GGS:บทที่ 1133 ตัวตนแห่งโลก
หลังจากชั่วเวลาหนึ่ง ซูจิ้งก็ได้ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทางวิญญาณที่เงาดำจนหายได้สมบูรณ์
หลังจากนั้นซูจิ้งได้โทรไปหาเว่ยเสี่ยวหยวน ซูฉือ เฉิงหนาน และคนอื่นๆเพื่อจะขอความเห็นและหาสถานที่ที่จะทำให้เขานั้นเด่นสะดุดตาที่สุดในโลกหล้าถ้าเขาได้ทำการแสดงออกไป
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ทุกคน อดไม่ได้ที่จะแสงท่าทีอึ้งๆออกมาพลางนึกถามอยู่ในใจว่าแค่นี้ซูจิ้งยังเด่นไม่พออีกรึไงกัน ทำหมอนี่ถึงกลายเป็นพวกชอบเด่นชอบดังแบบนี้ได้เนี่ย
แต่ที่พวกเขาไม่รู้นั่นก็คือ ซูจิ้งสุดจะรังเกียจและไม่อยากจะเด่นดังเลยสักนิด แต่ถ้าเขายังคงทำตัวไม่โดดเด่นล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่เขานั้นจะพัฒนาจิตวิญญาณตัวเองไปได้ เฮ้ออออ
นอกจากนี้ ซูจิ้ง ยังได้ให้เฉิงหนานตั้งกองทุนขึ้นมาโดยจะใช้เป็นช่องทางในการบริจาคเงินไปยังเหล่าผู้ยากไร้และสร้งโรงเรียนในพื้นที่ธุรกันดาร
โดยความหวังที่ว่าจะทำให้ผู้คนศรัทธาเขามากขึ้นและจะเป็นช่องทางหลักในการทำให้เขาได้รับแรงศรัทธาตอบแทนมา
การก่อตั้งกองทุนในรูปแบบมูลนิธินี้เรียกได้ว่าเป็นช่องทางที่ดีที่สุดในการเรียกแรงศรัทธาจากผู้คนให้เขาเลยก็ว่าได้
ถึงแม้ว่าในคราวนี้มันจะดูเป็นการตอบสนองความต้องการของเขาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งก็ตาม แต่ในความจริงนั้น หากเขาไม่ทำ โลกนี้ก็จะไม่ปลอดภัย หากไม่เป็นเช่นนี้แน่นอนว่าเขาคงไม่ทำแม้แต่น้อย
ในตอนนี้ จำนวนเงินที่เขาได้รับมานั้นจะช่วยเขากรุยทางเพื่อเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ของขยะห้วงเวลาโดยการใช้ที่ได้สร้างแรงศรัทธา และนี่ จะทำให้อัตราการเพิ่มของค่าใช้ประโยชน์กลับมาสมดุลอีกครั้ง
หลังจากที่ซูจิ้งอธิบายสิ่งต่างๆที่ทุกคนต้องทำออกไปแล้ว ซูจิ้งได้ไปยังชั้นแรก เขามีความตั้งใจจนกว่าเขาจะมีที่ที่จัดแสดง
เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากที่ไหนกันแน่ เพื่อที่จะได้รู้ว่าเจ้าเงาดำนั่นคือตัวอะไรกัน อย่างที่เขาว่ากันว่ารู้เขารู้เราชัยชนะอยู่แค่เอื้อม
ใครจะไปรู้ เขาอาจจะรู้จุดอ่อนหรือไม่ก็หาวิธีที่ดีกว่านี้ในการจัดการมันก็ได้
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังมีเรื่องคาใจอยู่ เขาตรงเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะฯห้วงเวลา สิ่งที่ยังคาใจเขาอยู่ก็คือเงาดำนั่นทำไมถึงสามารถออกไปจากที่นี่ได้ทั้งๆที่กางกำแพงมิติไว้แล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามฉิงหยุนออกมาเป็นอย่างแรก
ฉิงหยุนตอบกลับออกมาว่า “แน่นอนว่าตัวฉันนั้นคือเจ้านายของมิติแห่งนี้ และฉันเองก็ยังสามารถที่จะให้นายท่านเข้าหรือออกที่นี่ได้ตามใจปรารถนา แม้แต่แสงชำระล้างที่ท่านใช้ฉันเองก็ยังปล่อยให้มันออกไปได้หากท่านต้องการ แต่ก็ต้องแลกกับการใช้ปฏิสสารเล็กน้อยด้วยเหมือนกัน”
“ต้องใช้เท่าไหร่กัน” ซูจิ้งถามออกมา
“แค่เล็กน้อยค่ะ เพียงแค่0.1กรัมต่อปี” ฉิงหยุนตอบออกมา
0.1กรัมต่อปีถึงแม้จะดูมากไปหน่อย แต่เมื่อเทียบกับปริมาณของเงินที่ซูจิ้งทำได้และนำไปใช้ผลิตปฏิสสารแล้วไม่ได้มากมายอะไรเลย
ซูจิ้งจึงให้ฉิงหยุนเพิ่มหน้าที่โดยการควบคุมให้กำแพงมิติปิดกั้นต่อทุกอย่างยกเว้นแสงศักดิ์สิทธิ์
