ตอนที่ 558 เจ้าก็ตั้งชื่อให้ข้าสักชื่อหนึ่ง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่อาจตรวจสอบว่า รถม้าที่ดูผุๆพังๆคันนี้มาจอดอยู่ที่หน้าประตูของจุ้ยเซียนจูได้อย่างไรกัน? 

 

 

เมืองว่านฮวาเฉิงคือจุดที่เฟื่องฟูและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในดินแดนจิ่วโจว จึงเป็นพื้นที่ที่ห้าแคว้นใหญ่และสามขุมกำลังร่วมกันปกครอง 

 

 

ต่อให้เป็นคนที่ยากจนที่สุดในเมืองว่านฮวาเฉิง ก็ยังต้องมีบ้านมีสัตว์อสูรวิญญาณเอาไว้ใช้ ไหนเลยจะนั่งรถมามาได้กัน? 

 

 

สัตว์ธรรมดาอย่างม้า มาปรากฏตัวที่เมืองว่านฮวาเฉิงนั้น ถือเป็นการลบลู่เมืองว่านฮวาเฉิงแล้ว! 

 

 

ผู้คนต่างก็พากันหันไปมองดู ต่างก็อยากจะรู้ว่าผู้ที่ไม่รู้ธรรมเนียมนั้นเป็นผู้ใด แต่มองดูอย่างไร ก็ไม่เห็นว่าในรถม้านั่นจะมีคนอยู่ 

 

 

อืม…..ยังดีที่รู้จักประมาณตนอยู่บ้าง รู้ตัวว่าตนเองทำเรื่องน่าละอายจนไม่อาจสู้หน้าผู้คน จึงได้ทิ้งรถไว้แล้วจากไปสินะ 

 

 

………………… 

 

 

 

 

 

จุ้ยเซียนจู ชั้นบนสุด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะวางเท้าลงไป ก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่ม 

 

 

นี่เป็นพรมผืนใหญ่ที่มีลวดลายหรูหรางดงาม ไม่รู้ว่าทำมาจากขนสัตว์ชนิดใดกัน ยังนุ่มกว่าขนแกะเสียอีก พอย่ำเท้าลงไป ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเหยียบลงไปบนปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

อ่อนนุ่มจนยวบลงไป แต่พอชักเท้าออกมาก็พรมก็กลับคืนสู่สภาพเดิม 

 

 

ไม่เหลือรอยยับรอยย่นใดๆ 

 

 

ช่องทางเดินที่กว้างขวางทั้งสองข้าง ประดับตกแต่งด้วยของเก่าโบราณที่ประณีตสวยงาม บนกำแพงยังแขวนภาพที่วิจิตรงดงามเอาไว้ ตอนอยู่ที่ชั้นล่างยังได้กลิ่นเนื้อที่หอมหวนอบอวลอยู่เต็มไปหมด แต่พอมาถึงชั้นบนสุด กลับเป็นกลิ่นของไม้ถานเซียง  

 

 

ชั้นบนที่หรูหรางดงาม กลับไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว 

 

 

ท่านเจ้าสำนักคว้าข้อมือของตู๋กูซิงหลัน เดินลึกเข้าไปตามทางเดิน 

 

 

ยิ่งเดินเข้าไปด้านใน แสงสว่างก็ยิ่งน้อยลง กระทั่งถึงห้อง ‘อักษรสวรรค์หมายเลขหนึ่ง’ ท่านเจ้าสำนักถึงได้หยุดเท้าลง 

 

 

พอโบกชายเสื้อครั้งหนึ่ง บานประตูที่จัดสร้างจากแผ่นหยกก็ค่อยเปิดออก แสงสว่างภายในห้องยังคงอ่อนจาง มีเพียงเทียนสีแดงครึ่งเล่มที่จุดทิ้งเอาไว้จนน้ำตาเทียบย้อยลงมา 

 

 

เขาคว้าตัวตู๋กูซิงหลันเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นก็นั่งลงบนเบาะที่อยู่ใกล้หน้าต่าง 

 

 

ทั้งยังลากตู๋กูซิงหลันลงมานั่งข้างๆ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูการตกแต่งภายในห้องอย่างประหลาดใจ บรรยากาศของภาพในห้องทำให้อยู่ๆนางก็คิดถึงห้องทรงพระอักษรในพระตำหนักตี้หัวกงขึ้นมา 

 

 

ดูโบราณ มีชั้นหนังสือมากมาย มีหนังสืออยู่เต็มไปหมด 

 

 

