ตอนที่ 976 หมอบกราบ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 976 หมอบกราบ

กวนเสี่ยวซีพักอยู่ที่ชนเผ่าหวานเหยียนเป็นเวลาหนึ่งคืน เช้าวันต่อมาเขาก็เดินทางกลับไปยังฐานทัพในเมืองยวี่ซิ่ว

เขาได้พาคนสองคนกลับไปด้วย…นั่นก็คือหยูติ้งชานและหยูติ้งเหอสองพี่น้อง

‘ความทะเยอทะยานของพวกเขามีมากมายเลยทีเดียว ในครานั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนจดหมายมา เขาได้กล่าวว่าต้องการตัวทั้งสองพี่น้อง ทว่าข้ามิยินยอม แต่บัดนี้ข้าได้ตกลงกับพวกเขาและบอกความจริงแก่พวกเขาแล้ว’

‘วางใจเถิด พวกเขาทราบดีว่าสิ่งใดควรหรือมิควร ให้พวกเขาติดตามเจ้าและเริ่มต้นจากนายทหารชั้นผู้น้อยเถิด’

……

“ท่านแม่เจ้าคะ ข้า…ข้าจะได้พบพี่เสี่ยวจ้วงเมื่อใดเจ้าคะ ? ”

“พี่เสี่ยวจ้วงของเจ้าดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการอยู่ที่เมืองกวนหยุน”

“ที่นี่ห่างไกลจากเมืองกวนหยุนมากหรือไม่เจ้าคะ ? ”

“…ไกลมากเลยล่ะ รอเวลาผ่านไปอีกสักพักแล้วแม่จะพาเจ้าไป”

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่ ! ”

รอเวลาเยี่ยงนั้นหรือ ต้องรออีกนานเท่าใดกัน ?

เผิงยวี๋เยี่ยนเองก็มิทราบและต้องดูว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถทำให้ทั่วหล้าหมอบกราบเขาได้เมื่อใด

……

……

ณ เขตซู่เถียน รัฐหยิ่งชังแห่งจิงซีเป่ยเต้า

เต้าถายฉินโม่เหวินและจือโจวฟางเหวินซิงแห่งรัฐหยิ่งชัง ได้นำขุนนางส่วนหนึ่งเดินไปบนคันนา

ในปีนี้จิงซีเป่ยเต้าได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภัยแล้ง โดยเจ็ดในแปดรัฐที่อยู่ภายใต้การปกครองสามารถเก็บเกี่ยวข้าวสาลีได้เพียงสองในสิบส่วนของปีที่แล้วเท่านั้น ทว่าเก็บเกี่ยวข้าวขาวมิได้เลย

มันเทศยังมิได้รับการเผยแพร่มาถึงที่นี่ ดังนั้นราษฎรจึงกำลังประสบปัญหาด้านการดำรงชีวิตอย่างหนัก

จากคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวน ทำให้ฉินโม่เหวินโดนเยี่ยนซือเต้าเรียกไปตำหนิถึง 3 ชั่วยามเต็ม !

เขาออกเดินทางเมื่อตอนปลายเดือนสี่และกลางเดือนห้าก็ได้เข้ารับตำแหน่งในจิงซีเป่ยเต้า จากนั้นจึงได้พบเห็นกับภาพที่น่าเวทนาของชาวบ้าน

เจ้านั่นทำลายล้างราชวงศ์หยู สำหรับฉินโม่เหวินรู้สึกตื่นตกใจมากยิ่งนัก ทว่าต่อมาก็ได้คลายความรู้สึกลง

เจ้านั่นมิได้มีความสามารถเพียงแค่ด้านวรรณกรรมเท่านั้น ผู้ที่มีความสนิทสนมกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดีเยี่ยงฉินโม่เหวินย่อมทราบดีว่าอีกฝ่ายเก่งกาจมากเพียงใด

จากการปกครองราชวงศ์หยูของหยูเวิ่นเต้ามิเพียงแต่จะไร้สิ่งใดก้าวหน้า ทว่ายังถดถอยลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย เป็นเพราะความสามารถในการปกครองของหยูเวิ่นเต้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

