ตอนที่ 978 ฝ่าบาทเสด็จกลับ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 978 ฝ่าบาทเสด็จกลับ

“ว่าเยี่ยงไรนะ ? ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ณ จวนของหนานกงอี้หยู่ ปรากฏเมิ่งฉางผิงเดินเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน ร่างของเขายังมิทันโผล่เข้ามาก็ได้ส่งเสียงนำมาก่อนแล้ว

“ใช่ ! ฝ่าบาทเสด็จถึงพระราชวังเมื่อยามเซินอย่างเงียบ ๆ ”

หนานกงอี้หยู่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “ใต้เท้าเมิ่ง เชิญนั่งลงก่อน…ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้วก็ถือเป็นเรื่องดี มีข่าวอื่นใดอีกหรือไม่ ? ”

“มีอยู่เรื่องหนึ่งและเป็นเรื่องใหญ่มากเลยทีเดียว ! ”

เมิ่งฉางผิงนั่งลงฝั่งตรงข้ามหนานกงอี้หยู่ เขายกมือขึ้นรูปเคราด้วยสีหน้าดีอกดีใจ จากนั้นก็โน้มกายเข้าใกล้พลางเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “บัดนี้แคว้นหลิว…ล่มสลายแล้ว ! ”

หนานกงอี้หยู่ตกตะลึงขึ้นมาทันใด ฝ่าบาทเคยตรัสว่ามีกองเรือรบที่เดินทางมาจากสถานที่อันไกลโพ้นเข้าโจมตีแคว้นหลิวและในตอนนั้นมีสงครามภายใน กองเรือรบของต้าเซี่ยจึงจำต้องเดินทางไปยึดเมืองจินหลิงโดยมิอาจไปช่วยเหลือแคว้นหลิวได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าแคว้นหลิวโดนผู้บุกรุกจากภายนอกทำลายล้างใช่หรือไม่ ?

นี่มิใช่ข่าวดี !

มิว่าเยี่ยงไรแคว้นหลิวและราชวงศ์อู๋ก็เคยมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันมาก่อน อีกทั้งแคว้นหลิวยังยกย่องในเรื่องวัฒนธรรมของราชวงศ์อู๋เสมอมา เมื่อแคว้นหลิวถูกทำลายล้าง… เขาจึงชะงักอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เบิกตากว้างแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านหมายความว่า…ฝ่าบาททรงทำลายกองทัพผู้บุกรุกไปจนสิ้นแล้วเข้าครอบครองแคว้นหลิวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เมิ่งฉางผิงยกมือตบต้นขาของตน “จะเป็นอย่างอื่นได้เยี่ยงไรเล่า ฝ่าบาททรงรวมแคว้นหลิวเข้ามาเป็นมณฑลที่สิบแปดของต้าเซี่ยโดยมีนามว่าหยวนตงเต้า ! ”

ที่แห่งนั้นช่างห่างไกลเสียจริง

หนานกงอี้หยู่ยกยิ้มขึ้น คนผู้นั้นได้ขยายอาณาเขตต้าเซี่ยไปถึงทะเลแล้ว ทว่า…รอยยิ้มของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไป “ข้าได้ยินมาว่าหากเดินทางด้วยเรือไปยังสถานที่แห่งนั้นต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนเลยทีเดียว อีกทั้งที่นั่นก็มิได้ร่ำรวยอันใด พวกเราต้องใช้เงินจำนวนมากเพียงใดในการลงทุนที่นั่น ? ”

“บัดนี้ข้ายังมิรู้ถึงนโยบายในหยวนตงเต้า ในวันนี้ที่ข้าเดินทางมาเข้าพบท่าน ประการแรกก็เพื่อบอกข่าวดีนี้ให้แก่ท่าน ประการที่สอง… ประการที่สองก็คือทางกรมพิธีการได้รับพระราชสาส์นตราตั้งมาจำนวนหนึ่ง เป็นสาส์นที่ส่งมาจากประเทศรอบด้านของต้าเซี่ย เนื้อหาในพระราชสาส์นตราตั้งเหล่านั้นก็คือพวกเขาต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาทของพวกเรา…”

