ตอนที่ 1491 ความหมายของการมีอยู่ Ink Stone_Fantasy
ในฐานะที่เป็นตัวแทนที่ยังหลงเหลือมาจากอารยธรรม 170,000 กว่าอารยธรรม ขณะเดียวกันยังเป็นผู้ควบคุมระบบเปล ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นไม่ต้องบอกก็คงพอจะรู้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีโอกาสเอาชนะ
คำขอร้องที่มิสต์ไม่สามารถพูดออกมาได้ ความสงสัยของยิปซีลอน ความทรงจำจากวงแหวนดวงดาวและปฏิกิริยาตอบสนองจากตัวพระเจ้า เบาะแสทุกอย่างเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
การเข้ามาแทนที่พระเจ้าที่ว่าไว้ ไม่ได้หมายถึงการเข้ามาแทนที่มันอย่างแท้จริง
“เจ้าว่าอะไรนะ?” มือที่ยกขึ้นมาของผู้พิทักษ์หยุดชะงักทันที
“สายพันธุ์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับพลังเวทมนตร์ อีกทั้งยินยอมที่จะออกไปสำรวจโลกที่อยู่นอกประตูมันก็มีอยู่ไม่ใช่เหรอ?” โรแลนด์ค่อยๆ ยื่นนิ้วออกมาแล้วชี้ไปยังอีกฝ่าย “ถ้าทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็จะไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับเจ้าได้”
“….” สีหน้าของ ‘มิสต์’ เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก
ราวกับว่ากระจกอันราบเรียบได้มีรอยร้าวปรากฏขึ้นมา
“เจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่? ทันทีที่ข้าจากไป เปลจะตายลง ถึงตอนนั้นจักรวาลจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อีก ยิ่งไปกว่านั้นอีกด้านหนึ่งของประตูก็มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างไปจากที่นี่อย่างสิ้นเชิง ผู้ที่ถูกพลังเวทมนตร์เปลี่ยนแปลงอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีก ความล้มเหลวก็จะเหมือนกับทางตัน—”
“นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นอารยธรรมอื่นมันก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ต่อให้พวกมันยินดีที่จะออกไปนอกรอยแตก เจ้าก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกมันทำสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นเมื่อเทียบกับการ ‘ปรับตัว’ แล้ว การ ‘ยินยอม’ นั้นสำคัญยิ่งกว่า เจ้าน่าจะรู้ในจุดนี้ดี” เมื่อพูดถึงตรงนี้ โรแลนด์ก็ผ่อนความเร็วในการพูดลง “ถูกต้อง เป็นเพราะว่าเจ้ารู้ ถึงได้มีเผ่าพันธุ์อย่างอาณาจักรซีสกายปรากฏขึ้นมา”
การเคลื่อนไหวของพระเจ้าเหมือนหยุดลง
ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติต่างๆ ของอาณาจักรซีสกายล้วนแต่แสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่แค่ผู้ร่วมต่อสู้ธรรมดาๆ ทั่วไปในสงครามแห่งโชคชะตา ความจริงนี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก โดยธรรมชาติพลังเวทมนตร์นั้นมีศักยภาพที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์อยู่ พวกเผ่าพันธุ์ที่เติบโตอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีพลังเวทมนตร์อย่างอ่อนๆ อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างน่าตกใจในระยะเวลาสั้นๆ บางทีการพัฒนาแบบนี้อาจจะไม่สามารถทำให้พวกมันปรับตัวกับชีวิตที่อยู่ด้านนอกม่านพลังได้ แต่มันกลับก่อให้เกิดปัญหากับระบบเปลได้
แต่ถ้าเกิดพระเจ้าลงไปแทรกแซงเพียงเพราะ ‘อาจจะมีความเป็นไปได้’ มันก็จะเป็นการขัดกับกฎพื้นฐานที่มันตั้งขึ้นมา — เพราะสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมพลังเวทมนตร์ได้ก็ย่อมต้องผ่านช่วงเวลานี้มาเหมือนกัน เพื่อที่จะควบคุมความเสี่ยงและไม่ทำให้สถานการณ์เบี่ยงเบนออกนอกทิศทาง จึงจำเป็นต้องมีวิธีคัดกรองสำรองเตรียมเอาไว้ ด้วยเหตุนี้สิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษอย่างอาณาจักรซีสกายจึงถูกจัดให้อยู่ในทะเลน้ำวน
ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงการคาดเดาของโรแลนด์ แต่เมื่อดูจากปฏิกิริยาของพระเจ้าแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงคงจะคลาดเคลื่อนไปจากการคาดเดาของเขาไม่เท่าไร
