ตอนที่ 977 ของแปลกประหลาด

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 977 ของแปลกประหลาด

รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่หนึ่ง เดือนสิบ หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนจัดการเรื่องทั้งหมดในหยวนตงเต้าเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เดินทางกลับภายในวันนั้น

เขาทิ้งกองทหารที่พามาด้วยทั้งหมดและเรือรบ 4 ลำไว้ที่นี่ จากนั้นก็พาคณะเดินทางขึ้นเรือรบเพียง 1 ลำเพื่อเดินทางกลับเมืองกวนหยุน

เขามิได้อ้อมไปพักที่เซี่ยเย๋แต่อย่างใด เนื่องจากจิตใจอยากจะกลับบ้านเต็มทน

ผู้ที่ติดตามเขากลับเมืองกวนหยุนในครานี้มีราชทูตอานฝู่ซือเฮ่อเถียน เถิงหยวนมู่และเถิงหยวนจี้เซียงเพิ่มขึ้นมา

วันที่สิบ เดือนสิบ เรือรบก็ได้เข้าเทียบท่า ณ ท่าเรือเจียงเฉิง จากนั้นวันที่สิบสอง เดือนสิบ คณะเดินทางก็ได้เดินทางมาถึงเมืองกวนหยุน

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้พาเถิงหยวนจี้เซียงเข้าวังด้วย เขาให้หลิวจิ่นพาสตรีผู้นี้ไปส่งที่สถานทูตของอดีตแคว้นหลิว

ภายในสถานทูตมีสตรีนามว่ายิงฮวาพำนักอยู่

หากนางไปที่นั่นก็จะมีสหาย

ตัวเขาเองก็มิได้ไปยังท้องพระโรงแต่อย่างใด ทว่าตรงกลับไปยังวังหลังทันที

เขาคิดถึงเหล่าสตรีของตนมากมายเสียเหลือเกิน

การเดินทางไกลในครานี้ใช้เวลานานถึง 4 เดือน บัดนี้ได้ปล่อยวางภาระอันหนักอึ้งในใจไปแล้ว เขาจึงมองไปยังสถานที่ห่างไกลและเดินหน้าต่อ

สตรีในวังหลังหายไปที่ใดกันหมดแล้วเล่า ?

คาดมิถึงว่าวังหลังที่ใหญ่โตจะว่างเปล่า มิมีแม้แต่เงาของพวกนางกำนัลแห่งตำหนักหยางซิน เขาจึงไปยังตำหนักของจักรพรรดินี ถึงได้ทราบว่าพวกหยูเวิ่นหวินอยู่ที่สวนดอกไม้ของตำหนักสวี่ซินเหยียน

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเพราะสวี่ซินเหยียนมิได้ชื่นชอบการปลูกดอกไม้สักเท่าใดนัก เอ่ยกันตามจริงคือช่วงเวลาทองของฤดูใบไม้ร่วงในเดือนสิบเยี่ยงนี้ หากจะชมบุปผาก็ควรไปที่สวนดอกไม้ของเยี่ยนเสี่ยวโหลว คาดว่าดอกเบญจมาศในสวนดอกไม้เหล่านั้นคงบานสะพรั่งแล้ว

เขาตรงไปยังตำหนักของพระสนมเหยียน ทั้งยังมิได้ส่งนางกำนัลเข้าไปรายงานก่อน เดินไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังเพียงลำพังจึงได้เห็นฉากอันอบอุ่น…สตรีทั้งเก้านั่งล้อมวงกันอยู่ในศาลาพร้อมส่งเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนกำลังสนทนาอันใดกันอยู่

“ข้าเองก็มิทราบเช่นกันว่านี่คือสิ่งใด เป็นเมล็ดพันธุ์ที่หลิวจิ่นนำกลับมาเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว”

