บทที่ 582 ไม่คิดถึงบ้านสักนิด

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 582 ไม่คิดถึงบ้านสักนิด

หลังเสร็จสิ้นมื้ออาหาร รองผู้ว่าการเจียงก็ไม่ได้รีบร้อนกลับ และอยู่ดูทีวีที่บ้านของหลินชิงเหอด้วยกันก่อน

เจียงเกิงกำลังทำการบ้านไปด้วย พอมีอะไรไม่เข้าใจเขาก็จะถามโจวเฉวี่ยน ซึ่งโจวเฉวี่ยนตอบเขาได้อย่างตรงประเด็น หลังจากนั้นก็ให้โจทย์ให้เขาทำอีก 2-3 ข้อ

เซวียเหม่ยลี่เห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉา จึงพูดขึ้นว่า “พี่รองของเขาเก่งมากจริง ๆ ค่ะ ต่อไปออกมาจะทำอะไรหรือคะ”

“ตอนนี้เขายังไม่คิดจะออกมาทำงานหรอกค่ะ ยังอยากเรียนต่ออีก” หลินชิงเหอพูด

“ยังอยากเรียนต่อหรือคะ? เรียนต่อระดับอะไรเหรอคะ?” เซวียเหม่ยลี่อดถามขึ้นไม่ได้ หล่อนเรียนจบแค่ชั้นมัธยมต้นเท่านั้น แน่นอนว่าหากเป็นในยุคนั้น วุฒิการศึกษาเท่านี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

“ปริญญาโทค่ะ” หลินชิงเหอพูด

เซวียเหม่ยลี่รู้สึกได้ถึงความสูงส่ง ส่วนรองผู้ว่าการเจียงพูดขึ้น “ถ้าเขาสามารถเรียนได้ก็เรียนต่อเถอะ”

นี่ไม่ใช่คำกล่าวที่ว่าคนยืนพูดไม่ปวดเอว[1]หรือ? ถ้าลูกชายของเขาสามารถเรียนได้สูงขนาดนี้ เขาก็ยินดีกับเขาด้วย สิ่งสำคัญคือลูกชายของเขารู้ตัวว่าตัวเองต้องการอะไร

[1] 站着说话不腰疼 หมายถึง หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันคงไม่เข้าใจ

“พ่อครับ ผมไปเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ไหม?” เจียงเกิงถือโอกาสนี้พูดออกมา

รองผู้ว่าการเจียงพยักหน้าแล้วพูด “ถ้าลูกสามารถสอบเข้าไปเรียนที่ปักกิ่งได้ พ่อต้องให้ไปอยู่แล้ว แถมพ่อกับแม่บุญธรรมของลูกก็อยู่ที่นั่นด้วย”

“แม่ครับ ถ้าผมไปปักกิ่งแล้วแม่ไม่ต้องห่วงนะ มีพ่อกับแม่บุญธรรมอยู่ด้วย” เจียงเกิงพูด

“ถึงตอนนั้นพ่อกับแม่บุญธรรมของลูกก็มีงานยุ่งแล้ว ลูกอย่าไปรบกวนพวกเขาเลย” เซวียเหม่ยลี่พูด

“เรียกว่ารบกวนคงไม่ได้มั้งคะ” หลินชิงเหอพูดยิ้ม ๆ

“คุณไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้ดื้อขนาดไหน อีกทั้งมหาวิทยาลัยที่นี่ก็ดีมากเหมือนกัน ขนาดมหาวิทยาลัยที่นี่ฉันยังกลัวว่าเขาจะสอบเข้าไม่เลย นี่มันสูงเกินเอื้อมแล้วค่ะ” เซวียเหม่ยลี่พูด

แล้วบทสนทนานี้ก็จบเพียงเท่านี้

แต่พอกลับถึงบ้านและปิดประตูแล้ว รองผู้ว่าการเจียงก็พูดขึ้นมา “ถ้าเสี่ยวเกิงอยากไปสอบ ให้เขาไปสอบที่ปักกิ่งก็ดีเหมือนกันนะ”

“เขาอยู่กับเราตั้งแต่เล็กจนโต ฉันทำใจไม่ได้หรอกนะคะ อีกอย่างถ้าไปที่นั่นแล้วฉันจะดูแลเขายังไง?” เซวียเหม่ยลี่พูด

“ถึงตอนนั้นเขาก็เข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ ยังต้องให้คุณคอยดูแลอะไรอีก เขาควรที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองได้แล้ว อีกอย่างพ่อกับแม่บุญธรรมเขาก็อยู่ที่นั่น คุณยังจะกังวลอะไรอีก?” รองผู้ว่าการเจียงพูด

เขารู้สึกชอบญาติบุญธรรมครอบครัวนี้มากอย่างไม่มีทางเลือกอื่น

เซวียเหม่ยลี่ย่อมไม่อาจวางใจให้โจวชิงไป๋และหลินชิงเหอดูแลลูกชายของตัวเอง แต่เหตุผลหลักคือหล่อนยังทำใจแยกจากลูกชายตัวเองไม่ได้