ในเมื่อเป็นผู้พิทักษ์แห่งสรรพปัญญา มันก็ย่อมต้องครุ่นคิดเอาไว้รอบคอบมากกว่าเขา
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นจุดที่ยากที่สุดของแผนการ นอกจากเรื่องที่ไม่สามารถรู้เรื่องหน้าได้ว่าการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจะออกมาเป็นอย่างไรแล้ว มันยังมีเรื่องของการ ‘ยินยอม’ ด้วย
อารยธรรมทั้ง 170,000 กว่าอารยธรรมที่ดำเนินแผนการตามที่ตกลงไว้ ถึงแม้จะดูแล้วเหมือนมีจำนวนมาก แต่เมื่อเทียบกับอารยธรรมที่มีอยู่นับล้านๆ ในจักรวาลแล้วก็ยังถือเป็นจำนวนนี่น้อยนิดอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังตกลงร่วมกันแค่เรื่องที่จะทำลายการปิดกั้น ทำให้จักรวาลไม่อ้างว้างเดียวดายต่อไปเท่านั้น
ไม่ใช่ทุกอารยธรรมที่จะยินยอมออกไปอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก
พูดอีกอย่างก็คือในตอนที่เผ่าพันธุ์ที่สามารถปรับตัวเข้ากับพลังเวทมนตร์ได้ปรากฏตัวขึ้นมา ผู้พิทักษ์ก็จะอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก — ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมเสี่ยง อย่างนั้นข้อตกลงก็ไม่บรรลุ แต่ถ้าไม่ฝืนบังคับล่ะก็ ถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้พิทักษ์จะเอาชนะได้หรือเปล่า
“….เจ้าคิดว่าแบบนี้จะทำให้ข้าหวั่นไหวได้งั้นเหรอ?” หลังนิ่งเงียบไปพักใหญ่ อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากขึ้นมา แต่ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ มือของมันก็ไม่ได้ยกขึ้นมาอีก
“ข้าไม่คิดจะสั่นคลอนการตัดสินใจของเจ้า หากแต่กำลังอธิบายตรรกะที่ง่ายที่สุดให้ฟังอยู่ ขณะเดียวกันโอกาสที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดการ ‘การปรับตัว’ และ ‘การยินยอม’ พร้อมกันได้นั้นมีอยู่น้อยมาก ไม่ต้องพูดเยอะเจ้าก็น่าจะเข้าใจดี” โรแลนด์ยักไหล่ ก่อนจะแสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ ว่า “แน่นอน การที่เจ้าปล่อยวางเปลไม่ได้มันก็เป็นเรื่องปกติ อย่างนั้นข้ายอมเสียสละนิดหน่อยก็ได้ เอาไว้เมื่อเจ้าจากไปแล้ว ข้าจะเป็นคนทำให้เปลยังคงเดินหน้าต่อไป แล้วก็เลี้ยงดูเผ่าพันธุ์ที่มีศักยภาพขึ้นมาเอง —- เพียงแต่จะไม่ใช้สงครามแห่งโชคชะตาอีกต่อไป ว่ายังไง?”
‘มิสต์’ เหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ มันตกตะลึงไปเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะตรรกะพื้นฐานภายในหัวของมันกำลังชั่งน้ำหนักคำแนะนำของเขาอยู่ หลังจากนั้นครู่ มันจึงค่อยๆ ส่ายหัวขึ้นมา “เป็นคำพูดที่น่าสนใจมาก การที่เจ้าเดินทางมาถึงขนาดนี้ได้นั้นนับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ข้อตกลงต้องเป็นข้อตกลง ข้าคือผู้พิทักษ์ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตหรืออารยธรรม นี่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะถือกำเนิดขึ้นมา แล้วก็เป็นเหตุแห่งการมีอยู่ของข้า”
“งั้นเหรอ?”
โรแลนด์พยายามรวบรวมสมาธิที่มีทั้งหมด สุดท้ายจึงเรียกสงครามแห่งวิญญาณขึ้นมาอีกครั้ง!
ความมืดเข้าปกคลุมทั้งสองคนทันที แท่นที่ยืนอยู่ในตอนแรกกับบันไดหายไป เวลาเหมือนหยุดนิ่งลง
“เจ้าพูดมาตั้งเยอะตั้งแยะก็เพื่อแบบนี้งั้นเหรอ? เสียดายที่การโจมตีทีเผลอมันไม่ได้ผลกับข้า ขอเพียงดึงทรัพยากรมาเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะใช้ในการคำนวณแล้ว” หลังเข้าสู่โหมดต่อสู้ น้ำเสียงของ ‘มิสต์’ ก็สุขุมขึ้นมา ความลังเลก่อนหน้านี้หายไปจนหมด “แต่ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการหยุดพักของโลกนี้แล้วกัน—”
“ไม่…ข้าเพียงอยากจะให้เจ้าได้เห็นอะไรบางอย่าง อดีตบางอย่างที่อาจจะถูกเจ้าลืมไปแล้ว” การใช้สมาธิเป็นจำนวนมากทำให้โรแลนด์ต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มีในการพูด แต่เขารู้ว่าในเวลานี้ตัวเองไม่อาจล้มลงได้
พอเขาพูดจบ รอบตัวพลันมีภาพปรากฏขึ้นมา ก่อนจะวิ่งถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว!