ใบหน้าของสวี่ซินเหยียนเต็มไปด้วยความสงสัยและยังเอ่ยอีกว่า “เมล็ดพันธุ์เหล่านี้มิใช่ว่าส่งไปยังไร่หลวงที่โม่โจวแล้วหรอกหรือ ? ข้าขอเมล็ดพันธุ์บางส่วนมาจากท่านพี่และได้ปลูกเอาไว้ในสวนนี้ เพียงแค่อยากเห็นว่าเมล็ดพันธุ์จากต่างแดนเวลาเติบใหญ่แล้วจะมีหน้าตาเป็นเยี่ยงไร…”

“นี่… พวกเจ้าก็เห็นกันแล้ว มีผู้ใดรู้จักบ้างหรือไม่ ? ”

หยูเวิ่นหวินและคนอื่น ๆ จ้องมองของที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างพินิจพิเคราะห์และมั่นใจว่ามิรู้จักพืชชนิดนี้อย่างแท้จริง

“ทานได้หรือไม่ ? คงมิมีพิษหรอกนะ ? ”

“ท่อนไม้นี้มองดูแล้วก็มิเลวเลยทีเดียว มีเมล็ดเล็ก ๆ อยู่เต็มฝัก สีเหลืองสดใสงดงามน่าจะทานได้”

“ข้ารู้สึกว่าของสิ่งนี้ค่อนข้างคล้ายมันเทศ ตะกร้าใบใหญ่นี้พี่สาวปลูกไปเท่าใดกัน ? ”

“ปลูกไว้มิมากเท่าใดนัก ผลผลิตที่ได้จากของสิ่งนี้ก็มิต่างจากมันเทศเท่าใดนัก หากสามารถทานได้…ก็มิทราบเช่นกันว่าจะมีรสชาติเป็นเยี่ยงไร หากรสชาติดีก็นับเป็นอาหารสำคัญของต้าเซี่ยอีกชนิดหนึ่งได้เลย”

ดวงตากลมโตของซูซูกะพริบปริบ ๆ “ถ้าเช่นนั้น…พวกเราลองย่างแล้วชิมกันดีหรือไม่ ? ”

“ดี… ข้าจะสั่งนางกำนัลก่อกองไฟสักหนึ่งกอง”

ทันทีที่สวี่ซินเหยียนเอ่ยจบ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของฟู่เสี่ยวกวนปรากฏสู่สายตา ดวงตาของนางจึงเบิกโพลงขึ้นมาทันพลัน “ท่านพี่… ! ”

สตรีอีกแปดนางที่เหลือก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกันทั้งหมด ฟู่เสี่ยวกวนอ้าแขนออกพลางหัวเราะร่า “สามีคิดถึงพวกเจ้าจะตายอยู่แล้ว ! ”

…..

ฟู่เสี่ยวกวนทรุดตัวลงนั่ง รู้สึกมีความสุขมากขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ

เขาหยิบข้าวโพดขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยว่า “สิ่งนี้เรียกว่าข้าวโพด เมื่อตากจนแห้งแล้วก็สามารถแกะออกมาได้ เยี่ยงนี้…”

เขาแกะเปลือกข้าวโพดออกมาหนึ่งซีก “ประโยชน์ของข้าวโพดมีหลากหลายมากยิ่งนัก สามารถนำมากลั่นสุราได้ เป็นอาหารสัตว์ได้และยังสามารถนำมาบดเป็นแป้งไว้ทานได้อีกด้วย”

“ผลผลิตต่อหมู่ของเจ้าสิ่งนี้อยู่ที่เจ็ดถึงแปดร้อยชั่งเลยทีเดียว”

สวี่ซินเหยียนที่ได้ยินดังนั้นก็บังเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันใด “ผลผลิตก็มิได้สูงกว่าปกติเลย หากปลูกเจ้าสิ่งนี้จะทำให้พลาดการปลูกข้าวสาลีไปหรือไม่เพคะ ? ”

