ตอนที่ 1495 เส้นทางที่แตกต่างกัน Ink Stone_Fantasy
ดันน์อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย หรือว่าดูจากกิริยาท่าทางของเธอหลังจากที่ขึ้นรถมา ผู้หญิงคนนี้ก็น่าจะเป็นคนเนเวอร์วินเทอร์ถึงจะถูก ถ้าบอกว่าเสื้อผ้าสามารถทำเลียนแบบขึ้นมาได้ อย่างนั้นเมืองอื่นก็ไม่น่าจะมีระบบคมนาคมที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้ได้นี่นา
เขาทำอาชีพนี้มาสองปี ผู้โดยสารที่เคยให้บริการมามีตั้งแต่พ่อค้าใหญ่จากฟยอร์ดไปจนถึงมหาเศรษฐีของดอว์น แต่เมื่อมาอยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนบ้านนอกเท่าไร นี่เองก็เป็นเรื่องขำขันที่พวกคนขับรกแท็กซี่เอามาพูดคุยกันในระหว่างมื้ออาหาร ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายเปิดประตูขึ้นรถมา เขาก็มองหญิงสาวคนนี้เป็นคนเนเวอร์วินเทอร์ที่กำลังจะออกไปเที่ยวข้างนอก แต่อีกฝ่ายกลับเหมือนว่าไม่รู้จักเมืองนี้เท่าไร….
“คุณผู้โดยสารอย่าล้อเล่นสิขอรับ…ปราสาทของราชาจะมีใครกล้ารื้อได้ล่ะขอรับ” ดันน์หัวเราะแหะๆ ออกมา ก่อนจะขับรถออกไปจากเขตรับผู้โดยสาร “ทว่าทางสำนักบริหารก็เคยพูดถึงเรื่องที่จะขยายพระราชวังหลายครั้งแล้ว แต่ก็ถูกฝ่าบาทปฏิเสธกลับมา เรื่องนี้เคยขึ้นหนังสือพิมพ์ด้วยนะขอรับ สุดท้ายพื้นที่ที่เตรียมเอาไว้สำหรับขยายพระราชวังก็ถูกเอาไปสร้างเป็นสวนอนุสรณ์สงคราม คุณ…ไม่ใช่คนในพื้นที่เหรอขอรับ?”
“เคยอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่งน่ะ” หญิงสาวนั่งพิงไปด้านหลัง ก่อนจะหันออกไปดูทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอก “ดูเหมือนฝ่าบาทจะรู้จักเห็นใจประชาชนนะเนี่ย”
“นั่นน่ะสิขอรับ! ถึงแม้ตอนที่ฝ่าบาทวิมเบิลดันทรงขึ้นครองราชย์ต่อจะมีคนไม่น้อยสงสัยในความสามารถของพระองค์ แต่ความจริงมันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าถึงว่าจะอายุยังน้อยและเป็นผู้หญิง แต่ตระกูลวิมเบิลดันยังไงก็ยังคงเป็นตระกูลวิมเบิลดัน” ดันน์พูดไม่หยุดปาก แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดจริงๆ! ถ้าไม่เป็นเพราะนโยบายตามให้รางวัลหลังจบสงคราม เขาจะมีโอกาสย้ายจากดินแดนทางเหนือมายังเมืองแห่งความฝันนี้ได้อย่างไร
“หืม…” หญิงสาวยิ้มมุมปากขึ้นมา “อย่างนั้นเจ้าช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ให้ข้าฟังหน่อยสิ”
เดี๋ยวนะ…ทำไมท่าทีที่คนๆ นี้มีต่อฝ่าบาทถึงได้แปลกขนาดนี้? ภายในใจดันน์เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา มันไม่เหมือนคนธรรมดาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเคารพ แล้วก็ไม่เหมือนกับขุนนางเก่าพวกนั้นที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา มันเหมือนกับว่ากำลังพูดถึงเพื่อนเก่าอย่างไรอย่างนั้น คงไม่ใช่ว่าเป็นสาบลับที่แอบมาสืบข้อมูลหรอกนะ?
นี่ไม่ใช่ว่าเขาเดาสุ่มสี่สุ่มห้า ดันน์เคยได้ยินข่าวลือมา — ถึงแม้สงครามแห่งโชคชะตาจะจบไปแล้ว ราชาแห่งดอว์นเองก็ประกาศสละราชบัลลังก์ อิทธิพลของเกรย์คาสเซิลแผ่ขยายไปทั่วทั้งทวีป แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าแผ่นดินจะแน่นแฟ้นเป็นปึกแผ่น อย่างน้อยทางด้านอาณาจักรดอว์นก็ยังมีขุนนางไม่น้อยที่แสดงออกว่าไม่พอใจตระกูลควินน์ ส่วนบุตรชายของดยุคลองซองที่ได้รับอภัยโทษก็เดินทางไปยังฟยอร์ด ถ้าพูดถึงว่าใครคิดอยากจะโค่นคระกูลวิมเบิลดันมากที่สุด เขาจะต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน
แล้วก็ยังมีลูกชายของเจ้าชายองค์โตที่จะกลายเป็นจุดสนใจของทุกๆ ฝ่าย ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าพอโตไปแล้วเขาจะมีความคิดเช่นไร
ไม่ว่าว่าตอนนี้คนพวกนั้นอาจจะกำลังวางแผนชั่วอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้!
