GGS:บทที่ 1132 มาตรการรับมือ
หลังจากซูจิ้งไปถึงเมืองจงหยุนแล้ว แสงศักดิ์สิทธิ์ยังคงปล่อยต่อไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ซูจิ้งจะไม่แน่ใจว่าด้วยพลังที่เหลืออยู่ของเหรียญตราเทวฑูตจะทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องไปได้สักเท่าไหร่ แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าแสงนี้จะครอบคลุมพื้นที่เมืองส่วนใหญ่อย่างแน่นอน เขาวางแผนไว้ว่าหลังจากเสร็จเรื่องที่นี่จะต้องหาวิธีใช้เหรียญตรานี้ในการกำราบเงาดำนั่น
ด้วยการที่ซูจิ้งเป็นกังวลในอาการของหลัวฉือหลินเขาจึงได้ตรงไปหาหลัวฉือหลินก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อไปถึงเขาก็พบร่างของหลัวฉือหลินที่ลงไปกองอยู่กับพื้นท่ามกลางกองเลือด หน้าของเขาซีดเผือดราวกับคนที่ตายไปแล้ว
ซูจิ้งใช้นิ้วของตัวเองไปอังที่จมูกของหลัวฉือหลินเพื่อตรวจสอบ ยังโชคดีที่เขานั้นยังมีชีวิตอยู่
ซูจิ้งนำเม็ดยากำเนิดเลือดออกมา ก่อนที่จะทำการป้อนเข้าปากของหลัวฉือหลินไป เรียกได้ว่าเขานั้นทุ่มทุนสร้างกับหลัวฉือหลินอย่างมากเพราะเขานั้นได้ใช้วิธีการที่ดีที่สุดที่ซูจิ้งมี
เม็ดยานี้ซูจิ้งได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ แต่เดิมเขาค้นพบเม็ดยานี้สี่เม็ด หนึ่งใช้ในการทดสอบ หนึ่งใช้ในการรักษาชีวิตเว่ายเสี่ยวหยวน และในตอนนี้เขาจะเหลือเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากหลัวฉือหลินนั้นบาดเจ็บอย่างหนักมาก หากรักษาด้วยวิธีธรรมดาเกรงว่าจะไม่ทันอย่างแน่นอน
หลังจากป้อนยาไปแล้ว ซูจิ้งยงคงรักษาหลัวฉือหลินต่อโดยการใช้เวทย์มนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯ หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง หลัวฉือหลินได้ฟื้นขึ้นมาพร้อมสภาพที่ดีกว่าเดิม นี่แสดงว่าเข้าพ้นขีดอันตรายแล้ว
“ผมขอโทษครับนายท่าน ผมนี่ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี” หลัวฉือหลินกล่าวขอโทษขึ้นมาเป็นอย่างแรก
“ไม่ใช่ความผิดของนาย ศัตรูต่างหากที่แกร่งเกินไป ตอนนี้นายต้องรักษาตัวแล้วทำการบ่มเพาะให้ดี เพราะในอนาคตนายอาจจะต้องเจอกับศัตรูแบบนี้อีก” เมื่อพูดจบ ซูจิ้งได้นำข้าวสีน้ำเงิน ปลาเขี้ยวหยก และอาหารเสริมพลังอื่นๆและจากไป
ก่อนหน้านี้ซูจิ้งไม่เคยมีความคิดที่จะให้เหล่าคนใต้บังคับบัญชาของเขาบ่มเพาะเป็นพิเศษเพราะว่าคนเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามากแล้ว เขาจึงไม่คิดว่าจำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่เรื่องในครั้งนี้ทำให้เขาต้องคิดใหม่ในที่สุด อีกอย่างหนึ่งคือตอนนี้ทุกคนถูกสะกดจิตสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่ายิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งดีกว่าอย่างแน่นอน
ซูจิ้งได้ตรงกับไปยังหมู่บ้านตระกูลซู ทันทีที่ไปถึงเขาก็พบกับเหตุการณ์บางอย่างที่ท่าเรือ ที่นั่น เป็นซูดาเป่าและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่อยู่บนเปลสนามที่กำลังเข็นไปยังรถพยาบาลที่มีหมอและพยาบาลอยู่
ทั้งสองตกอยู่ในสภาพกึ่งตาย โดยที่ซูดาเป่านั้นมีขาที่แตกหักและเต็มไปด้วยบาดแผล
“ขอฉันดูหน่อย” ซูจิ้งแหวกฝูงชนเข้าไป นี่ทำให้ทุกๆคนต้องหันไปมองซูจิ้งในทันที หากเป็นคนธรรมดาคนๆนั้นคงโดนด่าออกมาแล้วที่มาขัดขวางการช่วยชีวิตแบบนี้