“เรื่องนี้เดิมทีข้าก็มิเห็นด้วยเท่าใดนัก เนื่องจากประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้นมีอันใดให้น่าต้อนรับกัน ? ทว่าเมื่อวานนี้ข้าได้พบเข้ากับท่านอาวุโสเหวินสิงโจวราชครูขององค์รัชทายาทที่ในพระราชวังและได้สนทนาถึงเรื่องนี้ เขามีความเห็นว่าให้ข้าเปลี่ยนแปลงแนวคิดดั้งเดิมเสีย ดังนั้นข้าจึงอยากมาปรึกษาหารือกับท่าน”

หนานกงอี้หยู่ทราบเรื่องนี้ดี ทว่าก็มิได้นำมาใส่ใจเช่นกัน เนื่องจากบัดนี้ทุกคนล้วนกำลังยุ่ง เขาเองก็ยุ่งมากยิ่งนัก ดังนั้นจะเอาเวลาจากที่ใดไปสนใจประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้น

ทว่าบัดนี้เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านอาวุโสเหวินเอ่ยว่าเยี่ยงไร ? ”

“ท่านอาวุโสเหวินเอ่ยว่า…ในเมื่อต้าเซี่ยเป็นประเทศผู้นำ ประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้นต้องการเดินทางมาเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท ถือเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะแสดงให้แก่ใต้หล้าได้เห็นและเป็นโอกาสดีที่จะสร้างชื่อเสียงให้แก่ฝ่าบาท”

เมิ่งฉางผิงชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “ท่านอาวุโสเหวินยังเอ่ยอีกว่า ในฐานะที่ต้าเซี่ยเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมสูงสุดในแถบตะวันออก จึงควรมีหน้าที่รับผิดชอบในการเผยแพร่และสั่งสอนให้แก่ประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้น หากสามารถทำให้ประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้นชื่นชมจากใจจริงได้ พวกเขาก็จะเป็นแนวป้องกันให้แก่ต้าเซี่ยของพวกเราได้ ประโยคนี้ทำให้ข้าคิดอยู่เนิ่นนานเลยทีเดียว เนื่องจากมีศัตรูจากทางทะเล ย่อมหมายความว่าอีกด้านของภูเขาก็คงมีศัตรูอยู่เช่นกัน”

“ประเทศเหล่านั้นกระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ ประเทศต้าเซี่ยของพวกเรา หากมีผู้บุกรุกจากภายนอกบุกเข้าไปในประเทศพวกเขา อย่างน้อยพวกเขาก็จะแจ้งข่าวนี้ให้แก่พวกเราล่วงหน้า แม้ว่าศัตรูมิอาจต่อสู้กับพวกเราได้ก็จริง แต่พวกเราก็จะมีเวลาเตรียมตัวมากขึ้นมิใช่หรือ ? ”

“ดังนั้นข้าจึงคิดว่า…บัดนี้ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้วมิใช่หรือ ? ในวันพรุ่งนี้พระองค์คงเสด็จไปยังห้องทรงพระอักษร พวกเราไปทูลถามความเห็นของฝ่าบาทดูสักหน่อยดีหรือไม่ หากฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้กษัตริย์ของประเทศเหล่านั้นเข้าพบ จะได้ให้พระองค์กำหนดเวลามาเลย เนื่องจากเรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ ควรทำการต้อนรับอย่างดี”

หนานกงอี้หยูพยักหน้าเล็กน้อย ประโยคที่ท่านอาวุโสเหวินเอ่ยลึกซึ้งมากยิ่งนัก

ก่อนหน้านั้นทุกคนคิดว่าสถานที่ที่ห่างไกลที่สุดคือแคว้นหลิว ทว่าบัดนี้เมื่อมองดูแล้วก็เห็นได้ชัดว่ามิได้เป็นดังนั้น

ก่อนหน้านั้นทุกคนคิดว่าพื้นที่แห่งนี้มีเพียงห้าแคว้นที่คอยแย่งชิงกันอยู่ ทว่าบัดนี้เหมือนพวกเขาเองก็มิรู้ว่าศัตรูมีมากมายเท่าใด

“มีประเทศใดบ้างที่ยื่นพระราชสาส์นตราตั้งเข้ามา ? ”

“มีหลู่ซ่ง เปอร์เซีย อาหรับ เกาหลี ซีเซี่ยและราชวงศ์เหลียว หนึ่งในนั้นราชวงศ์เหลียวแข็งแกร่งที่สุดและมีพื้นที่กว้างขวางที่สุด เรื่องเป็นเช่นนี้… เมื่อคราที่ซีเซี่ยทำสงครามกับราชวงศ์เหลียว ฝ่ายซีเซี่ยสู้มิได้จึงส่งพระราชสาส์นตราตั้งมายังต้าเซี่ยของพวกเราโดยหวังจะขอความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันเมื่อราชวงศ์เหลียวทราบเรื่องนี้เข้าก็ได้ส่งพระราชสาส์นตราตั้งมายังต้าเซี่ยโดยหวังว่าต้าเซี่ยจะมิเข้าไปข้องเกี่ยวเรื่องสงครามระหว่างทั้งสอง”

“เรื่องนี้ราชทูตใหญ่จากซีเซี่ยรู้สึกกังวลใจมากยิ่งนัก เดิมทีข้าเองก็มิอยากสนใจเพราะมิรู้ว่าหากนำพระราชสาส์นตราตั้งเหล่านี้ยื่นต่อฝ่าบาทแล้ว… ฝ่าบาทจะทรงลำบากพระทัยหรือไม่ ? ”

หนานกงอี้หยู่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “มิเป็นไร ! ให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัยเองเถิด ส่วนพระองค์จะยอมให้กษัตริย์จากประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้นเข้าพบหรือไม่ พวกเรามิอาจคาดการณ์ได้”

ตามความคิดของหนานกงอี้หยู่ ประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้นจะมีหรือมิมีก็มิได้แตกต่างกัน แม้ว่าจะสามารถประกาศแสนยานุภาพความแข็งแกร่งของต้าเซี่ยได้… แต่ศักยภาพของต้าเซี่ยจำเป็นต้องได้รับคำชื่นชมจากประเทศเล็ก ๆ เหล่านั้นด้วยหรือ ?

เขาจึงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วสนทนาถึงหัวข้ออื่น

“นี่ก็ใกล้จะปลายปีแล้ว งานด้านการเปลี่ยนธนบัตรดำเนินไปได้อย่างเชื่องช้า พวกเราทำการก่อตั้งธนาคารเพิ่มเติมดีหรือไม่ ? ”

เมิ่งฉางผิงพยักหน้าตอบ “ธนบัตรต้าเซี่ยกำลังดำเนินการจัดพิมพ์ ปัญหาก็คือสถานที่ที่สามารถแลกธนบัตรใหม่ได้ยังมีน้อยเกินไป ก่อนหน้านี้มินานข้าได้ไปพบหลี่จินโต้วผู้ว่าการธนาคารเพื่อปรึกษาหารือถึงปัญหานี้ เขาเอ่ยว่าจำต้องไปขอความร่วมมือจากสำนักงานการค้าในแต่ละท้องที่… เพราะบัดนี้ธนาคารเพื่อราษฎรมีเพียง 5 แห่งเท่านั้น ชาวบ้านจึงมิสะดวกในการเดินทางไปแลกธนบัตร”

“เมื่อเดือนก่อน ข้าและหลี่จินโต้วได้เดินทางไปพบหยุนซีเหยียน เรื่องนี้จึงได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ทางธนาคารจะทำหน้าที่นับธนบัตรและส่งมอบไปยังสำนักงานการค้าในแต่ละเขต สำนักงานการค้าเหล่านั้นรับผิดชอบในการแลกเงิน คาดว่าคงมิเกิดปัญหาอันใดมากมายนัก”

“นี่เป็นวิธีที่ดีเลยทีเดียว ในวันพรุ่งนี้พวกเราต้องทูลปัญหานี้ให้ฝ่าบาทรับทราบว่าสถานที่แลกธนบัตรมีน้อยจนเกินไป เพื่อเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ราษฎร ควรแบ่งงานลงสู่หน่วยงานบริหารระดับเขตด้วย”

บัดนี้การค้าของต้าเซี่ยก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าประเทศที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ กลับมีธนาคารเพียง 5 แห่งเท่านั้น จึงมิเพียงพอต่อความต้องการของผู้ค้าขายเอาเสียเลย ถึงเวลาแล้วที่จะจัดการกับปัญหานี้เสียที