ดันน์ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก ด้านหนึ่งเขาก็พยายามชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องสัพเพเหระ อีกด้านเขาก็พยายามแอบสังเกตดูอีกที่นั่งอยู่ด้านหลัง — ถ้าอีกฝ่ายเป็นสายลับจริงๆ ตัวเองก็ควรจะจดจำรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นค่อยแจ้งทางศูนย์รักษาความปลอดภัย
แต่ว่า…ลักษณะหน้าตาและท่าทางของเธอมันช่างพิเศษจริงๆ พวกคนชั่วพวกนั้นมันจะเลือกคนแบบนี้มาเป็นสายลับให้จริงๆ เหรอ?
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องผมที่ดำสลวยและรูปร่างที่ดูสะดุดตา เพียงแค่ความมั่นใจและผ่าเผยในขณะที่พูดคุยก็ยากที่จะทำให้อีกฝ่ายถูกมองข้ามได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากเงาที่สะท้อนออกมาจากกระจก ดันน์มองเห็นดวงตาสีทองที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้แว่นกันแดดสีดำ
เมื่อมองดูดวงตาที่แหลมคมเหมือนดาบคู่นั้น เขากลับเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
ในขณะที่เขากำลังคิดนั่นคิดนี่อยู่ในหัว รถก็มาถึงเขตปราสาท
“เอ่อ…ถึงแล้วขอรับ” ดันน์กระแอมเล็กน้อย “ค่ารถทั้งหมด 100 หยวนขอรับ”
หญิงสาวยื่นแบงค์กระดาษส่งให้ ก่อนจะถือกระเป๋าสัมภาระแล้วเดินขึ้นเนินไปยังปราสาท
เดี๋ยวนี้สายลับทำอะไรเปิดเผยกันแบบนี้แล้วเหรอ? เขามองดูแผ่นหลังของอีกฝ่ายอยู่นาน จนกระทั่งเธอหายลับไปจากสายตา…ช่างเถอะ ไม่คิดดีกว่า ดันน์สะบัดหัว ในเมื่ออีกฝ่ายเข้าไปในปราสาทแล้ว อย่างนั้นเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปแจ้งศูนย์รักษาความปลอดภัยแล้ว เมื่อคนที่อยู่ในปราสาทล้วนแต่เป็นแม่มดที่เก่งกาจกว่าพวกตำรวจ ถ้าเธอเจตนาร้ายจริงๆ หลังจากนี้เธอคงไม่มีทางออกมาจากประตูบานใหญ่นั้นได้แน่
แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ ดันน์ก็รู้สึกว่ามันน่าเสียดายมาก
เขาขยับปากเล็กน้อย ก่อนจะขับรถออกไป
…..
“เรื่องที่จะขยายการใช้งานพลังเวทมนตร์ยังไง พวกเราหาข้อสรุปไม่ได้จริงๆ เหรอ?”