หากหยุดมือในทุกๆครั้งที่มีคนร้องขอ อย่าว่าแต่จะถึงโรงพยาบาลเลย ดีไม่ดีจะตายตรงนี้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อนี่คือซูจิ้ง แน่นอนว่าทุกคนยินดีที่จะหยุดมือลง
อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ทั้งหมอและพยาบาลไม่รู้จริงๆว่าคนไข้ทั้งสองของพวกเขานั้นเป็นอะไรกันแน่ นี่จึงทำให้ไม่รู้ว่าจะช่วยทั้งสองได้ยังไง แต่ในเมื่อหมอเทวดามาอยู่ตรงหน้า นี่ที่ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว
“อาจิ้ง เธออยู่นี่ก็ดีแล้ว สองคนนี้ไม่รู้เป็นอะไรอยู่ๆก็หมดสติเลย”
“ใช่แล้ว แถมผู้อาวุโสนี่ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ก่อนหน้านี้อยู่ๆเขาก็วิ่ง วิ่ง แถมวิ่งเร็วแบบสุดแล้วจู่ๆก็ล้มไปกองกับพื้นเลย”
ซูจิ้งได้ทำการตรวจสอบอาการของซูดาเป่าและชายวัยกลางคนในทันที เขาพบว่าทั้งคู่ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บร้ายแรงอะไร บาดแผลส่วนใหญ่นั้นนอกจากขาของซูดาเป่าแล้ว รอยแผลทั้งหมดมาจากการล้มไปเท่านั้น
แต่ที่เขาพบก็คือที่ทั้งสองหมดสติและปางตายเป็นเพราะวิญญาณและจิตวิญญานของทั้งสองคนนั้นได้รับการบาดเจ็บอย่างหนัก เกรงว่ายาในปัจจุบันนั้นยากที่จะรักษาได้
ซูจิ้งได้ใช้กระแสจิตของตัวเองส่งตรงไปยังสมองของคนทั้งสอง ทั้งสองถูกซูจิ้งสะกดจิตและมีอาการดีขึ้นมา หลังจากผ่านไปสักพัก ทั้งสองก็ได้ฟื้นขึ้นมา ถึงแม้น่าตายังตื่นตระหนกอยู่บ้างแต่ดูแล้วก็ไม่มีอันตรายใดๆ
ที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเพราะร่างเงาดำต้องการเพียงหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็วเท่านั้นจึงไม่อยากจะทำให้อะไรให้ผิดสังเกต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ทั้งสองไม่ได้มีค่าอะไรกับมันเลย ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ไม่มีทางรอดมาถึงตอนนี้ได้
“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว อาจิ้งนี่ฝีมือแพทย์สุดยอดจริงๆ”
“แหงสิ นายไม่รู้รึว่าเขานั้นเป็นใครกัน”
ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆอดไม่ได้ที่จะกล่าวสรรเสริญซูจิ้งออกมา ถึงแม้ซูจิ้งจะยินดีแต่ก็ไม่อาจอยู่นานได้ หลังจากส่งทั้งสองไปโรงพยาบาลแล้ว ซูจิ้งก็กลับไปที่บ้านในทันที
เมื่อกลับไปถึง ซูจิ้งโทรหาไป๋ฮิตูให้มาหา ไม่นานนักไป๋ฮิตูก็ได้มาถึง ซูจิ้งได้นำธงหลอนจิตที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯจูเซียนออกมา ก่อนที่จะมอบให้ไป๋ฮิตูก่อนที่จะหันไปบอกเสี่ยวจินว่าให้ไป๋ฮิตูขี่หลังพร้อมทั้งบอกสิ่งต่างๆที่ไป๋ฮิตูต้องกระทำออกไป
แน่นอนว่าจินเตี๋ยวนั้นไม่ยินดีแม้แต่น้อยที่จะให้คนอื่นมาขี่หลังของมันแบบนี้ แต่จินเตี๋ยวก็รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนจึงยอมที่จะละความต้องการส่วนตัวออกไป
ไป๋ฮิตูที่ขี่หลังจินเตี๋ยวนั้นได้บินตรงไปยังเส้นทางหนึ่ง หลังจากบินไปได้หนึ่งร้อยกิโลเมตร ไป๋ฮิตูได้ทำการกางธงหลอนจิตออกมา
เป็นตอนนั้นเองที่หน้าผีออกมาจากธง แน่นอนว่ามันเองก็คือปีศาจร้ายตนหนึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อมันได้ออกมานั้นก็ต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด นั่นก็เพราะว่าพื้นที่ตรงนี้ยังอยู่ในรัศมีของแสงชำระล้าง
ไป๋ฮิตูยังคงทำซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆเป็นระยะ นี่คือการตรวจสอบระยะแสงชำระล้างของเหรียญตราเทวฑูตนั่นเอง