เห็นได้ชัดว่ามิใช่

เหตุผลหลักที่สำคัญมาจากการที่ได้รับความกดดันอย่างรุนแรงจากราชวงศ์อู๋…มิว่าจะเป็นด้านการทหารหรือเศรษฐกิจ

ด้านการทหารนั้น ฟู่เสี่ยวกวนได้ก่อตั้งทหารบกขึ้นมาสี่กองทัพ

ส่วนด้านเศรษฐกิจ ภาษีที่ราชวงศ์อู๋ได้รับก็มากกว่าราชวงศ์หยูถึงสามเท่า ! อีกทั้งในมือยังมีภูเขาทองคำอยู่ด้วย

เมื่อมีการสนับสนุนด้านการเงินเช่นนี้จึงสามารถก่อตั้งกองทัพได้มากขึ้น

ทว่าราชวงศ์หยูมิอาจทำได้ เพียงแค่กองทัพสวรรค์ฆาตจำนวน 300,000 นายก็ทำให้หยูเวิ่นเต้าทุกข์ใจมากแล้ว

หากทุกสิ่งดำเนินไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ สิ่งที่ตามมาโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือราชวงศ์อู๋จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากยิ่งขึ้น ส่วนราชวงศ์หยูจะยากจนลงทุกวัน วันหนึ่งหากราษฎรในราชวงศ์หยูมิอาจทนได้อีกต่อไป พวกเขาก็จะพากันออกมาต่อต้าน แม้มิอาจทำลายล้างราชวงศ์หยูได้สำเร็จ แต่ก็คงทำให้หยูเวิ่นเต้าลำบากใจมากกว่าเดิม

ดังนั้นหยูเวิ่นเต้าจึงจำเป็นต้องเข้าสวามิภักดิ์และหากตัดสินใจสวามิภักดิ์ก็แน่นอนว่าได้นึกถึงผลที่จะตามมาอย่างถี่ถ้วนแล้วเช่นกัน

จากความคิดของหยูเวิ่นเต้าคือหากต้องปล่อยให้ราชวงศ์หยูถดถอยลงทุกวันเยี่ยงนี้ สู้ยอมตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อู๋เสียดีกว่า

หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนรับไว้ในปกครอง เขาคงทำการยกเลิกราชวงศ์เดิมและทำการแบ่งเขตการปกครองใหม่ขึ้นมา แน่นอนว่านี่คือหมากที่เดินได้อย่างยอดเยี่ยม

ฟู่เสี่ยวกวนจะปลดปล่อยความกังวลใจของราษฎรในราชวงศ์หยูออกไปจนสิ้น พอมิมีความกังวลใจหลงเหลืออยู่แล้ว จึงจะสามารถปกครองได้โดยง่าย

บัดนี้จำต้องพึ่งพาฟู่เสี่ยวกวน เขาได้มอบเงินจำนวน 100 ล้านตำลึงให้แก่จิงซีทั้งสองมณฑลและหวายหนานทั้งสองมณฑลที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในปีนี้ ประการแรกเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความอยู่รอดของชาวบ้าน ประการที่สองเพื่อวางรากฐานทางการเกษตรให้มั่นคง

เมื่อยืนอยู่บนคันนา ฉินโม่เหวินจึงมองไปยังคูระบายน้ำและคลองชลประทานที่ได้รับการซ่อมแซมของเขตซู่เถียน เขารู้สึกชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนจากใจจริง

“แท้ที่จริงก็มิใช่เรื่องแปลกใหม่อันใดเพราะเขาเคยใช้แผนการนี้คราแรกในซีซาน จากนั้นก็ใช้ในชื่อเล่อชวน บัดนี้ได้นำมาใช้ที่นี่อีกครา ทว่ามันเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว ! ”