เพียงแต่ห้อง ‘อักษรสวรรค์หมายเลยหนึ่ง’นี้ ยังมีหนังสือมากกว่าในห้องพระอักษรเสียอีก แค่ดูก็รู้ว่าทรงคุณค่ามากมายถึงเพียงไหน 

 

 

ทุกสิ่งล้วนงดงามและประณีต แค่ดูก็รู้ว่าหรูหราอลังการไปทุกๆอย่าง 

 

 

บนโต๊ะเตี้ยมีชาร้อนตระเตรียมเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ท่านเจ้าสำนักเอื้อมมือไปรินมาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งให้ตนเอง อีกถ้วยหนึ่งส่งให้นาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรับมาถือเอาไว้ในมือ จิบน้อยๆคำหนึ่ง 

 

 

ทันทีที่กลืนลงไป อวัยวะภายในทั้งหมดก็เหมือนได้รับการชำระล้าง รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย สมองก็สดใสขึ้นมาก 

 

 

สมแล้วที่เป็นสถานล่อลวงผู้คนแค่น้ำชาคำเดียวก็ยังมีผลลัพธ์ถึงเพียงนี้ 

 

 

มิน่าเล่าที่ด้านนอกถึงได้มีผู้คนมากมายเข้าแถวรอ 

 

 

“นี่คือชาอู้เต้า ดื่มให้มากหน่อย มีสรรพคุณช่วยทะลวงชีพจร กระตุ้นสมองให้แจ่มใส” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักรินให้นางอีกครั้งจนเต็ม จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปเปิดหน้าต่างออกไปครึ่งหนึ่ง  

 

 

คำพูดนี้ฟังดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำไมตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ค่อยถูกต้อง นางโง่หรือ? 

 

 

ชาอู้เต้า…..ที่อารามเทียนเก๋อกวนก็มี อู๋เจินมักจะจัดส่งมาให้ที่วังอยู่เสมอ นางเองก็เคยดื่มมาก่อน 

 

 

เพียงแต่ว่าชาอู้เต้าของอารามเทียนเก๋อกวน มิได้มีสรรพคุณดีเยี่ยมเช่นนี้ 

 

 

พอดื่มชานี้ลงไปอึดหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ยื่นศีรษะลงไปมองดูข้างล่าง ก่อนนี้ไม่ทันได้สังเกต ตอนนี้พอมองลงไปดู ถึงได้เห็นว่าที่ด้านล่างตรงหน้าเหลาจุ้ยเซียนจูมีคนเขาแถวรอกันอยู่ยาวเหยียด 

 

 

ที่ปากประตูมีสาวน้อยที่สวมใส่ชุดพนักงานอยู่ผู้หนึ่ง กำลังให้การต้อนรับลูกค้าที่มาต่อแถว 

 

 

ส่วนรถม้าของพวกเขา ถูกลากไปทิ้งเอาไว้ที่ด้านข้างอย่างไม่สนใจไยดี 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเก็บสายตากลับมา ครุ่นคิดถึงปัญหาที่สำคัญข้อหนึ่ง 

 

 

อีกสักครู่พอถูกเจ้าของเหลาจุ้นเซียนจูจับได้ แล้วโยนลงไป…..นางสมควรจะกลิ้งลงไปอย่างไรถึงจะลื่นไหล? 

 

 

สมองยังคงคิดอะไรไม่ออก ก็ได้ยินท่านเจ้าสำนักเอ่ยถามว่า “เจ้าอยากจะกินอะไร?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “หืม?” 

 

 

“หืมไม่ใช่ของกิน” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” 

 

 

นางคิดดูอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เนื้อ” 

 

 

นางชอบกินเนื้อมาตั้งแต่เด็กแล้ว หากไม่มีเนื้อก็เศร้า โดยเฉพาะขาหมู แพะย่างล้วนเป็นของโปรด 

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” ท่านเจ้าสำนักสีหน้าเรียบเฉย ปลายนิ้วของเขาเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆสามครั้ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้ละเลยปฏิกริยาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ 

 

 

นิสัยประจำตัวอย่างหนึ่งของจีเฉวียนก็คือใช้นิ้วเคาะโต๊ะ 

 

 

ทุกครั้งที่นางนึกถึงขึ้นมา ก็ยังอดที่จะทำตามไม่ได้เช่นกัน 

 

 

พอตอนนี้ได้เห็นเขาแสดงออกมา ตู๋กูซิงหลันก็ต้องชะงักงันไปเล็กน้อย 

 

 

นางวางถ้วยชาบนมือลง ถามออกไปอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านเจ้าสำนัก เจ้าแน่ใจหรือว่าตนเองไม่มีชื่อ?” 