และเมื่อผลสุดท้ายมาถึงก็ต้องทำให้ซูจิ้งถึงกับต้องประหลาดใจในทันที นั่นก็เพราะแสงชำระล้างนั้นมีอนาเขตมากกว่าสองพันกิโลเมตร นี่เรียกได้ว่าเกือบทั่วทั้งประเทศจีนเลยทีเดียว
แน่นอนว่าหากยิ่งห่างออกไปแสงชำระล้างก็จะยิ่งอ่อนแรงลง แต่นี่แสดงให้เห็นว่าเหรียญตราเทวฑูตนั้นพัฒนาจากเดิมจนทรงพลังอย่างมาก
ถึงแม้ว่าอสูรหลอนวิญญาณที่ซูจิ้งใช้วัดผลนี้อาจจะไม่ทรงพลังเท่ากับร่างเงาดำก็ตาม ต่ออย่างน้อยๆเขาก็ไม่ต้องกลัวร่างเงาดำนั่นเข้ามาประชิดหรือก่อเรื่องใกล้ๆอย่างแน่นอน
“ตราบใดที่ฉันยังใช้เหรียญตราเทวฑูตนี้อย่างน้อยๆครึ่งนึงของประเทศก็น่าจะปลอดภัยล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาราวกับผ่อนคลายไปแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะวางใจได้แม้แต่น้อย
การที่ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้หลุดรอดออกมาจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องดี ต่อให้เขานั้นอยากจะผ่อนคลายยัง เมื่อรู้แล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำ สิ่งที่เขาเลือกที่จะทำในตอนนี้ก็คือหาวิธีป้องกันและกำราบร่างเงาดำนั้นให้ได้
“เอาเป็นว่าเริ่มจากการเพิ่มระยะของแสงชำระล้างนี่ก่อนแล้วกัน….
เหรียญตราเทวฑูตนี่ยิ่งดูดซับพลังวิญญาณมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้พลังวิญญาณของฉันแข็งแกร่งขึ้นล่ะนั่นส่งผลต่ออาณาเขตของแสงชำระล้างนี้…..
หากฉันยังทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเป็นไปได้ว่าแสงชำระล้างจะครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก….แล้วเจ้าเงาดำนั่นจะทำยังไงล่ะ
ยังไม่ตั้งพูดถึงทั้งโลกดีกว่า เอาแค่ขยายขอบเขตก่อนก็พอ นี่ฉันต้องมีความนิยมชมชอบอีกเท่าไหร่กันนะ” ซูจิ้งคิดอย่างหนัก
ซูจิ้งนั้นรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คู่มือของร่างเงาดำนั่น แต่ด้วยเหรียญตราเทวฑูดนี้ทำให้เขานั้นสามารถต่อกรกับร่างเงาดำนั่นได้ แน่นอนว่าในตอนนี้สิ่งที่เขานั้นสมควรจะทำที่สุดก็คือการพัฒนาเหรียญตราเทวฑูตนี้
คิดได้ดังนั้น ซูจิ้งได้ทำการนั่งลงกับพื้นและเริ่มดูดซับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ในทันที ด้วยการที่ก่อนหน้านี้เขาทำเรื่องเหลือเชื่อมากมายจนทำให้ผู้คนนั้นสรรเสริญและศรัทธาเขาอย่างต่อเนื่อง
และด้วยการที่เขาทำนู่นทำนี่เอาไว้ทำให้เหรียญตราเทวฑูตยังคงได้รับแรงศรัทธาอย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่ว่าเป็นจิตวิญญาณของเขาที่ไม่สามารถดูดซับได้หมดในคราวเดียวจึงเป็นเหตุผลทำให้เหรียญตรานี้พัฒนาขึ้นแทนอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่คิดว่ากลับกลายเป็นช่วยเขาไว้ในตอนนี้เหมือนกัน
ในตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ก็เหมือนดังผู้คนที่ต่อให้อยากกินผลไม้ขนาดไหนก็กินได้ไม่หมดในคราวเดียวจึงเลือกกินเฉพาะผลดีๆ ส่วนที่เหลือก็ปล่อยเอาไว้อย่างนั้น
ตอนนี้ ซูจิ้งไม่เพียงจะไม่ปล่อยผ่านอีกต่อไป เขายังทำการเพ่งจิตของตนเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณจากทั่วทั้งทุกมุมโลกเอาไว้ต่อให้จะเล็กจะน้อยเขาก็ไม่คิดจะละเลย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ซูจิ้งก็ได้ทำการฟื้นฟูจิตวิญญาณของตัวเองที่เกิดจากการโจมตีของร่างเงาดำนั่น พร้อมกันนั้น ซูจิ้งได้เริ่มวางแผนแผนหนึ่งขึ้น และในแผนการนี้จะเป็นการทำเพื่อสร้างแรงศรัทธาต่อเขาให้เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้