ตอนที่ 774 ความไม่พอใจของโจวปิ่งฮุย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

จูยงและจูโหย่วจ้วงจงใจกล่าววาจาให้ร้ายทำลายชื่อเสียงของฉินอวี้โม่ด้วยการบรรยายให้เข้าใจไปว่านางเป็นคนไร้เหตุผลและจิตใจชั่วร้ายชอบรังแกผู้คน

ผู้นำตระกูลเฝิงก็เป็นบุคคลที่ขี้หวาดระแวงเป็นทุนเดิม ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่นึกหวาดหวั่นต่อเฝิงเยี่ยซึ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นของตระกูล แน่นอนว่าคำพูดของจูยงและจูโหย่วจ้วงทำให้ความสงสัยก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขาได้ไม่ยาก และในที่สุดเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะส่งตัวคนทั้งสองให้กับฉินอวี้โม่

“ข้าจะเดินทางไปที่จวนตระกูลโจว ช่วงนี้พวกเจ้าทั้งสองอย่าออกไปไหนเด็ดขาด !”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นและเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลโจวทันที

ในเวลานี้โจวปิ่งฮุยก็เพิ่งกลับมาถึงจวนตระกูลโจวได้ไม่นานและส่งคนออกไปรวบรวมผลึกเพลิง เมื่อทราบว่าเฝิงรุ่ยเฉิง—ผู้นำตระกูลเฝิงมาเยือน แม้ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด เขาก็อนุญาตให้อีกฝ่ายเข้าพบ

“การที่ผู้นำตระกูลเฝิงมาเยือนถึงจวนตระกูลโจวของข้าเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดรึ ?”

ในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ โจวปิ่งฮุยย่อมดูแคลนตระกูลที่ด้อยกว่าอย่างตระกูลเฝิง เขาเพียงเอ่ยถามเบา ๆ ทว่าไม่มีท่าทีสนใจเฝิงรุ่ยเฉิงอย่างเห็นได้ชัด

“ผู้นำโจว ข้ามาพบท่านวันนี้ก็เพื่อต้องการหารือเรื่องการร่วมมือกันระหว่างเรา”

เฝิงรุ่ยเฉิงกล่าวตรงเข้าประเด็นและเปิดเผยจุดประสงค์ของตนทันที

“โอ้ ร่วมมือเรื่องอะไรรึ ระหว่างเราจะร่วมมืออะไรกันได้ ?”

โจวปิ่งฮุยจิบน้ำชาอย่างสบาย ๆ และสีหน้ายังคงเรียบเฉยไม่แสดงความสนใจเช่นเดิม เขาพอจะคาดเดาได้เบื้องต้นแล้ว ทว่ายังต้องการยืนยันให้แน่ชัด

“ผู้นำโจว บุคคลที่ตรงไปตรงมาย่อมไม่พูดจาให้อ้อมค้อม ดังที่ท่านก็น่าจะทราบดี ตระกูลเฝิงของข้าและฉินอวี้โม่มีเรื่องบาดหมางกัน และสตรีผู้นั้นก็ทำให้คนตระกูลโจวต้องอับอายขายหน้าในโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดเราไม่ร่วมมือกันเพื่อกำจัดนางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต”

หลังจากกล่าวความคิดของตนออกไป เฝิงรุ่ยเฉิงก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ปฏิเสธแน่

เพราะถึงอย่างไร แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่ติดค้างอะไรกับตระกูลโจวอีก ทว่าการที่เคยมีเรื่องบาดหมางกันเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับตระกูลโจว หากมีโอกาสกำจัดนางให้พ้นทาง โจวปิ่งฮุยจะปฏิเสธได้อย่างไร ?

“โอ้ งั้นรึ ? แต่นางได้รับการคุ้มครองจากตระกูลหลาน เราจะลงมือได้อย่างไร ?”

