ตอนที่ 1490 ต่อสู้กับพระเจ้า Ink Stone_Fantasy
จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลกลายเป็นสนามรบสำหรับการต่อสู้ทางจิตสำนึกครั้งนี้
ดาวฤกษ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกอาวุธโจมตีจนระเบิดออกส่องแสงสว่างอันเจิดจ้าราวกับซูเปอร์โนว่า เศษซากที่ปลิวกระจายออกมาลอยไปไกลหลายร้อยปีแสง ดูแล้วเหมือนกับภาพวาดของเด็กน้อย
กองเรือรบสลายไปอย่างรวดเร็วด้วยการโจมตีของพระเจ้า สิ่งที่ลงมาบนสนามรบนั้นคืออาวุธที่ยิ่งรุนแรงมากกว่าเดิม
ถ้าบอกว่าตอนที่เขาสู้กับซีโร่ วิธีที่เขาใช้บ่อยมากที่สุดก็คือการสร้างการป้องกันขึ้นมาก่อนแล้วค่อยกระหน่ำโจมตีเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง อย่างนั้นตอนนี้เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีอะไรไปมากนัก เพียงแต่วัตถุระเบิดที่เขาใช้เปลี่ยนจากดินปืนเป็นอย่างอื่น
อย่างเช่นการประลัยปฏิสสาร
ในตอนที่สารระดับกาแล็คซี่เปลี่ยนเป็นพลังงาน แม้แต่จักรวาลก็ยังต้องสะเทือน เสียงระเบิดทึบๆ ดังสะท้อนไปทั่วทั้งอวกาศที่เต็มไปด้วยแสงสว่างและความร้อน ก่อนจะแผ่กระจายออกไปรอบๆ ด้วยความเร็วแสง
บนสนามรบที่ต่อดูกันอย่างดุเดือดนี้ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่มีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบนั้นบอบบางยิ่งกว่ากระดาษเสียอีก ตอนแรกโรแลนด์สร้างร่างกายของตัวเองให้กลายเป็นร่างแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มก่อน แต่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนร่างตัวเองให้กลายเป็นร่างพลังงานบริสุทธ์ แล้วอาศัยการครุ่นคิดที่เหนือมนุษย์ที่เชื่อมต่ออยู่กับเปลในการสั่งการให้จิตสำนึกสร้างอาวุธขึ้นมาต่อสู้
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เหมือนกับสงครามแห่งวิญญาณครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดจนปวดหัว ในคลังความรู้มีวิธีต่อสู้นับไม่ถ้วนให้เขาได้เลือกใช้ ความคิดที่แล่นอย่างรวดเร็วทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างที่ยากจะบรรยายได้ ขนาดตอนที่ตาย เขาก็ยังแปรสภาพกลายเป็นแก๊สในพริบตาเนื่องจากการระเบิดของพลังงาน ทำให้เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ
ตอนแรกเขายังสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างสูสี แต่หลังจากที่พลังเวทมนตร์เริ่มถูกเอามาใช้ในสนามรบ โรแลนด์ก็ค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
และความเสียเปรียบแบบนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะมาชดเชยได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความยิ่งใหญ่ของพลังเวทมนตร์
ไม่ว่าจะเป็นแม่มดหรือว่าปีศาจ วิธีการใช้ของพวกเขาก็ยังคงเป็นการเปลี่ยนพลังเวทมนตร์ให้กลายเป็นพลังที่มีอยู่ในจักรวาลนี้ แต่เมื่อพลังเวทมนตร์ไปอยู่ในมือของผู้พิทักษ์ที่ไม่มีกฎเกณฑ์มาพันธนาการเอาไว้ วิธีใช้และประสิทธิภาพของมันก็เรียกได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ชดเชยได้ด้วยน้ำหนักสมมูลที่เพิ่มขึ้น
การตายนับร้อยนับพันครั้งทำให้จิตใจของโรแลนด์เริ่มเหนื่อยล้า ถ้าไม่เป็นเพราะมีความช่วยเหลือจากเปล เกรงว่าเขาคงทนไม่ได้ถึงตอนนี้
ในตอนที่เกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เขาไม่สามารถพยุงร่างกายตัวเองเอาไว้ได้อีก
ภาพรอบๆ กลับกลายเป็นโลกสีขาวเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง
โรแลนด์ยืนโงนเงน จากนั้นจึงล้มนั่งลงไปกับพื้น ในเวลานี้เขาถึงได้พบว่าแผ่นหลังของตัวเองเต็มไปด้วยเหงื่อ
“แบบนี้เจ้าคงจะไม่มีอะไรให้เสียใจแล้วใช่ไหม” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้แบบนี้ไม่ได้สร้างปัญหาให้มันเท่าไรเลย — ในดินแดนแห่งจิตสำนึก มันไม่ได้ต่างอะไรจากพระเจ้าจริงๆ
“ได้ยังไงล่ะ…” โรแลนด์หอบหายใจ “เจ้าคิดว่าข้ามาถึงที่นี่เพื่อจะให้เจ้าอัดเล่นอย่างนั้นเหรอ?”