นั่นคือเวลาที่เริ่มวิ่งถอยหลัง—
เปลที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตถอยหลังกลับไปเป็นดินลาวา ก่อนจะเผยให้เห็นเปลือกโลหะขึ้นมาอีกครั้ง แสงสีแดงที่เปล่งออกมาจากรอยแตกเองก็หายไปในทันที ก่อนจะกลับไปเป็นความมืดอีกครั้ง จากนั้นก็เป็นกองเรือรบของอารยธรรมทั้ง 170,000 กว่าอารยธรรม แล้วก็กาแล็คซี่ที่ถูกดึงออกมาเหล่านั้น —- ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ถอยหลังกลับไปด้วยความเร็วสูง เงาที่ทอดออกมากลายเป็นแถบแสงที่ยาวสุดลูกหูลูกตาอยู่รอบตัวทั้งสองคน
ภาพเหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาพทั้งหมดที่อยู่ในความทรงจำของวงแหวนดวงดาว ตอนนี้เขาเชื่อมต่อมันเข้าด้วยกันตามลำดับก่อนหลัง
จนกระทั่งเงาสีเทาเงาหนึ่งปรากฏขึ้นตรงด้านหลัง
ตอนนี้เวลาเหมือนจะกลับมาเดือนเหมือนเดิม
“นี่มัน….” มิสต์เผยให้เห็นใบหน้าที่ตกใจ
“รู้สึกยังไงบ้าง?” เงาสีเทาค่อยๆ เดินมายังหน้าผลงานอันยิ่งใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดว่า “ร่างความทรงจำที่ใช้ทรัพยากรของทั้งกาแล็คซีสร้างขึ้นมาน่าจะเพียงพอให้เจ้าได้ใช้หลายหมื่นปี แต่แน่นอน เมื่อคิดถึงระยะเวลาอันยาวนานของแผนการแล้ว หลังจากนี้เจ้าสามารถเพิ่มเติมส่วนประกอบได้ด้วยตัวเจ้าเอง”
“การทดสอบผ่านเรียบร้อย การเชื่อมต่อไปด้วยดี” ด้านล่างสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่นั้นมีดวงตาคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมา ผนังด้านนอกของมันเหมือนจะสร้างขึ้นมาจากวัสดุที่โปร่งใสชนิดหนึ่ง แล้วก็สามารถถ่ายทอดข้อความออกมาได้ “แต่ข้าพบเห็นความซ้ำซ้อนที่ไม่จำเป็นบางอย่างอยู่ในพื้นที่ควบคุมส่วนย่อยและพื้นที่หมุนเวียนของจิตสำนึก พวกมันใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ของอวกาศ แต่กลับไม่ได้สร้างประโยชน์อะไร ข้าแนะนะให้กำจัดพวกมันทิ้งไป”
“ปล่อยพวกมันไปเถอะ นั่นถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเหมือนกัน”
“แต่ข้าหาโครงสร้างที่คล้ายกันนี้บนตัวผู้ช่วยเหลืออื่นๆ ไม่เจอ”
“นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าคือความพิเศษที่มีอยู่หนึ่งเดียวไม่ใช่เหรอ?” ร่างสีเทาเปล่งแสงที่อ่อนโยนออกมา
“….อะไรคือความหมายของความพิเศษที่มีอยู่หนึ่งเดียว?” ดวงตากะพริบตา “จากการวิเคราะห์ตามตรรกะแล้ว โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติและความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทับซ้อนนั้นสูงกว่าค่ามาตรฐาน สำหรับภารกิจแล้วมันถือเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยง—-”
“แต่สิ่งเหล่านี้มันอาจจะทำให้เจ้ามองเห็นอะไรบางอย่างที่ผู้ช่วยเหลืออื่นๆ มองไม่เห็น เจ้าก็คิดซะว่าเป็นความปรารถนาของข้าก็แล้วกัน”
ดวงตานิ่งเงียบไปครู่ “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ดีมาก หลังจากนี้ก็คือการกระตุ้นแกนกำเนิดพลังงานและทำให้เจ้าหลุดพ้นจากแหล่งพลังงานในโลกภายนอก และสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง ในอีกแง่หนึ่งมันหมายความว่า ณ ตอนนี้เจ้าได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว”
“รับทราบ”
หลังจากนั้น สัญลักษณ์ จุดแสงและดวงตาบนเปลือกใสก็ได้หายไปจนหมด เหลือเพียงแค่เงาสีเทาที่สะท้อนอยู่บนเปลือกที่เป็นมันวาว
เงาสีเทาเดินเข้าไปสองก้าว ส่วนหนึ่งของร่างกายค่อยๆ ลูบไล้ไปบนเปลือกของวัตถุขนาดใหญ่นั้น
“ในวันเวลาอันยาวนานหลังจากนี้ ข้าไม่อยากจะเป็นเสียงที่เยือกเย็นที่คอยพร่ำพูดอยู่ข้างกายเจ้าทั้งวันอีก อย่างเจ้า….ไม่ควรจะเป็นแค่เครื่องจักรเลย”
แคร่ก!
บนกระจกพลันมีรอยแตกปรากฏขึ้นมา
…………………………………………………………………..