“ไม่ ๆ ๆ ของสิ่งนี้เป็นตัวเสริมให้ข้าวสาลีพอดิบพอดี พวกเราสามารถเริ่มเพาะต้นกล้าข้าวโพดได้ราวเดือนสี่… เจ้าจะหว่านเมล็ดลงไปโดยตรงเลยก็ได้ ทว่าหากใช้วิธีการเพาะต้นกล้าแล้วค่อยเคลื่อนย้ายไปปลูก สภาพการเติบโตจะดียิ่งกว่าและผลลัพธ์ของฝักข้าวโพดที่ออกมาก็จะใหญ่กว่า”

“ข้าวสาลีจะเก็บเกี่ยวราวเดือนห้า จากนั้นก็สามารถปลูกข้าวโพดต่อได้ทันที หากเป็นไร่มันเทศก็สามารถปลูกข้าวโพดพร้อมกับมันเทศได้โดยมิมีผลกระทบต่อผลผลิตของมันเทศ จนถึงขั้นสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตในเวลาที่ปักมันเทศลงไปอีกด้วย ดังนั้นของสิ่งนี้จึงเป็นการเก็บเกี่ยวเพิ่มเติม”

สตรีทั้งเก้าเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ตะลึงงันขึ้นมาทันใด หากเป็นดั่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมา เมื่อเผยแพร่ข้าวโพดนี้ออกไป การเก็บเกี่ยวของเกษตรกรก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกมิใช่หรือ ?

นี่ย่อมเป็นเรื่องดีคับฟ้า ทว่าของสิ่งนี้มาจากอีกฟากฝั่งของทะเล แล้วเขารู้จักได้เยี่ยงไร ?

หยูเวิ่นหวินหยิบของที่ใหญ่เทียบเท่าไข่ห่านขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “แล้วสิ่งนี้เล่า ? ท่านรู้จักหรือไม่เพคะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนรับมา จากนั้นก็เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มว่า “นี่ก็เป็นของวิเศษอีกอย่างเช่นกัน เรียกว่ามันฝรั่ง ผลผลิตที่ได้เทียบเคียงกับมันเทศ เจ้าสิ่งนี้ก็มีประโยชน์หลากหลายเช่นกัน สามารถใช้เป็นอาหารหลัก เป็นผักแกล้มและสามารถบดเป็นแป้งได้อีกด้วย”

“มันมีสามารถปรับตัวได้ตามสภาพแวดล้อม อย่างเช่นเป่ยเซียวเต้าก็สามารถปลูกได้ในเดือนสี่และเก็บเกี่ยวได้ในเดือนเก้า”

“หากมีสภาพอากาศที่ดีเยี่ยงเจียงหนานเต้าก็สามารถปลูกได้ถึงสองฤดูกาล คือปลูกในฤดูใบไม้ผลิเดือนหนึ่งหรือสองแล้วเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนห้าหรือหก จากนั้นก็สามารถปลูกได้อีกคราในเดือนแปดหรือเก้า แล้วจะสามารถเก็บเกี่ยวได้อีกคราในเดือนสิบสองประมาณนั้น”

“ทั้งสองสิ่งนี้ควรมีการส่งเสริมอย่างกว้างขวางเฉกเช่นมันเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วประเทศต้าเซี่ยก็จะมิขาดแคลนเสบียงอาหารอีกต่อไป ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบสิ่งของเหล่านั้นขึ้นมาทีละอย่าง ใบหน้าของเขาก็พลันเปี่ยมสุขขึ้นมาอีกคราพลางเอ่ยว่า “สิ่งที่มีสีแดงนี้คือพริก ส่วนของเหล่านี้คือเครื่องเทศ… มิเลวเลย ! เมื่อมีของเหล่านี้มาปรับรสชาติ ในอนาคตอาหารก็จะอร่อยมากยิ่งขึ้น”