ประกายบางอย่างฉายวาบในดวงตาของโจวปิ่งฮุยทว่าเขาก็เอ่ยถามต่อไป

“ผู้นำโจว เรื่องนี้ง่ายมาก ฉินอวี้โม่ผู้นั้นจะเข้าร่วมการคัดเลือกครานี้ แม้เรายังไม่ทราบกฎเกณฑ์ของการคัดเลือก แต่มันก็คงไม่ต่างจากครั้งก่อน ๆ มากนัก ในการคัดเลือกครานี้ ตระกูลของเราทั้งสองจะร่วมมือกันเพื่อกำจัดนาง มันคงไม่ยากเกินไป”

เฝิงรุ่ยเฉิงเตรียมแผนการไว้ในหัวแล้วทว่ายังต้องการความร่วมมือจากตระกูลโจว ไม่มีทางที่ตระกูลเฝิงของเขาจะสังหารฉินอวี้โม่ได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง

“ถือเป็นวิธีที่ดีทีเดียว”

โจวปิ่งฮุยพยักศีรษะเบา ๆ และยอมรับว่าวิธีการของเฝิงรุ่ยเฉิงก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากทีเดียว แม้ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่จะไม่ธรรมดา การร่วมมือกันระหว่างสองตระกูลก็น่าจะมากพอสำหรับการกำจัดนางเพียงคนเดียว

“ผู้นำเฝิง ท่านก็ทราบดีว่าฉินอวี้โม่มีป้ายจ้าวสมุทรติดตัวและได้รับการคุ้มครองจากตระกูลหลาน หากเรากำจัดนางในการคัดเลือกครานี้ แล้วหลังจากนั้นเราจะรับมือกับตระกูลหลานอย่างไร ?”

เขาเอ่ยถามอีกครั้งทว่าหัวใจของเขาก็ไม่ได้หวั่นไหวแต่อย่างใด โจวปิ่งฮุยมิใช่คนโง่เขลาอย่างเฝิงรุ่ยเฉิงที่คิดอะไรตื้น ๆ ช่างโง่เขลาเหลือเกินที่คิดจะกำจัดฉินอวี้โม่ระหว่างการคัดเลือกเช่นนี้

ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และอสูรพันธสัญญาที่ลึกลับของนางมิใช่คู่ต่อสู้ที่ผู้ใดจะเอาชนะได้ง่าย ๆ

และหากพวกเขาล้มเหลวขึ้นมา ความเดือดดาลอย่างไร้ที่สิ้นสุดของตระกูลหลานจะกระหน่ำถาโถมเข้าใส่ตัวพวกเขา

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ฉินอวี้โม่ถูกกำจัดสำเร็จตามแผนการ ตระกูลหลานก็ไม่มีทางอยู่เฉยอย่างแน่นอน ด้วยความโกรธเคืองของพวกเขาเพียงพริบตาเดียว ตระกูลหลานก็สามารถทำลายทั้งเมืองเทียนหยวนได้เลย

“นั่นก็ง่ายมาก การคัดเลือกครานี้มีคนเข้าร่วมแข่งขันมากมายนัก ตราบใดที่เราหาทางโยนความผิดไปให้กับอีกสามตระกูล เราก็ปกป้องตัวเองได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น การดึงอีกสามตระกูลเข้ามาเกี่ยวข้องก็เป็นผลดีสำหรับเรา”

เฝิงรุ่ยเฉิงเตรียมทางออกสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกันทว่าเขายังต้องวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ถึงอย่างไรอีกสามตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวนก็มิใช่ขุมกำลังที่เขาจะท้าทายได้ง่าย ๆ

อย่างไรก็ตาม หากเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบและวางแผนได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ มันก็จะเป็นผลดีสำหรับพวกเขาทั้งสองตระกูล

เมื่อฉินอวี้โม่ตายไป ตระกูลหลานก็ย่อมโกรธแค้นและระบายความโกรธนั้นลงที่สามตระกูลใหญ่ และเมื่อทั้งสามตระกูลถูกกำจัดไป เมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเทียนหยวนก็จะเหลือเพียงตระกูลโจวและตระกูลเฝิง เมื่อตระกูลเฝิงยึดอำนาจอำเภอซ่างหยวนและร่วมมือกับขุมกำลังขนาดเล็กอื่น ๆ ได้สำเร็จ พวกเขาก็จะมีโอกาสทำลายตระกูลโจวได้ และในตอนนั้นเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ก็จะตกเป็นของตระกูลเฝิงแต่เพียงผู้เดียว

หากมิใช่เพราะโจวปิ่งฮุยอยู่ตรงหน้า เกรงว่าเฝิงรุ่ยเฉิงคงหัวเราะลั่นอย่างสาแก่ใจไปแล้ว

“วิธีนี้ก็ถือว่าดีทีเดียว ผู้นำเฝิงวางใจได้เลย…ข้าจะบอกเรื่องนี้กับอีกสามตระกูลและฉินอวี้โม่อย่างละเอียด”

แต่ทว่า…วาจาของโจวปิ่งฮุยทำให้รอยยิ้มของเฝิงรุ่ยเฉิงชะงักค้างไปทันที

“ผู้นำโจวหมายความว่าอย่างไร ?”

