ตอนที่ 1494 ไปที่ไหน Ink Stone_Fantasy
แต่ยังไม่ทันที่โรแลนด์จะได้สัมผัสกับการรับรู้ที่ถูกขยายออกไปหลายหมื่นเท่าว่ามันเป็นอย่างไร ด้านนอกบอทธ่อมเลสแลนด์พลันมีการเปลี่ยนแปลงใหม่เกิดขึ้นมา
ด้วยความสามารถในการรับรู้ที่ถูกขยายเพิ่มขึ้นหลายหมื่นเท่า เขา ‘มองเห็น’ วัตถุทรงกระบอกที่สมมาตรขนาดใหญ่อันหนึ่งลอยขึ้นมาจากใต้ท้องทะเล ก่อนจะพุ่งขึ้นมาสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน เจ้าสิ่งนั้นก็พุ่งผ่านน้ำทะเลที่ลึกพันกว่าเมตร ก่อนจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ความกว้างของมันประมาณเกาะทะเลหลายสิบเกาะรวมกัน ส่วนความยาวนั้นยาวจนน่าตกใจ เนื่องจากขนาดอันมหึมาของมัน ในตอนที่มันลอยขึ้นมาจึงทำให้น้ำทะเลไหลย้อนกลับจนกลายเป็นน้ำวนที่มีรัศมีประมาณร้อยกิโลเมตรเกิดขึ้นตรงด้านหนึ่งของบอทธ่อมเลสแลนด์
แต่การเคลื่อนไหวของมันก็ไม่ได้หยุดลงเท่านั้น
วัตถุทรงกระบอกนั้นพุ่งลอยขึ้นไปบนฟ้าราวกับว่ามันไม่มีน้ำหนัก ความเร็วในการลอยขึ้นไปของมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานมันก็ลอยขึ้นไปเหนือเกาะลอยฟ้าเอเลนอร์ ทุกคนที่อยู่บนเกาะต่างเห็นภาพเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อนี้ — รอบๆ วัตถุทรงกระบอกขนาดมหึมาไม่มีแสงไฟ แล้วก็ไม่มีเสียงหึ่งๆ ของเครื่องยนต์ที่ใช้ขับเคลื่อนด้วย การลอยขึ้นไปของมันเรียกได้ว่าไร้ซึ่งซุ่มเสียง แต่การที่มันไม่มีเสียงก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของมัน
โรแลนด์รู้ว่านั่นคือร่างหลักของผู้คุ้มครอง
หลังจากนั้นไม่นาน วัตถุทรงกระบอกก็สัมผัสเข้ากับม่านพลังของเปล โรแลนด์มองเห็นเหตุการณ์ตอนที่มันหลุดออกไปนอกดวงดาวทั้งหมดจากหลายๆ มุม — มันไม่ใช่การพุ่งปะทะ แล้วก็ไม่ใช่ว่าม่านพลังเปิดช่องให้มันลอยออกไป หากแต่ม่านพลังปกคลุมไปบนวัตถุทรงกระบอกเหมือนกับเยื่อที่อ่อนหยุ่น จากนั้นจึงยืดยาวตามวัตถุทรงกระบอกขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งม่านพลังคลุมวัตถุทรงกระบอกเอาไว้ทั้งหมด
ในตอนที่ทั้งสองแยกตัวออกไปจากดวงดาว ม่านพลังก็กลับมาเป็นสภาพเดิมอีกครั้ง
วัตถุทรงกระบอกลอยขึ้นไปบนอวกาศแล้วจึงปรับทิศทางเล็กน้อย จากนั้นจู่ๆ มันก็เร่งความเร็วขึ้นมา — พริบตานั้นเอง ตัววัตถุทรงกระบอกเหมือนกับยืดยาวขึ้นมาคล้ายกับแถบลำแสงเล็กๆ ก่อนจะหายลับไปในอวกาศเหมือนกับว่าไม่เคยมีมันมาก่อน
โรแลนด์อดส่ายหัวขึ้นมาไม่ได้
กระทั่งบอกลาก็ยังไม่พูดอะไรซักคำ นี่คือสไตล์ของร่างตรรกะอย่างนั้นเหรอ?
