้หญิงที่หาได้ยากในใต้หล้าอย่างแท้จริง

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ด้านข้าง เก้าอี้เตี้ยบนรถม้าไม่มีแม้กระทั้งเบาะปูรอง นั่งติดต่อกันมาหกวัน ก้นถลอกจนเจ็บไปหมดแล้ว

 

 

ตลอดทางมานี้ก็กินแต่หมั่นโถไม่กี่ลูก เส้นทางที่พวกเขาเดินทางผ่านมา มีแต่ชนบทอันยากจน ไม่มีเนื้อให้กินเลยสักมื้อ

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดถึงเจ้าติ๊งต๊องขึ้นมาในทันที…..

 

 

ว่าตามจริงแล้ว เจ้าไก่ตัวนั้นยังพึ่งพาได้มากกว่าท่านเจ้าสำนักเสียอีก อย่างน้อยๆเจ้าติ๊งต๊องก็รู้จักล่าสัตว์

 

 

จับกระต่ายป่าไก่ป่าอะไรล้วนทำได้ไม่มีปัญหา ทั้งยังเลือกแต่ตัวที่อ้วนพีเท่านั้น

 

 

ท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่เล่า?

 

 

เป็นเทพเซียนตัวเป็นๆนี่เอง!

 

 

ตลอดหกวันแม้ไม่กินอะไรก็สามารถทำได้ นานๆทีถึงจะดื่มน้ำสักสองคำ

 

 

“ท่านเจ้าสำนัก ไม่กินไม่ดื่มอะไรเลยไม่ตายหรอกหรือ?”

 

 

“เรียกอาจารย์”

 

 

“เจ้าไม่กินอะไรไม่หิวตายหรือ?”

 

 

“ผู้ฝึกตนล้วนต้องอดทน ใช้ความยากลำบากเป็นเครื่องมือฝึกฝนตนเอง เจ้าเองก็ผ่านการฝึกฝนมามาก เรื่องแค่นี้คงไม่ใช่ว่าไม่รู้”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “….” ไร้สาระอย่างที่สุด!

 

 

อ้างการฝึกฝนบ้าบออันใด ไม่ให้กินให้ดื่ม พึ่งพาพื้นฐานร่างกายยืนหยัดเอาไว้ หิวไม่ถึงตาย เป็นการฝึกฝนตนเอง ทั้งยังเปลี่ยนร่างกายเป็นเบาหิว เพิ่มพูนระดับขึ้นไปอีกขั้น

 

 

เช่นนั้นผู้คนยามมีชีวิตอยู่ ไม่รู้จักกินจักดื่ม…..ตายไปเป็นเซียนแล้วจะมีประโยชน์อันใด

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูท่านเจ้าสำนักที่นั่งอยู่แต่ในรถม้าโดยมิได้เหลือบตาออกไปมองภายนอกแม้แต่แวบเดียว ในใจก็ก่นด่าเขาไปนับร้อยนับพันครั้งแล้ว

 

 

ว่าตามจริงแล้ว เจ้าคนผู้นี้ยังน่าเบื่อยิ่งกว่าท่านอาจารย์เสียอีก!

 

 

ทั้งยังขี้งกยิ่งกว่าเสี่ยวเฉวียนเฉวียน!

 

 

ออกจากบ้านเดินทางก็ไม่คิดจะพกพาเงินทองแม้แต่น้อย!

 

 

เขาเหมือนกับคนที่รวมอุปนิสัยสุดโต่งของทั้งอาจารย์และจีเฉวียนเอาไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องนิสัยที่ทำให้ผู้คนรังเกียจพวกนั้น

 

 

ตู๋กูซิงหลันพิงร่างกับรถม้า หิ้วท้องที่ว่างเปล่า จมูกก็ได้แต่กลิ่นหอมของดอกไม้และอาหารที่เลิศรสของเมืองว่านฮวาเฉิง

 

 

จนนางอดทนไม่ไหวลำคอกระตุก น้ำลายไหลอยู่ตลอดเวลา

 

 

ที่จริงก็มิใช่ว่าหิวอะไร แต่ว่าเกิดความโหยหา อยากกิน

 

 

ได้ยินเสียงนางกลืนน้ำลาย ในที่สุดท่านเจ้าสำนักที่นั่งนิ่งอยู่ก็หันมามองนางด้วยความเมตตาครั้งหนึ่ง

 

 

“ศิษย์เอ๋ย หากคิดจะมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาว ต้องรู้จักหุบปาก ปล่อยวางให้มาก”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “++++”

 

 

“กินใบหญ้าก็ได้ ดื่มน้ำค้างกินอาหารทิพย์ให้มากๆ เหล่านี้มีประโยชน์ล้วนมีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “เฟ้ย! ช่างแม่งมันสิ!”