เขามองโจวปิ่งฮุยด้วยแววตาสับสนและเริ่มตื่นตระหนกในหัวใจ

“เฝิงรุ่ยเฉิง คิดว่าข้าโง่นักรึ ? ข้าไม่โง่เขลาพอที่จะคิดตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉินอวี้โม่หรอก”

โจวปิ่งฮุยยืนขึ้นและจ้องหน้าเฝิงรุ่ยเฉิงอย่างไม่สบอารมณ์

“ฉินอวี้โม่เป็นผู้ครอบครองหนึ่งในป้ายจ้าวสมุทร ก่อนหน้านี้อสูรคู่กายของนางก็เอาชนะโจวหังรุ่ยได้ง่าย ๆ และพลังของนางเองก็ทรงพลังเกินหยั่งถึง เราไม่อาจทราบได้เลยว่านางยังมีไพ่ตายซ่อนไว้อีกมากเพียงใด การคัดเลือกครานี้มีข้อกำหนดด้านอายุผู้เข้าร่วมและคนที่แข็งแกร่งที่สุดในการแข่งขันก็อยู่ในระดับเดียวกับโจวหังรุ่ยและเฝิงเยี่ยเท่านั้น เจ้าคิดหรือว่าพวกเขาจะสามารถสังหารฉินอวี้โม่ได้ ?”

มันมิใช่เพราะโจวปิ่งฮุยไม่มั่นใจ หากแต่เป็นเพราะอำนาจและอิทธิพลเบื้องหลังป้ายจ้าวสมุทรนั้นมีมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาไม่ได้เห็นการต่อสู้เมื่อวานนี้ด้วยตาตัวเอง เขาก็ทราบเรื่องจากโจวหังรุ่ยและโจวเฉียนแล้ว อสูรพันธสัญญาของฉินอวี้โม่มีพลังมากพอที่จะต่อสู้กับโจวเฉียนได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง และผู้ที่เข้าร่วมการคัดเลือกในครานี้ แม้คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังด้อยกว่าโจวเฉียนอีกหลายขุม ต่อให้สองตระกูลร่วมมือกัน พวกเขาก็ไม่มีทางสังหารฉินอวี้โม่ได้สำเร็จ

ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะผู้ถือครองป้ายจ้าวสมุทร บางทีตระกูลหลานก็อาจจะมอบไพ่ตายบางอย่างเพื่อให้ฉินอวี้โม่ใช้ปกป้องดูแลตนเองและโจวปิ่งฮุยก็ไม่มีทางจินตนาการได้ว่ามันจะเป็นไพ่ตายที่ทรงพลังแค่ไหน ตระกูลโจวของเขาที่พยายามสร้างรากฐานให้มั่นคงและพัฒนาตระกูลอย่างยากลำบากมานานหลายปี ไม่มีทางที่เขาจะกล้านำทั้งตระกูลของตนเองไปเสี่ยงเดิมพันกับเรื่องเช่นนี้

“ผู้นำโจว เราก็สามารถมอบไพ่ตายให้กับศิษย์ที่เข้าร่วมในการคัดเลือกเพื่อใช้กำจัดฉินอวี้โม่ ตระกูลโจวของท่านเป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวน ท่านก็น่าจะมีบางอย่างที่ใช้ได้มิใช่หรือ ?”

ใบหน้าของเฝิงรุ่ยเฉิงในตอนนี้บิดเบี้ยวเล็กน้อยทว่ายังไม่กล้าแสดงความโกรธเกรี้ยว หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวเสริมออกไป

“ตระกูลโจวของเรามีไพ่ตายบางอย่างอยู่จริง แต่น่าเสียดาย…ข้าไม่อยากเสี่ยงกับเรื่องนี้”

โจวปิ่งฮุยกล่าวตอบเบา ๆ และในใจคิดว่าเฝิงรุ่ยเฉิงตรงหน้าช่างอ่อนหัดยิ่งนัก หากฉินอวี้โม่เป็นบุคคลที่จะกำจัดได้ง่าย ๆ ตัวเขาก็คงไม่นอบน้อมเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น อีกสามตระกูลใหญ่ก็มิใช่คนเขลาและไม่มีทางที่พวกเขาจะพลาดโอกาสผูกมิตรกับจอมยุทธ์มากพรสวรรค์อย่างฉินอวี้โม่ ระหว่างการคัดเลือกที่จะมาถึง ไม่ว่าผู้ใดที่กล้าทำอะไรที่เป็นภัยต่อฉินอวี้โม่ อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องมีใครสักคนจากสามตระกูลที่ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาหน้าเป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้น หากแผนการล้มเหลว ตระกูลโจวของเขาก็จะถึงคราวจบสิ้น