ซูจิ้งได้กลับเข้าไปที่ลานทิ้งขยะห้วงเวลาฯ ในตอนนี้เขาไม่ได้สนใจทะเลกองกระดูก ตะขาบยักษ์ หรือต้นไม้ยักษ์แม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เขาสนในตอนนี้ก็คือโลงของเงาดำนั่น
เมื่อซูจิ้งไปถึงโลงดำนั่นก็ได้เข้าทำการตรวจสอบทันที โลงนี้มีสีดำทมิฬและกลิ่นอายที่ชวนหลอกหลอน เพียงแค่จ้องมองก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของปีศาจในทันที
แน่นอนว่าโลงศพนี้ย่อมไม่ธรรมดา แต่ในเมื่ออยู่ภายใต้แสงแห่งการชำระล้างทำให้ไอปีศาจนี้ไม่ได้แผ่ออกมา
“พอคิดมาว่าตัวฉันนั้นไม่ได้ต้องการไอ้ของแบบนี้ก็จริง อืมมม….. แต่ฉันก็พอมีของที่พอเหมาะพอเจาะอยู่ล่ะนะ” ซูจิ้งคิดด้วยหัวใจที่เต้นแรงก่อนที่จะให้ฉิงหยุนย้ายโลงศพนี้ไปยังพื้นที่ทั่วไปเพื่อไม่ให้ไอมารแผ่ออกมาและเขาก็ได้นำธงหลอนจิตออกมา
ด้วยการที่เจ้าหน้าผีที่อยู่ในธงหลอนจิตนั้นก็เป็นปีศาจชนิดหนึ่งและโลงนี่เองก็ผลิตไอมารออกมาด้วยเช่นเดียวกัน นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นอีกสิ่งที่พอเหมาะพอเจาะ
ภายในโลงนั้น ซูจิ้งได้เห็นเจ้าหน้าผีค่อยๆโผล่ออกมา ในทันทีที่มันเห็นโลงนี่พร้อมกับไอมารที่แผ่อยู่ภายในนั้น เป็นอย่างที่ซูจิ้งคาดไว้ มันแสดงท่าทางดีใจออกมาก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในโลงพร้อมทั้งปิดฝาโลงในทันที
ซูจิ้งที่เห็นท่าทีของเจ้าหน้าผีก็ไม่ได้มีท่าทีห้ามปรามแต่อย่างใด เจ้าหน้าผีของซูจิ้งนี้โดนซูจิ้งควบคุมสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว
และเอาจริงๆท่าหากเขาจะใช้เจ้านี่มันย่อมมีประโยชน์ดีกว่าสิ่งใด แน่นอนว่าการที่มันแข็งแกร่งขึ้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหากว่ามันแข็งแกร่งจนพอจะใช้สู้ได้ล่ะก็ยิ่งดี
หลังจากเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้ตรงไปยังขยะฯกองกระดาษ เสี่ยวไป๋กำลังซ่อมแซมกระดาษกองนี้อยู่ และเกือบทั้งหมดได้รับการซ่อมแซมแล้ว
ซูจิ้งไม่ได้เข้าไปกวนเสี่ยวไป๋แต่อย่างใด เขาวางแผนว่าจะรอให้เสี่ยวไป๋ซ่อมเสร็จทั้งหมดก่อนแล้วค่อยดูทีเดียว ในตอนนี้เขาเลือกที่จะจัดการขยะฯกองอื่นก่อนแล้วเลือกของที่เขาสนใจออกมา
ในของทั้งหมดนั้น เขาได้พบกับกระดองหนึ่งที่แตกหัก มันเต็มไปด้วยลวดลายแปลกๆราวกับหยกก้อนหนึ่ง ยิ่งดูก็ยิ่งไม่ธรรมดา
ส่วนกองกระดูกเหล่านั้น ซูจิ้งเองแน่นอนว่าย่อมสนใจ กระดูกส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่แตกหักและไม่มีชิ้นดี แต่เพียงแค่ดูเศษชิ้นส่วนเหล่านี้ก็พอเพียงที่จะรู้ได้เลยว่าตอนที่สิ่งเหล่านี้มีชีวิตอยู่นั้นตัวใหญ่มากมายเพียงใด
ยกตัวอย่างเช่นหัวกระโหลกหนึ่งที่มีความสูงราวตึกหนึ่งชั้น ฟันที่มีขนาดไม่ต่ำกว่าหนึ่งเมตร แม้แต่กระดูกท่อนหางที่ยาวหลายเมตรจนยากจะขาดเดาเพราะส่วนหนึ่งจมฝังลงไปในกองกระดูก สิ่งเหล่านี้ยามมีชีวิตอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นสัต์ประหลาดอย่างแท้จริง
ซูจิ้งเองที่ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัยจนเขาอดทนรอไม่ได้อีกต่อไป เขาให้เสี่ยวไป๋เข้าซ่อมแซมของที่เขาต้องการ เปลือกที่มีลวดลายแปลกประหลาดกลับกลายไข่ฟองยักษ์ แน่นอนว่าภายในของมันนั้นกลวงโบ๋
ส่วนกระดูกของสัตว์ยักษ์นั่นเมื่อคืนสภาพเดิมแล้วมันช่างใหญ่ยักษ์ราวกับไดโนเสาร์ แต่มันก็ไม่ได้เหมือนกับไดโนเสาร์ที่เขารู้จัก มันช่างดูพิลึกพิลั่นและทรงพลัง ต่อให้คนธรรมดามาเห็นล่ะก็แน่นอนว่าย่อมสัมผัสได้แต่แรกเห็น