“มา ๆ ๆ พวกเรามาย่างมันฝรั่งกันเถิด ใช้ผงยี่หร่ากับผงพริกและเกลือขาวทาลงไป…”

ฟู่เสี่ยวกวนลงมือทำมันฝรั่งย่างด้วยตนเอง

ท่ามกลางแววตาฉงนของเหล่าสตรีกลุ่มนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หั่นมันฝรั่งให้เป็นแผ่น จากนั้นก็ใช้ไม้เสียบเป็นแท่งและวางลงบนตะแกรงเหนือกองไฟเพื่อย่าง

“หลิวจิ่น”

หลิวจิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงก็พลันเบิกตาโพลงขึ้นมา “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“เจ้าไปห้องเสวยแล้วนำน่องไก่มาสักเล็กน้อย ให้พ่อครัวหลวงหั่นเนื้อแกะและเนื้อหมูมาให้ข้าอีกสักหน่อย”

หลิวจิ่นรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ด้านฟู่เสี่ยวกวนยังคงสาละวนอยู่กับอาหาร

“ข้าวโพดฝักนี้แก่แล้ว หากเป็นข้าวโพดอ่อนสามารถต้มหรือย่างทานก็ได้ เกรงว่าพวกเจ้าต้องรอปีหน้าเสียแล้ว”

เขาพลิกมันฝรั่งที่อยู่บนตะแกรงอย่างชำนาญ ตวัดแปรงทาน้ำมันและเครื่องปรุงที่แปลกใหม่เหล่านั้นลงไปอีกครา

กลิ่นหอมที่มิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้โชยขึ้นมาช้า ๆ ในแววตาของพวกหยูเวิ่นหวินล้วนมีแต่ความคาดหวัง โดยเฉพาะซูซูที่รู้สึกว่าตนโหยหาจนน้ำลายจะไหลอยู่รอมร่อแล้ว

มันฝรั่งที่ย่างจนได้ที่แล้วด้านนอกกรอบด้านในนุ่ม ฟู่เสี่ยวกวนนำมันฝรั่งเหล่านี้แบ่งให้สตรีทั้งเก้าคน

“ไอหยา… อร่อยมาก ! ” ดวงตาของซูซูเปล่งประกายขึ้นมาทันใด

ซือหม่าเช่อชิมหนึ่งคำ มีรสเผ็ดเล็กน้อย ทว่ารสชาติระเบิดในต่อมรับรสได้เป็นอย่างดี ราวกับรู้สึกได้ถึงการเปิดออกของทุกรูขุมขน

“อ่า…อร่อยยิ่งนัก หากทำสิ่งนี้ออกขายต้องทำเงินได้อย่างแน่นอน ! ” ดวงตาของต่งชูหลานพุ่งไปยังเม็ดเงินทันใด

หยูเวิ่นหวินชิมไปคำเล็ก ๆ ในใจรู้สึกชื่นชอบมากยิ่งนัก

เขามิได้เปลี่ยนไป !

ปกติรสชาติอาหารที่เขาทำก็อร่อยมากอยู่แล้ว บัดนี้มันฝรั่งที่เขาปรุงมีรสชาติแปลกใหม่

บัดนี้เขาไร้ซึ่งท่าทีของจักรพรรดิ เขาที่เป็นแบบนี้ต่างหากถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริง

“พวกเจ้าคงสงสัยว่าเหตุใดในอดีตข้าจึงทำพวกปิ้งย่างเยี่ยงนี้น้อยครั้งนัก ? เหตุผลหลักก็คือขาดเครื่องเทศเหล่านี้เยี่ยงไรเล่า…”

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงทำหน้าที่ปิ้งย่างของตนต่อไป “ข้าคิดว่ารอให้ประเทศต้าเซี่ยมั่นคงและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว พวกเราก็จะสามารถทานอาหารดี ๆ ได้ในทุกวัน และคงจะได้ใช้ชีวิตตามแบบที่ต้องการเสียที”