“เซี่ยงไฮ้ก็ดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าเสี่ยวเกิงอยากไปปักกิ่ง ปิดเทอมฤดูร้อนค่อยให้เขาไปก็ได้นี่คะ?” เซวียเหม่ยลี่พูด

“ผมเห็นเสี่ยวเกิงอยากไปมากจริง ๆ คุณดูเขาเมื่อเย็นนี้สิ เขาดูไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิดเดียว ผมกลัวว่ามันจะกระทบต่อการเรียนของเขาไปด้วย อีกทั้งเด็กผู้ชายน่ะ คุณไม่สามารถเก็บเขาไว้ข้างกายได้ตลอดไปหรอกนะ คุณเห็นหรือยังว่าเจ้ารองกับเจ้าสามอยากไปไหนพวกเขาก็ไปได้ด้วยตัวคนเดียว?” รองผู้ว่าการเจียงพูด

ไม่เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงบอกว่าเขารู้สึกประทับใจในตัวหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋มากขนาดนี้กันล่ะ? พวกเขาประสบความสำเร็จด้านการเลี้ยงลูกถึงเพียงนี้ เรื่องคุณสมบัติไม่ต้องพูดถึง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงเลี้ยงออกมาไม่ได้แบบนี้หรอก

พ่อกับแม่ของเขาก็เอ่ยปากชื่นชมครอบครัวนั้นเช่นกัน บอกว่าบ้านหลักตระกูลโจวนั้นเป็นคนตรงไปตรงมา เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีการศึกษา สมควรที่จะไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ

อีกทั้งยังชื่นชมในตัวท่านแม่โจวมากมายอีกด้วย

ยายเฒ่าเจียงเคยไปเจอพวกเขามาแล้ว ท่านแม่โจวนั้นไม่ได้พูดแค่เรื่องภายในบ้านแล้วยังพูดเรื่องที่ชนบท นางยังบอกอีกด้วยว่านอกจากบ้านของลูกชายคนโตแล้ว ยังมีบ้านของลูกชายคนที่สามที่ส่งลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัยด้วยเช่นกัน ลูกชายคนที่สี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาต่างได้เรียนมหาวิทยาลัยกันทั้งบ้าน

ยายเฒ่าเจียงได้ฟังก็อิจฉาแทบแย่แล้ว ครอบครัวของนางตั้งแต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีสักคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย รองผู้ว่าการเจียงก็เรียนจบแค่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเท่านั้น

หลานชายคนโตก็เรียนจบเพียงชั้นมัธยมปลายเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีลูกหลานที่เรียนจบมหาวิทยาลัยจริง ๆ เลยสักคน แต่ดูครอบครัวตระกูลนี้สิพวกเขามีคนจบมหาวิทยาลัยกันกี่คนแล้ว?

สมัยนี้นักศึกษามหาวิทยาลัยถือว่าเป็นยุคทองเลยก็ว่าได้ จะเรียกพวกเขาว่าครอบครัวที่มีการศึกษาก็ไม่เกินไปนัก

ดังนั้นรองผู้ว่าการเจียงจึงอยากให้ลูกชายคนโตของตัวเองไปมาหาสู่กับที่นั่นบ่อย ๆ และถ้าเป็นไปได้ ลูกชายของเขาก็อาจจะเดินตามเส้นทางของพี่ใหญ่บุญธรรมของเขา ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะเข้ากองทัพได้หรือไม่

เขาลาออกมาหลายปีแล้ว ไม่มีเส้นสายอะไรอีกแล้ว

เซวียเหม่ยลี่รู้สึกกังวลเล็กน้อยกับคำพูดของเขา หล่อนพูดขึ้น “นี่มันส่งผลกระทบกับการเรียนของเสี่ยวเกิงจริงเหรอคะ?”

“คุณบอกเขาสิว่าถ้าเขาสามารถสอบเข้าที่ปักกิ่งได้จริง คุณจะตกลงให้เขาไปเรียนที่ปักกิ่งได้ คุณเชื่อผมเถอะแล้วคุณจะเข้าใจเอง” รองผู้ว่าการเจียงพูด

ปกติเขาจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องพวกนี้น้อยมาก เนื่องจากงานยุ่ง โดยเฉพาะปีนี้ที่ดูเหมือนกว่าเขาจะได้เลื่อนขั้นด้วยแล้ว

แต่เพื่ออนาคตของลูกชายเขา เขาจึงต้องพูดมากเช่นนี้ ให้ลูกชายเขาไปอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมบ่อย ๆ จะมีแต่ลูกชายเขาที่ได้ประโยชน์ มันจะทำให้เขาได้มองเห็นวิสัยทัศน์ที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้

แม้เซวียเหม่ยลี่จะยังทำใจไม่ได้ แต่หล่อนก็กลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อตัวลูกชายจริง ๆ จึงพยักหน้าตกลง

เช้าวันถัดมาหล่อนได้พูดเรื่องนี้กับเจียงเกิงด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวนิด ๆ เจียงเกิงได้ยินแล้วก็ดีใจจนแทบกลั้นไม่อยู่ เขาพูดทันทีว่าเขาจะต้องสอบได้คะแนนดีอย่างแน่นอน!