“…..พระเจ้า…..ไม่ใช่ว่าโครงกระดูกนี่คือกระดูกของมังกรหรอกนะ….แล้ว….ก้อนไข่หยกนั่นคงไม่ใช่
….ไข่มังกร…เหรอ” ซูจิ้งคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาพร้อมปากที่อ้ากว้าง
ในตอนนี้ซูจิ้งได้ตรงไปยังขยะฯกองกระดาษเพื่อดูเอกสารที่เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมในทันที เขาเริ่มอ่านกระดาษเหล่านั้นและได้ข้อมูลมาพอสมควร เขาได้ทำการจัดการข้อมูลเหล่านั้นในจิตใต้สำนึกในทันที
อิกดาซิส ชิชาง ยู่คง นิพพาน ชางเชิง หลงเต๋า ประตูแห่งความไม่ตาย ตระกูลตู่กู้ มหาวิทยาลัยเป่ยโต๋ว สำนักไป๋ลู่ สำนักโตวเชิน สำนักผีดิบ สำนักลี่เชิน ตระกูลผู้ใช้ซากศพ สำนักหยวนหลิง เกาะแห่งความว่างเปล่า วังนกเพลิง วังปีศาจ
ซูจิ้งได้ทำการเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้ด้วยวิถีแห่งใต้หล้าในทันที สมองของเขาแล่นอย่างรวดเร็วและจัดเรียงข้อมูลทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
และชั่วขณะหนึ่ง ซูจิ้งก็ได้คำตอบและพูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ขยะฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯนิจนิรันด์อย่างงั้นเหรอ ถ้างั้นเงาดำนำสมควรจะเป็นปีศาจอย่างแน่นอน….ผู้ไม่มีวันตายงั้นเหรอเนี่ย”
ในห้วงเวลาฯนิจนิรันด์นั้นถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยเกาหวูฮ่าว โลกแห่งนั้นเต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์นับร้อยเผ่า มีสงครามเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงโบราณกาลระหว่างแต่ละเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งประดุจดั่งเทพเจ้า คนเถื่อนที่ทรงพลัง และสัตว์แห่งโลกเซียนที่อยู่กันเป็นเผ่าพันธุ์ ผู้คนที่งดงามและทรงพลังประดุจดั่งพระเจ้า
เป็นดินแดนที่มีเรื่องราวในตำนานของโลกที่ซูจิ้งอยู่โลดแล่นไปดั่งเรื่องปกติ
ซุยเร็น อาศัยอยู่ในดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้ โยวเชาสร้างรังอยู่บนท้องฟ้า ฟูไซหลอมเหล็กนับล้านพันจนกลายเป็นภูเขาทองแดง ณ ขั้วโลกตะวันตก ทะเลจีนใต้เต็มไปด้วยนักบวชผู้สูญเสียแรงศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า
เสี่ยวเชินที่เป็นตัวเอกของเรื่องได้ถูกนำไปยังโลกของเหล่าผู้ไม่ตายด้วยเหตุบังเอิญ ตั้งแต่เริ่ม เขานั้นอยู่ในหลงเต๋า เกาะต้องห้ามที่มีมังกรเดินเล่นไปมาอยู่ทั่วไปหมด
ในเมื่อขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯนิจนิรันด์ล่ะก็ ไม่แปลกใจเลยที่ขยะห้วงเวลาฯกองนี้จะมีของอย่างมังกร ไข่มังกร ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ ตะขาบยักษ์ วิญญาณร้าย และของในตำนานอย่างอื่น
ส่วนเงาดำนั่นสมควรเป็นวิญญาณของเหล่าผู้ไม่ตาย ด้วยการที่ได้เห็นสิ่งน่าเหลือเชื่อปรากฎอยู่ตรงหน้าแบบนี้ทำให้ซูจิ้งนั้นยากจะนึกออกจริงๆว่าการมีชีวิตอยู่ที่นั่นจะยากเย็นเพียงใด
ในตอนนี้หน้าตาของซูจิ้งไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้ว เงาดำนั่นทรงพลังเกินไป อย่างไรก็ตาม ขยะฯกองนี้น่าจะพอมีอะไรที่พอจะเล่นงานเงาดำนั่นได้อยู่บ้าง ในตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯถึงไม่สามารถกักขังเงาดำนั้นได้
ยิ่งไปกว่านี้คือเงาดำนั่นได้บอกว่าอยู่ในระหว่างการฟื้นฟู หากว่ามันสามารถรักษาตัวเองได้สำเร็จล่ะก็ไม่รู้เลยว่ามันจะกลับมาทรงพลังแค่ไหน