 

 

นางติดตามเขามาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ไม่เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงชื่อของตนเองมาก่อนเลย 

 

 

ทั่วทั้งสำนักหยินหยางเองก็ไม่มีใครรู้ ว่าท่านเจ้าสำนักคนใหม่ของพวกเขามีนามว่าอะไร 

 

 

สีหน้าของท่านเจ้าสำนักยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดวงตาหงส์คู่นั้นปราศจากแววลังเล “เรียกว่าอาจารย์” 

 

 

ศิษย์ตัวน้อยช่างไม่เชื่อฟัง ผ่านมาก็ตั้งนานหลายวันแล้วยังไม่ยอมเรียกเขาว่าอาจารย์สักคำ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นมาคุกเข่าตัวตรง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจับจ้องไปที่เขาด้วยแววตาที่เจ้าเล่ห์ปานสุนัขจิ้งจอกน้อย 

 

 

“บอกชื่อของเจ้ามาสิ แล้วข้าจะเรียก” 

 

 

นี่ถือว่านางถอยให้ก้าวใหญ่ที่สุดแล้ว 

 

 

ท่านเจ้าสำนักไม่สนใจนาง เขาเพียงแต่หลุบตาลง มองดูเงาของตนเองในจอกน้ำชา ใบหน้านั้นช่างดูคุ้นเคย แต่ในขณะเดียวกันก็แปลกตาด้วย 

 

 

ถามว่าเขาชื่ออะไรน่ะหรือ …..ดูเหมือนว่าตั้งแต่จำความได้ เขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าตนเองชื่ออะไร 

 

 

ตอนที่เขาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนพื้นเย็นๆของสำนักหยินหยาง ในสำนักกำลังต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก 

 

 

เขาไม่ได้ตั้งใจเท่าไรแต่กลับกลายเป็นว่าฆ่าฟันจนกลายเป็นคนสุดท้าย กลายเป็นเจ้าสำนัก 

 

 

พอสุดท้ายก็เข้าสู่ช่วงสุดยอดการประลองของจิ่วโจวพอดี จึงเข้าร่วมการประลองในนามของสำนักหยินหยาง 

 

 

จากนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจอีกนั่นแหละ ชนะ 

 

 

เรื่องราวก็เรียบง่ายเช่นนี้ ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนอย่างที่ศิษย์ตัวน้อยคิด 

 

 

เขาชื่อว่าอะไร มาจากที่ไหน ปีนี้อายุเท่าไหร่ ล้วนไม่รู้สักอย่าง 

 

 

ท่านเจ้าสำนักได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ ปลายนิ้วของเขาเคาะลงไปบนโต๊ะเบาๆ แต่สีหน้ากลับไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น 

 

 

คนทั้งสำนักหยินหยางต่างก็คิดว่าเขาไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา จะดีใจเป็นทุกข์ขุ่นเคืองหรือโกรธเกรี้ยวก็มีอยู่สีหน้าเดียว 

 

 

พวกเขาไม่รู้ว่า ที่จริงแล้วเขาเพียงแต่เก็บอารมณ์ได้ดีเกินไปเท่านั้น บนสีหน้าไม่เคยแพร่งพรายอารมณ์ใดๆโดยง่าย 

 

 

เขาเงียบงันไปเนิ่นนาน นานเสียจนนางนึกว่าเขาคร้านที่จะสนใจนางเสียแล้ว 

 

 

แต่แล้วริมฝีปากกลีบบัวที่ผุดจากนรกคู่นั้นกลับขยับ 

 

 

“ข้าเคยบอกแล้ว ว่าไม่มีชื่อ” 

 

 

 

 

 

ประโยคนี้ตู๋กูซิงหลันฟังมามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว นางนวดขมับตนเอง พยายามเก็บความรู้สึกที่อยากระเบิดอารมณ์ออกมา 

 

 

แต่แล้วก็เห็นว่าเขาอยู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาหงส์คู่นั้นมองลึกเข้าไปในแววตาของนาง 

 

 

“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของข้า ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้าตั้งชื่อให้ข้า” 

 

 

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของเขานั้นเหมือนกับว่ากำลังมอบเกียรติอันสูงส่งบางอย่างให้กับนาง 

 

 

เขานั่งตัวตรงอย่างสง่างาม สีหน้าเยือกเย็นสงบนิ่ง แววตาเย็นชาทว่าสูงส่ง ทั้งดูร้ายกาจและเข้มงวดอยู่ในที 

 

 

………………………..