 

 

“มันแมงมันแม่งนั่นคืออะไร ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน ….โว้ย

 

 

หลังจากที่รถม้าเคลื่อนผ่านใต้เกาะลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองว่านฮวาเฉิง ในที่สุดก็พลันหยุดลง

 

 

กลีบดอกไม้จากด้านบนลอยลงมาไม่มีหยุด พอพวกเขามาถึง หลังคาของรถมาก็เต็มไปด้วยกลีบของดอกไม้

 

 

คนทั้งสองยังไม่ลงจากรถม้า ก็เห็นแล้วว่าใต้เกาะลอยฟ้าแห่งนี้มีผู้คนรวมตัวอยู่ไม่น้อย

 

 

ที่นี่มีแต่พวกเศรษฐีเดินเหินกันไปมา ที่นี่จะต้องหรูหรามากแน่ๆ

 

 

บนร่างของแต่ละคนมีแต่เครื่องประดับเลิศหรูอลังการ

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่มีแก่ใจจะไปชื่นชมความหรูหราเหล่านั้น นางเห็นแต่ว่ารถม้าจอดลงตรงอาคารหยกสูงสิบชั้นแห่งหนึ่ง หากมิได้เห็นด้วยตาของตนเอง นางก็คงจะไม่มีทางเชื่อว่าใต้หล้าจะยังมีสถานที่ที่สวยงามและหรูหราขนาดนี้อยู่

 

 

แม้แต่ตัวตึกยังสร้างขึ้นด้วยหยก

 

 

หยกขาวนวลโปร่งแสงราวไขมันแพะ มุขทั้งแปดรอบอาคารประดับตกแต่งด้วยสมบัติล้ำค่า วิจิตรงดงามอย่างยิ่ง

 

 

ที่ด้านบนสุดของอาคารหยก มีป้ายสีทองอยู่ป้ายหนึ่ง

 

 

ด้านบนนั้นเขียนอักษรเอาไว้สามตัว ‘จุ้ยเซียนจู’

 

 

กลิ่นเนื้อที่เข้มข้นลอยมาจากเหลาจุ้ยเซียนจูแห่งนี้นี่เอง

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าท่านเจ้าสำนักใช่มีความแค้นกับนางหรือไม่ ไม่เพียงไม่ให้กิน ยังจงใจจอดรถม้าเอาไว้ตรงนี้

 

 

นี่มิเท่ากับว่าผลักคนไปตายหรอกหรือ?

 

 

ดังนั้นรอบนี้นางจึงทนไม่ไหวต้องหันไปถลึงตาใส่เขารอบหนึ่ง

 

 

พอถลึงตาไป ท่านเจ้าสำนักก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ “ลงจากรถ ไปกินข้าว”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”

 

 

ไม่ใช่บอกว่าต้องฝึกตนหรอกหรือ?

 

 

“หากว่าเจ้าหิวตาย ข้าคงต้องถูกคนในจิ่วโจวหัวเราะเยาะ”

 

 

มุมปากของตู๋กูซิงหลันถึงกับกระตุก พี่ชาย ท่านเป็นศัตรูกับคนทั้งจิ่วโจวยังไม่กลัว มากลัวว่าชาวจิ่วโจวจะหัวเราะเยาะเนี้ยนะ?

 

 

 

 

นางได้แต่นวดกระบอกตาของตนเอง เผื่อว่าคนที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นจะเป็นตัวปลอม

 

 

พูดจบแล้ว เขาก็คว้าข้อมือของนางลากลงจากรถไป พึ่งลงมาถึง ปลายเท้าก็ต้องว่างเปล่าคนถูกท่านเจ้าสำนักโอบเอาไว้ทั้งตัวทะยานร่างขึ้นไปในอากาศ

 

 

ขณะที่คนรอบด้านยังไม่ทันได้เห็นชัดเจน พวกเขาก็ขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดของอาคารแล้ว

 

 

ผู้คนต่างก็พึมพำกันออกมาว่า

 

 

“เมื่อครู่มีตัวอะไรบินผ่านไปหรือไม่?”

 

 

“เหมือนจะใช่นะ”

 

 

“มีอะไรบินผ่านไปที่ไหนกัน ….ที่นี่คือจุ้ยเซียนจู พลังวิญญาณล้วนถูกควบคุมไว้ ใครจะไปเหาะได้กัน?”

 

 

………………….

 

 

“เอ๋ ตรงนั้นมีรถม้าเก่าๆจอดอยู่คันหนึ่ง เป็นของใครกัน?”

 

 

“ใครกันที่ช่างไม่มีตา นี่มิใช่เท่ากับว่าดูถูกเหลาจุ้ยเซียนจูหรอกหรือ?”

 

 

“หรือไม่ใช่?”

 

 

เหล่าคนที่แต่งกายหรูหราต่างก็ขุ่นเคืองขึ้นมาแล้ว เหลาจุ้ยเซียนจูนี้คือที่ใดกัน?

 

 

มันคือเหลาสุราที่หรูหราที่สุดในดินแดนจิ่วโจว แค่เข้าไปดื่มน้ำอึกหนึ่ง ออกไปก็สามารถคุยโม้ไปได้อีกนานถึงครึ่งปี

 

 

พวกเขาที่ต่างก็ขี่สัตว์วิญญาณชั้นสูง นั่งรถม้าหรูหราประดับหยกกันมา ยังได้แต่ยืนรออยู่ด้านหน้าเท่านั้นเอง

 

 

…………………………..