ฉินโม่เหวินอดที่จะเอ่ยออกมามิได้ว่า “เหวินซิง รัฐหยิ่งชังที่เจ้าดูแลอยู่นั้นการก่อสร้างดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว นี่ก็ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เจ้าจงรีบรวบรวมชาวบ้านไปก่อสร้างสำนักศึกษาและศูนย์การแพทย์อันใดเหล่านั้นเสีย จงควบคุมราคาธัญพืชที่ส่งมาจากโม่โจว หากชาวบ้านสามารถเพิ่มรายได้ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย พวกเขาก็จะสามารถซื้อเนื้อหมูทานตอนฉลองข้ามปีได้”

ฟางเหวินซิงก็สัมผัสได้เช่นกัน

เขาจึงยกมือขึ้นคารวะฉินโม่เหวินแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยจะทำการออกคำสั่งโดยเร็วที่สุด ข้าน้อยมีความคิดเช่นนี้… เมื่อผ่านพ้นปีใหม่ไปแล้ว ท่านจัดซื้อมันเทศมาสักเล็กน้อยได้หรือไม่ ? เจ้าสิ่งนั้นทั้งราคาถูกและให้ผลผลิตดี ต่อให้เป็นพื้นที่แห้งแล้งก็สามารถปลูกได้”

“อันลิ่วเย่เคยเขียนจดหมายมาบอกข้าน้อย เขาเอ่ยว่ามันเทศสามารถนำมาเลี้ยงหมูได้ด้วย ข้าน้อยตั้งใจว่าในปีหน้าจะทำการผลักดันเซียงจูอวี๋ห้าวในรัฐหยิ่งชังเพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นสักหน่อย”

ฉินโม่เหวินครุ่นคิดพลางพยักหน้าเบา ๆ “ที่รัฐหยิ่งชังมีผืนนาน้อยทว่ามีที่ดินเปล่ามากกว่า ดังนั้นเรื่องที่เจ้าเสนอมาถือว่ามิเลว รอให้ข้าเสร็จจากออกว่าราชการแล้วกลับไปถึงจวนฉางอันเสียก่อน ข้าจะร่างคำขอไปยังฝ่าบาทเพื่อสร้างโอกาสในการหารายได้แก่พี่น้องราษฎรสักหน่อย”

ฟางเหวินซิงรู้สึกยินดีมากยิ่งนัก เขารีบยกมือขึ้นคารวะเป็นการขอบคุณ ทว่าฉินโม่เหวินกลับถอนหายใจยาวออกมา “ฝ่าบาทของพวกเราในตอนนี้มิได้ประทับอยู่ในเมืองกวนหยุน”

“…แล้วพระองค์เสด็จไปที่ใดเล่า ? ”

“เขาเดินทางออกทะเลไปแล้ว บัดนี้ยังมิมีข่าวคราวอันใดกลับมาเลย”

องค์จักรพรรดิผู้นี้ช่างใจเย็นมากยิ่งนัก ต้าเซี่ยเพิ่งจะก่อตั้งได้เพียงมิกี่เดือนก็วางพระทัยแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟางเหวินซิงมิเข้าใจอย่างแท้จริง ทว่าฉินโม่เหวินกลับหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เรื่องออกทะเลนั้นเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเงินที่ฝ่าบาททรงประทานมาเหล่านี้ ล้วนมาจากการออกทะเลทั้งสิ้น ซึ่งแม่ทัพไป๋ยู่เหลียนเป็นผู้แย่งชิงกลับมา มีจำนวนมากถึง 300 ล้านตำลึงเชียว ! ”

ฟางเหวินซิงตกตะลึงจนต้องอ้าปากค้าง “…300 ล้านตำลึงเชียวหรือขอรับ ? ”

“ใช่ ! ” ฉินโม่เหวินส่ายหน้าแล้วยิ้ม “เจ้าลองคิดดูสิ ราชวงศ์หยูสามารถเก็บภาษีแต่ละปีได้เพียง 20 ล้านตำลึงมิเกินนี้ แล้วจะเทียบกันได้เยี่ยงไร ? ”