ก่อนหน้านี้ไม่นานยังยืนกรานที่จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ แต่ตอนนี้กลับตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปยังรอยแตกอย่างไม่ลังเล เพียงแค่การตัดสินใจและการกระทำของมันก็คงจะไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่จะเทียบได้แล้ว
ในที่สุดภัยอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดของมนุษย์ก็ถูกคลี่คลาย
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะว่างลง หลังจากนี้ยังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่เขาต้องรีบแก้ไข — อย่างเช่นคำสัญญาที่ให้ไว้กับทิลลี แล้วก็บรรลุข้อตกลงที่ให้ไว้กับปีศาจ
เรื่องที่เขาจำเป็นต้องคิดในเวลานี้ไม่เพียงแต่จะไม่น้อยลง หากแต่ยังเพิ่มมากขึ้นด้วย
เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาแค่ต้องสนใจเรื่องแพ้ชนะของมนุษย์ แต่ตอนนี้เขาต้องคิดถึงเรื่องอนาคตของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในจักรวาล
ในขณะที่ทำความเคยชินกับ ‘ร่างกาย’ ใหม่ โรแลนด์ก็เริ่มทำการค้นหาข้อมูลเพื่อใช้ตรวจสอบกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามแห่งโชคชะตา บันทึกการกระเพื่อมของโลกแห่งจิตสำนึกและสถานการณ์คร่าวๆ สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในเปล
สิ่งแรกที่เขาต้องทำย่อมต้องเป็นการปิดการทำงานของชิ้นส่วนสืบทอด
เช่นนี้สงครามแห่งโชคชะตาถึงจะถือว่าสิ้นสุดของอย่างแท้จริง
ส่วนปีศาจนั้น โรแลนด์คิดจะหาดินแดนที่มีทรัพยากรเพียงพอให้ปีศาจใช้เป็นที่อยู่อาศัย — ระยะห่างของทั้งสองที่ไม่ไกลกันจนเกินไป แล้วก็ไม่ใกล้กันจนเกินไป บางทีถ้าเป็นระบบดาวคู่เหมือนโลกกับพระจันทร์ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน
ในตอนที่ทำการตรวจสอบเปล โรแลนด์ยังเจอบางสิ่งที่คิดไม่ถึงด้วย เขาเห็นสิ่งมีชีวิตกลายมันที่ดูคล้ายรังแม่ตัวหนึ่งได้หลบหนีคำสั่งของผู้คุ้มครองไปหลบอยู่ในดินใต้ทะเลอย่างหวาดกลัว สิ่งที่โผล่ออกมาจากใต้ดินมีเพียงแค่ดวงตาที่มองไปมองมารอบๆ จากนั้นเขาจึงตรวจสอบประวัติของอีกฝ่ายย้อนกลับไป ก่อนจะพบว่ามันคือสัตว์ประหลาดที่เคยมาเยือนดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิลตัวนั้น
ดูเหมือนถึงแม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผู้คุ้มครองสร้างขึ้นมา มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่คาดไม่ถึงได้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ สุดท้ายจึงตัดสินใจปล่อยมันไป — ทันทีที่ปีศาจออกไปแล้ว มนุษย์จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างสงบสุข แต่เขาไม่อยากจะให้เปลกลายเป็นเรือนกระจกที่ใช้เพาะเลี้ยง มีการแข่งขันบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
ผู้คุ้มครองได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอาศัยเพียงการฆ่าฟันกันไม่สามารถทำให้อารยธรรมเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เส้นทางที่เขาจะเดินหลังจากนี้ต้องวางแผนให้ดี
นอกจากนี้ พวกเรื่องราวที่ผ่านมาของอารยธรรมที่อยู่ในหน่วยความจำ เขาก็ต้องกลับไปดูอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง เพราะมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการเพิ่มพูนความรู้และแรงบันดาลใจ
แล้วก็โลกแห่งจิตสำนึกเองก็ต้องทำการปรับเปลี่ยนเพื่อรักษาความสมดุลระหว่างการเพิ่มขึ้นของแม่มดและโลกแห่งความฝันเอาไว้ ที่โชคดีก็คือหลังจากลบเอาสงครามแห่งโชคชะตาไปแล้ว หน่วยความจำก็มีพื้นที่เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องรีบแก้ไขปัญหานี้ในตอนนี้
ในขณะที่โรแลนด์กำลังจัดการกับข้อมูลมหาศาล ภาพๆ หนึ่งพลันทำให้เขาหยุดมือลง
มันเป็นภาพที่มาจากส่วนลึกของบอทธ่อมเลสแลนด์
ในทางเดินที่อยู่ด้านนอกใจกลางของเปล หญิงสาวสองคนกับปีศาจตัวหนึ่งเหมือนกำลังเงยหน้ารอคอยอะไรบางอย่างอยู่
โรแลนด์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ยากจะอธิบายได้เอ่อล้นออกมาจากในหัวใจทันที เขาขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปลูบแก้วของทั้งสองคน
….ที่แท้ก็เป็นพวกเธอที่พาตัวเขามาส่งที่นี่