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะไปเรียนและทำการบ้านกับแม่บุญธรรม!

“เจ้าเด็กดื้อคนนี้ ไม่คิดถึงบ้านสักนิดเลยเหรอ ไม่อาลัยอาวรณ์แม่แล้วใช่ไหม!” เซวียเหม่ยลี่มองตามแล้วก็บ่นออกมาเมื่อเห็นลูกชายแสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้าและเดินไปนอกประตู แม้กระทั่งข้าวเขาก็ไม่กิน กลับสะพายกระเป๋าแล้ววิ่งไปบ้านพ่อแม่บุญธรรมทันที

“หนูไม่อยากจากแม่ไป” เจียงอวี๋กอดขาแม่ของตนแล้วพูดขึ้น

เซวียเหม่ยลี่ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาในพลัน แล้วอุ้มลูกสาวขึ้นมาพาไปดูทีวีด้วยกัน

ด้านเจียงเกิงที่มากินข้าวเช้าที่นี่ก็เอาเรื่องที่ตกลงกับแม่ตัวเองมาพูด

“ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่ดี แต่มหาวิทยาลัยปักกิ่งไม่ได้สอบเข้าง่าย ๆ ตอนนี้คะแนนสอบของเธอยังแขวนอยู่บนเส้นด้ายอยู่เลย” หลินชิงเหอพูด

“ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ตั้งใจเรียน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะตั้งใจเรียนแล้ว!” เจียงเกิงพูด

“งั้นก็เรียนเถอะ แม่บุญธรรมของนายจะพักผ่อนแล้ว ไม่เข้าใจอะไรก็รอให้พี่กลับมาแล้วค่อยถามก็ได้” โจวเฉวี่ยนพูด เขาอยากจะไปเดินเที่ยวที่อื่นด้วย เพราะเขาไม่ได้มาเซี่ยงไฮ้บ่อย ๆ

“ลูกไปเที่ยวเถอะ แม่เหนื่อยแล้ว” หลินชิงเหอพูดไล่

โจวเฉวี่ยนหัวเราะ เขาสะพายกระเป๋าเป๋แล้วเดินออกจากบ้าน แล้วก็พบเข้ากับกัวเมี่ยวจวินพอดี กัวเมี่ยวจวินจึงชวนเขาคุยสองประโยค

โจวเฉวี่ยนตอบกลับไปตามมารยาทแล้วก็เดินจากไป กะไว้ว่าวันนี้ถ้ากลับบ้านแล้วเขาจะถามแม่ของเขาว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กับบ้านตระกูลกัวอย่างไรบ้าง

กัวเมี่ยวจวินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาพูดกับหล่อนไม่ถึงสองประโยคก็เดินจากไปแล้ว

วันนี้หล่อนอุตส่าห์แต่งหน้ามา ที่หน้าก็ทาน้ำหอมแบบขี้ผึ้งไว้ สวมรองเท้าหนังที่ไปยืมพี่สาวเธอมา กระโปรงก็ไปยืมเพื่อนในห้องเรียนมา แถมเมื่อวานหล่อนยังพิถีพิถันสระผมเป็นพิเศษอีกด้วย….

“เมี่ยวจวินทำไมออกมายืนออกบ้านล่ะจ๊ะ” ยายเฒ่าเจียงพูดขึ้นขณะถือตะกร้าผักกลับมา

“คุณยายเจียง พอดีหนูออกมาเดินเล่นน่ะค่ะ” กัวเมี่ยวจวินรู้ถึงความสัมพันธ์ของหล่อนกับครอบครัวโจว จึงยิ้มแล้วพูด

ยายเฒ่าเจียงมองหล่อนนิด ๆ แล้วก็ชมมาประโยคหนึ่ง “วันนี้แต่งหน้าแต่งตัวสวยดีนะ จะไปไหนเหรอ?”

“ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ” กัวเมี่ยวจวินหัวเราะ แต่ในใจกลับไม่รู้สึกดีใจ คนที่เพิ่งไปเมื่อกี้ไม่แม้แต่จะอยู่ดูหล่อนสักนิดเลย

แต่หล่อนกลับมองเขาเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างจริง ๆ ไม่แปลกใจถ้าเขาจะโตมาจากปักกิ่ง บุคลิกก็ดี

…………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สู้ ๆ นะเสี่ยวเกิง พยายามสอบให้ได้คะแนนดี ๆ นะจะได้ไปปักกิ่ง

บ้านทำสัมปทานรังนกเปล่าคะเมี่ยวจวิน นกมาเป็นรังเลยค่ะ ไม่ใช่สเป็คเจ้ารองก็ลำบากหน่อยนะคะ

ไหหม่า(海馬)