“วิธีการของเจ้ามันมาอย่างความไม่รู้และความโอหัง นี่คือหนึ่งในสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว การระบายความโกรธมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก” มันชะงักไปเล็กน้อย “แต่ว่าเจ้ายังคิดที่จะอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ งั้นเหรอ? เมื่ออยู่ต่อหน้าความแตกต่างที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ การฝืนอดทนต่อไปมันไม่ก่อประโยชน์อันใด ข้านึกว่าเจ้าจะฉลาดกว่านี้เสียอีก”
“เจ้าหมายถึงสงครามแห่งวิญญาณงั้นเหรอ? ไม่…ข้าไม่เคยคิดว่าเราสู้แค่นี้แล้วจะตัดสินแพ้ชนะได้” โรแลนด์เอามือจับข้าทั้งสองข้าที่กำลังสั่นแล้วค่อยๆ ยืนขึ้นมา “เมื่อกี้ข้าเพียงแค่อยากจะลองความรู้สึกเวลาที่ได้เรียกกองทัพเรือรบออกมาเท่านั้น…บอกตามตรง มันไม่เลวเลยจริงๆ…”
“พอได้แล้ว!” ในน้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูมีอารมณ์เป็นครั้งแรก “การสั่งสมนับสิบล้านปีต้องหายไปในพริบตา แต่เจ้ากลับมองมันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นงั้นเหรอ?”
“ข้าไม่ได้พูดแบบนั้นซักหน่อย” โรแลนด์ยิ้มอย่างเหนื่อยล้า “เพียงแต่ก่อนที่ช่วงเวลาสุดท้ายจะมาถึง ข้าอยากจะถามเจ้าคำถามหนึ่ง — ทำไม…ถึงต้องทำแบบนี้ด้วย?”
“ที่ให้เปลช่วยเจ้าน่ะเหรอ? ข้าบอกแล้วไง ชีวิตมีสิทธิ์ที่จะเลือก และสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์ที่เกิดในเปลล้วนแต่เป็นลูกของข้า ข้าเคารพการตัดสินใจและความต้องการของพวกเจ้า —“
“ไม่ ข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้” โรแลนด์ส่ายหัว “ที่ข้าถามก็คือ ทำไมเจ้าถึงต้องสร้าง….พวกมิสต์ขึ้นมา?”
พระเจ้านิ่งเงียบไปทันที
หลังจากนั้นมันจงถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แอบซ่อมอยู่ภายใต้หน้ากาก
นั่นคือใบหน้าของมิสต์
“เจ้าเคยเจอนางงั้นเหรอ?” มันจ้องมองโรแลนด์อยู่ครู่ ก่อนจะพูดออกมาว่า “อย่างนี้นี่เอง แต่ว่าเจ้าเข้าใจผิดไปอย่าง ที่ร่างกายนี้แสดงออกมาเป็นรูปลักษณ์แบบนี้ก็เพื่อสะดวกในการสื่อสารกับมนุษย์ จริงอยู่ที่คนที่เจ้าเห็นนั้นคือข้า แต่ว่าข้าไม่ใช่นาง”
เจ้ายิปซีลอนนั่นพูดเอาไว้ไม่ผิดจริงๆ ด้วย
โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา
ในตอนที่วงแหวนดวงดาวส่องแสงสว่างขึ้นมาและกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า เธอได้พูดประโยคสุดท้ายออกมา ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะมองไม่เห็นปากของอีกฝ่ายไม่ชัด แต่ยิปซีลอนได้เอาคำพูดสุดท้ายฝังลงไปในจิตสำนึกของเขา
นั่นคือการตอบคำถามที่สอง
‘ข้ารับรู้ได้ถึงลมหายใจของท่านพระเจ้าจากบนตัวของเทวทูตผู้ทรยศ ข้าอยากจะถามมันว่า นี่เป็นผลที่มันต้องการจริงๆ เหรอ?’