ท่ามกลางผู้คนที่เดินเข้าออกตรงหน้าประตูทางเข้าปราสาท อิสซาเบลล่าเดินไล่ถามอกาธา
เมื่อครู่นี้ทางสำนักบริหารเพิ่งจะจบการประชุมที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือดไป ประเด็นหลักในการประชุมก็คือจะเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตื่นรู้กับคนธรรมดาให้มากขึ้นอย่างไร เพื่อทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากพลังเวทมนตร์
ตอนนี้หลังจากที่สถาบันค้นคว้าศาสตร์ลี้ลับได้ทำการเอาเทคโนโลยีของแต่ละเผ่าพันธุ์รวมเข้าด้วยกันแล้ว พวกเขาก็ได้เสนอแนวทางมาสองทาง ทางหนึ่งนั้นคืออุปกรณ์พลังเวทมนตร์เหมือนอย่างหน่วยพลังงานลูกบาศก์เวทมนตร์ ส่วนอีกทางหนึ่งคือเลียนแบบเทคโนโลยีหลอมรวมหินเวทมนตร์ของปีศาจหรือที่ตอนนี้ถูกเรียกว่าเผ่าคาร์การ์ด โดยทางแรกนั้นแทบจะไม่มีผลข้างเคียงอะไร แต่มันยังคงต้องพึ่งพาแม่มดในการใช้งานอยู่ เนื่องจากความเร็วและพรสวรรค์ของผู้ตื่นรู้ล้วนแต่มีข้อจำกัดจากปัจจัยภายนอกอยู่ ด้วยเหตุนี้เส้นทางนี้จึงมีเพดานขีดจำกันอย่างเห็นได้ชัด
ทันทีที่จำนวนอุปกรณ์มีมากกว่าแม่มด มันก็จะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับคนชั้นสูงเท่านั้น ซึ่งนี่ไม่ตรงกับเป้าหมายของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับ แต่แผนการนี้กลับได้รับความเห็นชอบจากหลายๆ คน — ภายในอนาคตข้างหน้าที่สามารถคาดการณ์ได้ คนที่สามารถเข้ามาในเขตปราสาทและสำนักบริหารได้ล้วนแต่ถือเป็นบุคคลระดับสูงของอาณาจักร หากมีอุปกรณ์เวทมนตร์อะไรใหม่ๆ พวกเขาต้องได้สัมผัสกับมันในทันทีอย่างแน่นอน แต่คนธรรมดาทั่วไปกลับไม่แน่ว่าจะได้สัมผัสกับอุปกรณ์พวกนั้น
ส่วนทางที่สองนั้นมีความเสี่ยงอยู่ หัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหาของมันอยู่ที่การศึกษาวิจัยของเอเลนอร์ อดีตสามผู้นำที่กลายเป็นมาเธอร์ออฟโซลกำลังเพาะเลี้ยงอวัยวะชีวภาพของเผ่าคาร์การ์ดที่สามารถรวมเข้ากับร่างกายมนุษย์ขึ้นมาได้ มันสามารถเป็นได้ทั้งแขน ขา จมูก หู….หรือแม้กระทั่งเขาที่อยู่บนหน้าผาก โดยอวัยวะชีวภาพเหล่านี้จะสามารถฝังหินเวทมนตร์ลงไปได้
ตอนนี้การทดลองมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จสองราย โดยอาสาสมัครได้กลายเป็นผู้มีพลังเวทมนตร์โดยการเปลี่ยนแขนขา — ถึงแม้ความสามารถของพวกเขาจะน้อยนิดจนถึงขนาดที่ว่าไม่สามารถกระตุ้นหินเวทมนตร์ระดับต่ำได้ แต่พวกเราจะสามารถใช้อุปกรณ์พลังเวทมนตร์ได้ด้วยตัวเอง เรียกได้ว่ามันขีดจำกัดของแนวทางแรกไปแล้ว
เพียงแต่เมื่อคำนึงถึงเรื่องผลกระทบระหว่างพลังเวทมนตร์กับผู้ที่มีพลังเวทมนตร์ ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากที่หลอมรวมเข้ากับหินเวทมนตร์ไปแล้ว คนธรรมดาเหล่านั้นจะเดินไปในทิศทางไหน ด้วยเหตุนี้คนส่วนใหญ่ในห้องประชุมจึงแสดงท่าทีคัดค้านแนวทางนี้ ถึงขนาดบอกให้บารอฟซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ทำให้ปิดตายเทคโนโลยีนี้ไป
แต่อกาธารู้ดีเรื่องข้อสรุปที่อิสซาเบลล่าถามนั้นไม่ใช่ทั้งสองแนวทางนี้ หากแต่เป็นแผนสามที่มีเพียงสมาชิกระดับสูงของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับเท่านั้นที่รู้ — นั่นคือการเปลี่ยนแปลงมนุษย์ จากข้อมูลที่ได้รับมาจากสงครามแห่งโชคชะตา สิ่งมีชีวิตสามารถรับเอาพลังวทมนตร์มาใช้ได้มากขึ้นจากการวิวัฒนาการ และตัวพลังเวทมนตร์มันก็มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่ ด้วยเหตุนี้เป้าหมายสูงสุดของการวิจัยคือมนุษย์ทุกคนสามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการตื่นรู้ แล้วก็ไม่มีการแบ่งแยกเพศ ทุกคนเป็นผู้มีพลังเวทมนตร์ตั้งแต่เกิดมา ถ้าวิธีนี้ประสบความสำเร็จล่ะก็ มันก็จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด!