นับตั้งแต่วันแรกที่มายังโลกนี้ เขาก็สร้างสายสัมพันธ์อันแนบแน่นเข้ากับทั้งสองคน การอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานานทำให้เขาเคยชินกับการที่มีอีกฝ่ายอยู่ ก่อนหน้านี้ตอนที่หลอมรวมจิตสำนึกและกลายมาเป็นเปล เขามักจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป จนกระทั่งมองเห็นภาพนี้ โรแลนด์ถึงได้รู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองขาดไปมันคืออะไร
จริงอยู่ที่ในช่วงเวลานับร้อยล้านปีหลังจากนี้ เขาคงไม่อาจะจากเปลแห่งนี้ไปได้ บางทีมันอาจจะเป็นเหมือนอย่างที่ผู้คุ้มครองว่าไว้ว่านั้นเป็นช่วงเวลาอันยาวนานและสิ้นหวัง แต่ภายในใจเขากลับไม่รู้สึกกลัว
สิ่งที่เขาแตกต่างกับผู้คุ้มครองมากที่สุดก็คือไม่ว่าวันเวลาหลังจากนี้จะยาวนานเท่าไร เขาก็ไม่ต้องก้าวผ่านมันด้วยตัวคนเดียวอีก
……
……
……
หลังจากนั้น 5 ปี
อ่าวน้ำตื้น เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
ในฐานะที่เป็นหัวใจของอาณาจักรมนุษย์ ที่นี่จึงเป็นท่าเรือที่คึกคักที่สุดบนโลกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ทุกคนจะมีผู้คนจำนวนหลายหมื่นคนเดินทางมาที่นี่ เพื่อที่จะไม่ทำให้ท่าเรือแออัดแล้ว นอกจากจะมีการขยายชายฝั่งท่าเรือออกไป สำนักบริหารยังได้มีการตั้งระบบขนส่งสาธารณะขนาดใหญ่ขึ้นมาด้วย
ดันน์เองก็เป็นหนึ่งในคนที่เดินทางมายังเนเวอร์วินเทอร์
เขาเคยเป็นอดีตพ่อค้าของเมืองอีเทอร์นอลไนท์ แล้วก็เคยช่วยกองทัพที่หนึ่งในการต่อสู้กับกองทัพพันธมิตรของอัลเบน โมยา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทางสำนักบริหารจะจดความดีความชอบอันนี้เอาไว้ แล้วค่อยตามตัวเขามาหลังจากสงครามจบสิ้น หลังรู้ว่าตัวเองจะได้รับบ้านหลังหนึ่งในเมืองหลวงของเกรย์คาสเซิล เขาก็รีบพาลูกเมียเดินมาทางที่นี่ทันที — ใครๆ ก็รู้ว่าต้นทุนในการอยู่อาศัยที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นสูงมาก ในเมื่อมีโอกาสแบบนี้ เขาย่อมไม่มีทางพลาดแน่นอน
ส่วนการค้าที่ทำเงินได้เล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้ ดันน์เองก็ขี้เกียจที่จะไปสนใจมันแล้ว หากแต่หันมารับการฝึกฝนอาชีพจากสำนักบริหาร แล้วกลายเป็นคนขับรถแท็กซี่
ถูกต้อง ถึงแม้เขาจะติดต่อกับคนเนเวอร์วินเทอร์มานานแล้ว แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะก้าวหน้าได้ขนาดนี้ — รถแท็กซี่ที่ว่านี้โดยแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกับรถม้า เพียงแต่รถม้านั้นมีแต่พวกขุนนางที่ร่ำรวยถึงจะนั่งได้ แต่ที่เมืองหลวง รถแท็กซี่กลับเป็นส่วนหนึ่งของการขนส่งสาธารณะ!
พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงจ่ายเงิน ไม่ว่าใครก็สามารถสัมผัสกับประสบการณ์อันหรูหราแบบนี้ได้
แต่แน่นอนว่าก็ยังมีรถประจำทางขนาดใหญ่ที่มีราคาถูกกว่า รถคันหนึ่งสามารถบรรจุคนได้เกือบร้อยคน แต่เมื่อเทียบกับรถแท็กซี่ที่ออกเดินทางทันทีเมื่อขึ้นไปนั่ง รถประจำทางที่ออกรถตามเวลาที่กำลังและที่นั่งที่มีไม่พอนั่งนั้นดูจะลำบากมากกว่า
หลังรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่ด้านหน้ามีผู้โดยสารขึ้นไปนั่งหมดแล้ว ในที่สุดก็คือคิวรถของดันน์เสียที — รายได้ของเขานอกจากเงินเดือนประจำแล้ว เขายังได้จากเงินรางวัลที่ผู้โดยสารให้ด้วย ด้วยแหตุนี้การมารอผู้โดยสารแต่เนิ่นๆ นั้นเป็นเรื่องดี
“แคร่ก” ประตูรถถูกเปิดออกอย่างช่ำชอง ผู้หญิงรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเอากระเป๋าเดินทางโยนขึ้นไปที่นั่งด้านหลัง ก่อนจะก้มตัวลงแล้วขึ้นมานั่งบนรถ
ดันน์มองดูผ่านกระจกหลัง ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อแจ๊กเก็ตและกางเกงผ้าแคนวาสที่ทันสมัย บนหัวสวมหมวกแก๊ปและแว่นตาดำ เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกค้าขาประจำของเรนโบว์สโตน แต่เมื่อดูอย่างละเอียดแล้ว เขากลับมองไม่เห็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์สโตนอยู่บนเสื้อผ้าเลย
“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะไปที่ไหนขอรับ? ในซองด้านหลังที่นั่งมีแผนที่เมืองกับราคาอยู่ขอรับ”
“ปราสาทราชาของเนเวอร์วินเทอร์น่าจะยังไม่ถูกรื้อไปใช่ไหม? ถ้าปราสาทยังอยู่ ข้าก็ไปที่นั่นแหละ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
………………………………………………………………………