ตอนแรกโรแลนด์ยังไม่สามารถเข้าใจความเชื่อมโยงของข้อมูลเหล่านี้ด้วย แต่ตอนนี้ เขามองเห็นโฉมหน้าของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนแล้ว
“จริงอยู่ที่เจ้าไม่ใช่นาง แต่มีแต่ตอนนี้พวกเจ้ารวมเข้าด้วยกัน เจ้าถึงจะเป็นผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญาที่สมบูรณ์” โรแลนด์พูดช้าๆ ชัดๆ
อันที่จริงไม่เพียงแต่มิสต์เท่านั้น….แต่เกรงว่ากระทั่งสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ เทวทูต และผู้เฝ้ามองในบอทธ่อมเลสแลนด์ก็คงจะเป็นส่วนหนึ่งของมันด้วย
ดังนั้นยิปซีลอนถึงได้พูดว่า ‘ขอเพียงพระเจ้ายังไม่ถูกทำลาย มันก็จะคงอยู่ตลอดไป’
ผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญาคืออะไร?
จะเรียกมันว่าระบบ เครื่องจักร โปรแกรม ไกอาหรือว่าร่างความคิดที่เกิดมาจากข้อมูลก็ล้วนแต่ไม่สำคัญ เป้าหมายแรกในการสร้างมันขึ้นมาก็คือคอยตรวจตราและควบคุมแผนการเกตเวย์ และช่วยให้ผู้สร้างทำเป้าหมายที่แท้จริงให้สำเร็จหลังทำการเปิดประตู
แต่ในช่วงเวลาที่มองไม่เห็นความหวังอันยาวนาน มันเริ่มเกิดการเบี่ยงเบนออกไปจากเป้าหมายเดิม
การเบี่ยงเบนที่ว่านี้แรกสุดอาจจะเป็นแค่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อผ่านไปนานขึ้น ความคิดเหล่านี้ก็รวมกันกลายเป็นร่างจิตสำนึก
พวกมันถือกำเนิดขึ้นในร่างกายของผู้พิทักษ์ แถมไม่ใช่แค่ตัวเดียวด้วย — มิสต์ก็คือหนึ่งในนั้น
พวกมันเบื่อหน่ายกันการเพาะเลี้ยงและจับตามองเหล่าอารยธรรมที่ไม่จบสิ้น พวกมันไม่อยากถูกผูกมัดเอาไว้ในจักรวาลที่เงียบเหงา แต่แน่นอน บางทีในนั้นอาจจะมีความขัดแย้งอย่างอื่นอยู่อีก อย่างเช่นทรัพยากร
ขอเพียงเป็นร่างที่จับต้องได้ ก็ต้องมีการเผาผลาญอยู่อย่างแน่นอน ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองไปด้วยอารยธรรมต่างๆ ผู้พิทักษ์ย้อมไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาเรื่องการปกปักษ์รักษา แต่ตอนนี้สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาทั้งหมดในจักรวาลได้หายไปแล้ว มันไม่เพียงแต่จะต้องดูแลรักษาทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เปลยังต้องแบ่งทรัพยากรส่วนใหญ่ออกไปด้วย เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้นการใช้ทรัพยากรนั้นก็อาจจจะเกินจุดวิกฤติจุดหนึ่งไป ทำให้ระบบทั้งหมดพังทลายลงจนไม่อาจแก้ไขได้
ถ้าพูดตามที่มิสต์ว่าไว้ก็คือ ‘ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหนก็ดีกว่าถูกขังเอาไว้ที่นี่ไปตลอดกาล อย่างน้อยอนาคตมันก็เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัด’
“อีกไม่นานพวกมันก็จะหายไปจากการสร้างโลกขึ้นมาใหม่ เหมือนกับเจ้า” น้ำเสียงของพระเจ้ายังคงราบเรียบ
สำหรับคำตอบแบบนี้ โรแลนด์ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะถ้าหากเทวทูตที่ทรยศสามารถต่อกรกับผู้พิทักษ์ที่เป็นร่างหลักได้ล่ะก็ พวกมันคงไม่จำเป็นต้องมาหาเขาหรอก
เกรงว่าสิ่งที่ควบคุมมันอยู่ก็คือกฎพื้นฐานของเปล
“แต่การปรากฏตัวขึ้นของมิสต์ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เกรงว่าผ่านไปอีกซักสิบล้านปีก็คงจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”
“อย่างนั้นทุกอย่างก็จะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ข้าจำเป็นต้องทำตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้กับผู้สร้าง นี่เป็นกฎที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” มันพูดอย่างไม่หวั่นไหว “ตอนนี้ข้าจะทำการหลอมโลกขึ้นมาใหม่”
“งั้นเหรอ?” แต่โรแลนด์กลับหัวเราะขึ้นมาเบาๆ “แต่การทำอย่างนั้นไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดซักเท่าไรหรอกนะ เพราะว่า…เจ้าได้บรรลุข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว”
………………………………………………………..