แต่ตอนนี้แผนการวิจัยนี้ยังอยู่แค่ในช่วงการค้นคว้าทางทฤษฎีเท่านั้น นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทดลองเป็นจำนวนมากเลย หากพูดออกไปตอนนี้มีแต่จะทำให้เกิดกระแสโต้กลับมาเปล่า ต่อให้แอบทำการศึกษาต่อไปโดยไม่สนใจต่อเสียงคัดค้าน มันก็มีโอกาสที่คนอื่นจะรู้เรื่องนี้ได้ง่ายๆ ดังนั้นอกาธาจึงไม่ได้ตั้งแม้กระทั่งหน่วยวิจัยขึ้นมา เรียกได้เก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับไม่ให้ใครรู้
“ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้า แต่เจ้าเองก็เห็นแล้ว ระดับการยอมรับพลังเวทมนตร์ของผู้คนยังไม่มากพอเหมือนอย่างที่เราคิดเอาไว้” อกาธาพูดเสียงเบาๆ “สถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับพึ่งจะก่อตั้งขึ้นมาใหม่ได้ไม่นาน พวกเราจำเป็นต้องสร้างผลงานให้ได้มากกว่านี้ก่อน ถึงจะทำให้ทุกคนรับรู้ได้ถึงความสะดวกสบายและความก้าวหน้าที่พลังเวทมนตร์นำมาให้ ความผิดพลาดที่ท่านอควาเรียสได้เคยทำพลาดมา พวกเราห้ามทำพลาดซ้ำเด็ดขาด”
“แต่พวกหัวรั้นพวกนั้นกระทั่งแนวทางที่สองก็ยังคัดค้านเลย” อิสซาเบลล่าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าไม่มีการสนับสนุนของผู้มีพลังเวทมนตร์เป็นจำนวนมากพอ อุปกรณ์พลังเวทมนตร์ก็ยากที่จะแพร่หลายไปยังพื้นที่นอกเนเวอร์วินเทอร์ได้”
“มันก็ใช่ แต่พวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส” อกาธาคลายมือที่กำออก ก่อนจะเผยให้เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ในมือ — นั้นคือกระดาษที่เอดิธส์ยัดในมือเธอหลังจบการประชุม
‘คืนนี้ทุ่มนึง งานเลี้ยงจัดขึ้นที่ห้องไวท์ฮอร์ส ณ ร้านโกลเด้นเจด หวังว่าทั้งสองคนจะมาร่วมสนุกได้’
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่การปฏิวัติล้วนแต่หมายถึงการจัดกลุ่มและจัดสรรผลประโยชน์ใหม่ สำหรับมนุษย์แล้ว แผนการที่จะทำให้พลังเวทมนตร์กลายเป็นสิ่งที่สามารถใช้กันได้อย่างแพร่หลายซึ่งมีความหมายที่ลึกซึ้งนั้นไม่ได้เป็นแค่ปัญหาทางด้านเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นสงครามครั้งใหม่ด้วย
เธอรู้สึกคิดถึงวันเวลาที่ฝ่าบาทโรแลนด์ยังอยู่ ในตอนนั้นขอเพียงฝ่าบาททำการตัดสินพระทัา ก็ไม่มีใครที่จะแสดงความเห็นคัดค้านออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแค่ไหน ทุกคนก็จะมุ่งไปข้างหน้าด้วยกัน
เพียงแต่หลังรู้สึกหดหู่ใจไปเล็กน้อย อกาธาก็ตั้งสติขึ้นมาใหม่
ถูกต้อง เธอไม่สามารถเอาแต่พึ่งพาคนๆ นั้นได้ —- เขาได้พามนุษย์เดินออกมาจากความสิ้นหวังแล้ว หลังจากนี้เป็นหน้าที่พวกเธอที่จะแบกรับและสานต่อเจตนารมณ์นี้เอง
ทันใดนั้นเองพลันมีผู้หยิงคนหนึ่งเดินผ่านตัวเธอไป
อกาธาตกตะลึง
เธอรีบหันหน้ากลับไปทันที
“มีอะไรเหรอ?” อิสซาเบลล่าถาม “เจ้าลืมอะไรหรือเปล่า?”
ในเวลานี้อกาธาถึงได้สังเกตเห็นว่าทั้งสองคนได้ยืนอยู่ห่างกันหลายเหตุ อิสซาเบลลากำลังมองดูเธออย่างแปลกใจ เหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงหยุดเดิน
“เปล่า…เมื่อกี้ข้านึกว่าตัวเองเจอคนรู้จักน่ะ”
เธอกะพริบตา ก่อนจะกวาดตามองดูกลุ่มคนที่เดินไปเดินมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังมองไม่เห็นคนที่คุ้นหน้าคนนั้น
“คนรู้จักเหรอ?”
“อื้อ น่าจะมองผิดล่ะมั้ง” อกาธารีบเดิน “พวกเรากลับไปที่หอแม่มดเถอะ ยังมีงานวิจัยอีกหลายอย่างที่ต้องทำ”
เธอจะเป็นคนเริ่ม ‘สงคราม’ แห่งการปฏิวัติพลังเวทมนตร์นี้เอง
เธอได้ทำการตัดสินใจแล้ว
………………………………………………………………………..