ในเมื่อฉินอวี้โม่เรียกร้องขอผลึกเพลิง นั่นหมายความว่านางจะไม่ถือโทษโกรธเคืองตระกูลโจวอีกต่อไป ในฐานะผู้นำตระกูลโจว เขาเพียงต้องยอมก้มหัวและยอมเสียผลึกเพลิงจำนวนหนึ่งเพื่อให้ทุกอย่างคลี่คลายเท่านั้น แล้วเหตุใดเขาจะต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วยการทำให้ฉินอวี้โม่ไม่พอใจและสร้างปัญหาขึ้นใหม่ด้วยการร่วมมือกับตระกูลเฝิง ?

“ผู้นำเฝิง เรื่องในวันนี้ ข้าจะแจ้งให้ฉินอวี้โม่และอีกสามตระกูลได้ทราบโดยเร็ว หากข้าเป็นเจ้า…ข้าจะกลับไปคิดหาทางรับมือกับความโกรธแค้นของพวกเขาแทนที่จะเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระกับข้าอยู่ที่นี่ !”

โจวปิ่งฮุยกล่าวออกไปอย่างไม่อ้อมค้อมและไม่อยากเสียเวลาพูดคุยกับเฝิงรุ่ยเฉิงอีกต่อไป

ปัง !

“โจวปิ่งฮุย เจ้าไม่รู้ถึงจุดยืนของตนเองจริง ๆ รึ ?!”

โทสะในหัวใจของเฝิงรุ่ยเฉิงไม่อาจซ่อนไว้ได้อีก เขาทุบโต๊ะเสียงดังและตะโกนกร้าวอย่างเยือกเย็น

“เหอะ เจ้าต่างหากที่ไม่รู้จุดยืนของตนเอง ที่นี่คือตระกูลโจวของข้า หากยังไม่ออกไป อย่ากล่าวโทษที่ข้าจะเตะไล่เจ้าออกไปก็แล้วกัน !”

แน่นอนว่าโจวปิ่งฮุยไม่เกรงกลัวเฝิงรุ่ยเฉิงแม้แต่น้อย เขาแค่นเสียงเย็นชาและแผ่แรงกดดันออกไปกดข่มฝ่ายตรงข้ามทันที

“แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ !”

ใบหน้าของเฝิงรุ่ยเฉิงในตอนนี้บิดเบี้ยวเหยเกอย่างที่สุด เขาเพียงกล่าวทิ้งท้ายและหันหลังกลับเพื่อจากไป

“คนที่ต้องเสียใจคือเจ้าต่างหากล่ะ !”

โจวปิ่งฮุยไม่แยแสคำข่มขู่ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขาเชื่อมั่นว่าจะไม่มีวันเสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้อย่างแน่นอน

ทว่าในขณะที่เฝิงรุ่ยเฉิงกำลังเดินออกจากจวนตระกูลโจว เขาก็ได้ยินเสียงเรียกจากใครสักคนดังมาจากข้างหลังตน

“ผู้นำเฝิง ช้าก่อน…”

โจวเฉียนและโจวหังรุ่ยผู้ซึ่งดักรออยู่ที่นี่เดินออกมาจากมุมมืดและเอ่ยหยุดเฝิงรุ่ยเฉิงไว้

“ผู้นำเฝิง เราทั้งสองได้ยินสิ่งที่ท่านกล่าวกับผู้นำของเราแล้ว ผู้นำโจวไม่รู้ถึงจุดยืนของตนเองจริง ๆ ทว่าพวกเราสนใจในข้อเสนอนี้อย่างมาก เราไปหาที่นั่งคุยและดื่มกันจะดีกว่า”

โจวเฉียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มและแววตาฉายชัดด้วยจิตสังหารรุนแรง หากกำจัดฉินอวี้โม่ได้สำเร็จ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะหักหลังตระกูลโจวและร่วมมือกับเฝิงรุ่ยเฉิง

“เข้าใจแล้ว ไม่มีปัญหา”

เฝิงรุ่ยเฉิงไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนตอบตกลง ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลโจว การที่โจวเฉียนต้องการร่วมมือกับเขาก็ถือว่ายังมีโอกาสอยู่ไม่น้อย…