“มองดูแล้วธนาคารควรจัดเป็นองค์กรเฉกเช่นเดียวกันกับกรมการค้า ทว่าจำเป็นต้องใช้คนจำนวนมาก การสอบชิวเหวยในปีนี้ฝ่าบาทมิได้อยู่ที่นี่ด้วย จากตำแหน่งว่างที่เต้าถายของแต่ละมณฑลรายงานมานั้น พวกเราได้เลือกเพียงหนึ่งร้อยกว่าคนเข้ารับราชการ หากข้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็คงเลือกไว้มากกว่านี้อีกสักหน่อย”

งานชิวเหวยในปีนี้เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางออกทะเล ดังนั้นจึงมีหนานกงอี้หยู่และเมิ่งฉางผิงเป็นผู้นำ ส่วนเหวินชังไห่เป็นผู้ดำเนินการ พวกเขามิกล้ารับขุนนางมากจนเกินไป ในตอนนั้นฝ่าบาทออกทะเลด้วยความเร่งรีบและมิได้ตรัสถึงเรื่องนี้เลยสักนิด หากพวกเขารับขุนนางเข้ามาเพิ่มอีก 300 คนเพื่อเป็นตัวสำรอง แล้วฝ่าบาททรงมิประสงค์ จักจะให้พวกเขาไปชี้แจงต่อบรรดาผู้ถูกคัดเลือกเยี่ยงไร ?

“มิเป็นไรหรอก ในวันพรุ่งนี้พวกเราขอให้ฝ่าบาททรงเขียนพระราชโองการและคัดเลือกรายชื่อจากผู้ที่ถูกคัดออกมาบางส่วน จริงสิ ! ใต้เท้าเมิ่ง ข้าได้ยินมาว่าก่อนฝ่าบาทจะออกทะเล พระองค์ได้จัดสรรเงินไปยังเมืองฉางอัน เอ่อ…ข้าหมายถึงเมืองว่อเฟิงเก่าแห่งจิงซีเป่ยเต้า ฝ่าบาททรงต้องการทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เมิ่งฉางผิงทำท่าทางครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “เอ่ยไปท่านคงมิเชื่อ ฝ่าบาททรงสั่งให้กรมคลังมอบเงินจำนวน 30 ล้านตำลึงให้แก่เมืองฉางอันโดยรับสั่งให้ฉินโม่เหวินขยายเมืองฉางอัน เอ่ยว่าจะทำให้เมืองฉางอันกลายเป็นเมืองใหญ่ที่สามารถรองรับผู้คนได้มากกว่าสามล้านคน…”

หนานกงอี้หยู่ขมวดคิ้วเข้าหากัน เหตุใดต้องขยายเมืองฉางอันกัน ?

มิใช่ว่าควรขยับขยายเมืองกวนหยุนหรอกหรือ ?

บัดนี้เห็นได้ชัดว่าเมืองกวนหยุนมิอาจรองรับประชากรได้มากกว่านี้อีกแล้ว ในฐานะที่เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งในต้าเซี่ย สถานที่แห่งนี้จึงสมควรได้รับการขยับขยายมากกว่าเมืองฉางอัน เพื่อให้สามารถรองรับประชากรได้มากถึงสามล้านคน

“บางที…อาจเป็นเพราะฝ่าบาททรงรู้สึกผูกพันกับที่นั่นก็เป็นได้ พระองค์เคยดำรงตำแหน่งเต้าถายในว่อเฟิงเต้ามาก่อนมิใช่หรือ ? แล้วเช่นนั้นเหตุใดถึงเปลี่ยนชื่อจากเมืองว่อเฟิงเป็นเมืองฉางอันเล่า ? ”

“คาดว่าจะเกี่ยวกับความมั่นคงในระยะยาว ! ”

เมื่อหนานกงอี้หยู่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ทว่าเขาก็มิรู้เช่นกันว่าส่วนใดที่ผิดปกติ

เขามิได้ครุ่นคิดเรื่องนี้ต่อ ดังนั้นจึงเอ่ยออกไปว่า “เช่นนั้น… ในวันรุ่งขึ้นก็ควรทูลเสนอให้ฝ่าบาทขยับขยายเมืองกวนหยุนด้วยเช่นกัน”