อืม…มิอาจเทียบเคียงได้อย่างแท้จริง

ฟางเหวินซิงใช้เวลากว่าสิบลมหายใจเข้าออกรับฟังพลางครุ่นคิดเรื่องนี้ “นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเสียทีเดียวขอรับ หากสามารถแย่งชิงเงินทองมากมายเหล่านั้นมาจากท้องทะเลได้ เช่นนั้นความเจริญรุ่งเรืองของต้าเซี่ยก็คาดว่าจะมาถึงในมิช้า”

ฉินโม่เหวินพยักหน้ารับ “ไปเถิด ! พวกเราไปดูเกษตรกรเหล่านั้นกัน ดูว่าพวกเขาต้องการให้ทางราชการช่วยเหลือสิ่งใดอีกหรือไม่”

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนออกทะเลไปแล้ว ขุนนางทุกคนในต้าเซี่ยต่างก็ยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตน

มิว่าจะเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามสำนัก หรือจ่งตูฝานเทียนหนิงและจ่งตูเยี่ยนซือเต้า นับตั้งแต่ขุนนางขั้นสูงไล่ลงมา ล้วนกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของต้าเซี่ย

ประเทศต้าเซี่ยแห่งนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้แต่งตั้งขุนนางขึ้นมาใหม่จำนวนมาก

ขุนนางเหล่านี้ส่วนมากเคยได้รับการอบรมเรื่องการปกครองประเทศมาแล้ว บัดนี้พวกเขาจึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

“บริการราษฎรด้วยใจจริง ! ”

นี่คือเป้าหมายสูงสุดของแนวคิดนี้ และอย่างน้อยเจ้าหน้าที่ในแต่ละหน่วยงานก็มิมีผู้ใดกล้าละเมิด

ด้วยเหตุนี้ ราษฎรทุกคนจึงได้เห็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพและได้เห็นขุนนางที่เคยอยู่ในจุดที่สูงส่งลงมายังทุ่งนา ทั้งยังเดินมาทักทายพวกเขาด้วยความอบอุ่นหรือแม้แต่ทำงานร่วมกับพวกเขาด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านในแคว้นอี๋และแคว้นฝานดั้งเดิม พวกเขาแทบมิอยากเชื่อสายตาของตนเองเลยด้วยซ้ำ

ภาพเหล่านี้ทำเอาพวกเขาตื่นตระหนกไปหลายวัน ทว่าบัดนี้พวกเขาได้เข้าใจว่า ขุนนางชุดนี้และขุนนางชุดเก่าก่อนมิเหมือนกันแม้แต่น้อย

ขุนนางเหล่านี้อายุยังน้อย ทุกคนมีกำลังวังชาและมิถือตัวแต่อย่างใด

พวกขุนนางเอ่ยว่า บัดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นต้าเซี่ยแล้ว ทั้งยังเอ่ยอีกว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพราะองค์จักรพรรดิบัญชา

“ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า บุตรหลานของพวกเจ้าก็จะมีที่ให้ศึกษาหาความรู้โดยมิเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย”

“คนชราในหมู่บ้านก็จะมีบ้านพักคนชราแสนอบอุ่นให้พักอาศัยในช่วงฤดูหนาว”

“พวกเจ้าจงทานอาหารให้อิ่มท้อง อย่าได้กลัวว่าจะไร้อาหารให้ทานในมื้อต่อไป เพราะบัดนี้พวกเรามีอาหารมากมาย ฝ่าบาทตรัสแล้วว่าอย่าให้ผู้ใดหิวโหยเป็นอันขาด ! ”

ความเห็นของชาวบ้านทั่วไปช่างเรียบง่าย พวกเขารู้เพียงแค่ว่าจักรพรรดิเยี่ยงนี้ต้องเป็นจักรพรรดิที่ดีอย่างแน่นอน

เวลาผ่านไปเพียงครึ่งปี แต่ราษฎรในต้าเซี่ยล้วนพร้อมใจกันหมอบกราบต่อเขา