ไม่ว่าเฝิงรุ่ยเฉิงและโจวเฉียนจะหารือวางแผนกันอย่างไร เวลาสามวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวชั่วพริบตา

และวันนี้คือวันงานประมูลครั้งใหญ่ของศูนย์การค้าจ้าวสมุทรแห่งเมืองเทียนหยวน

ฉินอวี้โม่ก็พาฉื่อไท่หลางและศิษย์ตระกูลฉื่อคนอื่น ๆ มุ่งหน้าไปยังศูนย์การค้าตั้งแต่เช้าตรู่

เวลานี้หลานเผิงก็รอต้อนรับอยู่หน้าศูนย์การค้าด้วยตัวเอง เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินเข้ามาจากระยะที่ห่างออกไป เขาก็เดินเข้าไปทักทายอย่างมีความสุข

ในวันนี้ ฉินอวี้โม่เปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตนและสวมอาภรณ์ยาวสีขาวสะอาดเสริมความโดดเด่นให้กับรูปลักษณ์ที่งดงามดุจนางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติ กอปรกับกลิ่นอายความสง่างามที่ยากจะละสายตา ทันทีที่ปรากฏตัว นางก็ตกเป็นเป้าสายตาดึงดูดความสนใจของทุกคน

“ว้าว ! ข้าได้ยินมานานแล้วว่ารูปลักษณ์ของจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่นั้นงดงามอย่างยิ่ง เมื่อได้เห็นกับตาตัวเองในตอนนี้ เกรงว่าแม้แต่นางฟ้านางสวรรค์ก็เทียบกับนางไม่ได้ด้วยซ้ำ”

ใครคนหนึ่งอุทานด้วยความตกตะลึง วันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่มาที่นี่เพื่อยลโฉมของ ‘ฉินอวี้โม่’ ผู้เลื่องชื่อไปทั่วทั้งเมืองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ต่อให้ไม่ได้เข้าร่วมงานประมูล ขอเพียงได้เห็นใบหน้าของนางด้วยตาตัวเอง มันก็คุ้มค่าสำหรับพวกเขาแล้ว

“เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่ แม้แต่สตรีที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลใหญ่ ๆ ของเมืองเทียนหยวนก็ยังดูหม่นหมองไปเลย”

ใครอีกคนกล่าวอย่างอาจหาญโดยไม่กังวลว่าจะทำให้ตระกูลใหญ่ไม่พอใจ ทว่าวาจาของเขาก็เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้

“ใช่แล้ว ไม่ผิดหวังเลยที่ข้ามารออยู่ที่นี่ตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง การได้พบหน้าสตรีงามชวนตะลึงเช่นนี้ ต่อให้อดหลับอดนอนก็คุ้มค่า”

วาจาของเขาอาจฟังดูเว่อร์วังเกินไป ทว่าหลายคนก็เห็นด้วยอย่างแท้จริง

“เราเข้าไปข้างในก่อนเถอะ”

เมื่อเห็นคนมากมายเริ่มรวมกลุ่มกันจับจ้องมาที่ฉินอวี้โม่ หลานเผิงก็ยิ้มเจื่อน ๆ และกล่าวก่อนนำทางนางและคณะเข้าไปภายในอาคาร

ด้วยสถานะที่ไม่ธรรมดาของนาง แน่นอนว่าไม่มีทางที่ฉินอวี้โม่จะนั่งรวมกับผู้อื่นในห้องโถงประมูล หลานเผิงนำทางพวกนางตรงไปยังห้องพิเศษที่หรูหราที่สุดของโรงประมูลซึ่งอยู่บนชั้นที่สองโดยตรง

“แม่นางอวี้โม่ ท่านและทุกคนนั่งรออยู่ในห้องนี้ก่อนเถอะ ข้าขอออกไปเตรียมความพร้อมและจะกลับมาอีกครั้ง”

ในฐานะผู้ดูแลงานครานี้ หลานเผิงจึงต้องยุ่งวุ่นวายกับการจัดเตรียมงานเป็นธรรมดา ทว่าหลังจากที่งานประมูลเริ่มต้นขึ้น ในตอนนั้นเขาก็จะมีเวลาว่างอีกครั้ง

“เข้าใจแล้ว”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ในเวลานี้นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาอยากรู้อยากเห็นจากห้องกั้นหลายห้องรอบตัวแล้ว ผู้ที่มีสิทธิ์นั่งในห้องพิเศษเหล่านี้ย่อมมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน