ตอนที่ 1496 กลับมาเจอกันอีกครั้ง Ink Stone_Fantasy
ภายในห้องสมุดของปราสาท
“ฝ่าบาท มีจดหมายถึงพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ฌอนเคาะประตู ก่อนจะรีบก้าวเท้าเข้ามา จากนั้นวางซองจดหมายยับๆ ซองหนึ่งไปบนโต๊ะ
ตอนนี้ทั้งวิทยุคลื่นยาว โทรเลขแบบมีสายและรูนสดับที่มีอุปกรณ์เก็บพลังเวทมนตร์ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายแล้ว ถึงแม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดาก็สามารถจ่ายเงินแค่ไม่กี่เหรียญในการส่งโทรเลขทางไกลได้ จดหมายที่ใช้คนในการส่งแบบนี้นับวันจะยิ่งน้อยลงไปทุกที
“โอ้? จากไหนล่ะ?” ทิลลีวางปากกาในมือลง ก่อนจะนวดนิ้วที่เมื่อยล้า
“ได้ยินว่า…จากบนทะเลพ่ะย่ะค่ะ” ฌอนกระแอมเล็กน้อย “คนที่ได้รับมันมาคนแรกเป็นนักสำรวจของฟยอร์ด จากนั้นก็เป็นพ่อค้า ท่าเรือเรฟเวลรี่ ก่อนที่สุดท้ายจะมาถึงท่าเรือน้ำตื้น ถ้าไม่เป็นเพราะลายเซ็น กระหม่อมเองก็คงไม่—”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ทิลลีพลันฉีกซองจดหมายออก
คนที่ส่งจดหมายมาจากบนทะเลได้ เกรงว่าคงมีแต่พวกนั้นเท่านั้น
ใช่จริงๆ ด้วย หลังจากที่กางจดหมายออก ลายมือที่คุ้นเคยก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธอ — หลังผ่านมือคนมาหลายคนและเจอกับแสงแดดและลมทะเล กระดาษก็มีรอยด่างอย่างเห็นได้ชัด แต่สไตล์การเขียนและลายมือแปลกๆ บนจดหมาย ตอให้มันกลายเป็นเถ้าท่านเธอก็จำมันได้
‘สวัสดี’
‘นี่คือจดหมายฉบับแรกของทีมนักสำรวจ’
‘ตามธรรมเนียมแล้ว หัวหน้าทีมต้องเป็นคนเขียนก่อน’
‘ไฮ องค์หญิง ไม่สิ….ฝ่าบาททิลลี พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรซีสกาย พูดให้ถูกคือ พวกเรากำลังไปถึงขอบของแผ่นดินลอยฟ้าเพคะ’
‘ในตอนที่เห็นมัน หม่อมฉันถึงได้เข้าใจว่าอะไรกันแน่ที่เรียกว่าแผ่นดินลอยฟ้า เมื่อเทียบพระผู้สร้างกับมันแล้ว มันก็เหมือนกับเกาะฟยอร์ดกับดินแดนรุ่งอรุณเลยเพคะ ด้านบนของมันมีภูเขา แล้วก็มีแม่น้ำ น้ำทะเลหลายพันสายไหลทะลักออกมาจากหน้าผา ภาพอันน่าตกตะลึงนี้ยากที่จะใช้คำพูดมาบรรยายได้ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ หม่อมฉันก็อยากจะพาพระองค์กับพี่โซโรย่ามาที่นี่เพคะ’
‘ถึงแม้สัตว์ประหลาดของอาณาจักรซีสกายจะหายไปหมดแล้ว แต่แผ่นดินแห่งนี้ยังคงเป็นดินแดนที่ไม่เคยมีใครย่างกรายเข้ามาอยู่ ข้างบนจะมีซากโบราณสถานแห่งใหม่อยู่หรือเปล่า? จะมีแกนเวทมนตร์ที่คอยพยุงแผ่นดินอยู่หรือเปล่า? อืม ทุกอย่างล้วนแต่เป็นคำถาม! หม่อมฉันกล้าพนันเลยว่าในเวลา 10 ปีหลังจากนี้ มันจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักสำรวจปรารถนาจะมาเยือนมากที่สุด’
‘แต่ว่าหม่อมฉันคือคนแรก!’
‘เอาไว้หลังจากนี้หม่อมฉันจะค่อยๆ เล่าให้พระองค์ฟัง กองเรือของพ่อของหม่อมฉันกำลังตามหม่อมฉันมา แต่ครั้งนี้เขาเลิกคิดเรื่องที่จะนำหน้าหม่อมฉันไปแล้วเพคะ อย่างนั้น หม่อมฉันไปก่อนนะเพคะ!’
‘คิดถึงพระองค์นะเพคะ ไลต์นิ่ง’
หลังจากนั้นลายมือก็เปลี่ยนไป
‘คนที่สองก็คือเมซี่จิ๊บ!’
‘หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีจิ๊บ หม่อมฉันรู้แค่ว่าหม่อมฉันมีความสุขทุกวันเลยจิ๊บ! ถึงแม้หมาป่าที่แบกอยู่บนหลังมันจะหนักมาก แต่ทุกคนก็มีเรื่องให้พูดคุยกันไม่จบเลย แล้วก็มีทิวทัศน์ใหม่ให้ได้ดู เทียบกับการเกาะอยู่บนคานคนเดียวแล้ว แบบนี้มีความสุขกว่าเยอะเลยเพคะ!’
‘ใช่แล้วเพคะ ที่แท้ปลาในทะเลมันก็มีอยู่ตั้งมากมายหลายชนิด แทบจะกินไม่หมดเลยเพคะ! เสียดายที่ไม่มีเครื่องปรุง ปิ้งแล้วเลยไม่ค่อยมีรสชาติ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ พระองค์ช่วยส่งเครื่องปรุงมาที่อาณาจักรซีสกายหน่อยได้ไหมเพคะ?’
ทิลลีหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะพลิกจดหมายไปหน้าที่สอง
‘ฝ่าบาทที่เคารพ หม่อมฉันโลก้า เบิร์นเฟลมแห่งเผ่าไวลด์เฟลมเพคะ นอกจากนี้เนื่องจากโจนต้องแช่อยู่ในน้ำทะเล ดังนั้นในส่วนของนางหม่อมฉันจะเขียนแทนเองเพคะ’
‘การสำรวจเป็นเรื่องที่สนุกมากจริงๆ ด้วยเพคะ มันทำให้หม่อมฉันได้รู้ว่านอกจากทวีปแล้ว บนโลกนี้ยังมีดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลมากกว่าอยู่อีก แผนการของพวกเราหลังจากนี้คือขึ้นไปบนอาณาจักรซีสหายแล้วสร้างค่ายขึ้นมา จากนั้นค่อยเข้าในยังด้านในของมันเพื่อหาจุดเชื่อมต่อที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ใต้ทะเลตรงหมู่เกาะชาโดว์ เพราะที่แห่งนี้อยู่ไกลจากดินแดนรุ่งอรุณอย่างมาก ถ้าอยากจะบุกเบิกมัน ก็จำเป็นต้องสร้างทางลัดที่สามารถใช้เดินทางไปหาได้อย่างรวดเร็วขึ้นมา’
‘เพราะว่าตอนนี้ทุกคนยังไม่ค้นพบอะไรมากนัก หม่อมฉันเองก็ไม่อยากจะรบกวนเวลาของพระองค์ สุดท้ายหม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องพระองค์เรื่องหนึ่งเพคะ พระองค์ทรงช่วยบอกพ่อและเผ่าของหม่อมฉันหน่อยได้ไหมเพคะว่าหม่อมฉันสบายดี? ขอบพระทัยพระองค์เพคะ’
‘ใช่แล้วเพคะ ทรงอย่าสนใจคำพูดของเมซี่เลยนะเพคะ พวกเราต่างรู้ดีกว่าตอนนี้ต้องรับผิดชอบหน้าที่หลายอย่าง ท่านเอเลนอร์เองก็คงไม่สามารถเคลื่อนเกาะลอยฟ้าข้ามทะเลมาได้ แต่ว่า…แต่ว่าถ้าสามารถเอาเครื่องปรุงมาส่งให้ได้จริงๆ พระองค์ช่วยเอาเหล้าที่อีฟลินทำส่งมาด้วยได้ไหมเพคะ’
‘ขอสามเทพคุ้มครองพระองค์เพคะ’
ด้านล่างกระดาษมีรูปวาดง่ายๆ เพื่อแทนลายเซ็น โดยมีรูปคน นก หมาป่า ปลา
ทิลลีพับจดหมายลงพร้อมกับสูดหายใจ จากนั้นจึงหันไปพูดกับฌอนว่า “จดหมายฉบับนี้ไม่ต้องตอบกลับไป เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” อีกฝ่ายโค้งคำนับ ก่อนหมุนตัว
เมื่อเห็นประตูปิดลง ทิลลีก็เงียบไปครู่ จากนั้นจู่ๆ ก็เอาหัวมุดเข้าไปในกองเอกสาร
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!”
เธอส่งเสียงร้องด้วยความอิจฉาออกมา ขณะเดียวกันก็ส่ายหัวไปมาจนเอกสารบนโต๊ะส่งเสียงฟึบฟับๆ
ได้ขับฟินิกส์บินไปรอบโลกกับเพื่อนๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นชีวิตที่เธอต้องการ!
เพราะพี่ชายของเธอนั่นแหละ มาบอกว่าตัวเองต้องไปตามหาแอสเชสเลยกลับมาไม่ได้ แล้วให้เธอขึ้นครองราชย์แทนจนกระทั่งแม่มดสามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนธรรมดาได้อย่างแนบแน่น ไม่ทันไรก็ผ่านมาห้าปีแล้ว อันนากับไนติงเกลก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าเขาลืมเธอไปแล้วหรือเปล่า!
ดูสิว่าตอนนี้เธอต้องมาจัดการกับเรื่องอะไร
ที่ราบลุ่มบริบูรณ์กำลังทำการบุกเบิกเพิ่มขึ้น พื้นที่ที่เดิมเป็นของวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ก็ถูกเอามาใช้ประโยชน์อีกครั้ง ทุกที่ล้วนแต่ยื่นมือขอเงินจากเธอ เงินพวกนี้ก็ไม่ใช่ว่างอกขึ้นมาจากใต้ดินซักหน่อย!
แล้วก็ยังมีข่าวลูกชายของดยุคไรอันที่พยายามจะก่อกบฏอีก — พวกพ่อค้าที่ได้รับคำเชิญจากเขาเอาข่าวมาขายให้กับเนเวอร์วินเทอร์ เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าแผนการตัวเองได้มาวางอยู่บนโต๊ะของเธอแล้ว? ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับอิสรภาพ แต่กลับพยายามจะพาตัวเองมากลับเข้ากรงอีกครั้ง การทำอะไรไร้เดียงสาและไร้แผนการแบบนี้ ทิลลีไม่รู้ว่าควรจะมองเขาเป็นศัตรูหรือไม่
แต่แน่นอน นี่เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้เธอปวดหัวจริงๆ ก็คือทิศทางที่อาณาจักรต้องเดินหลังจากนี้ ต้องพัฒนาเทคโนโลยีอะไรก่อน เรื่องการกระทบกระทั่งกันระหว่างบริษัทเอกชนและธุรกิจของสำนักบริหาร และจะทำอย่างไรที่จะรักษาสมดุลของอำนาจทุกๆ ฝ่ายเอาไว้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างแท้จริง
เมื่อก่อนเธอมักจะรู้สึกว่าการบริหารอาณาจักรไม่มีอะไรยาก เพราะขนาดคนอย่างโรแลนด์ยังรับมือได้เลย นับประสาอะไรกับเธอล่ะ แต่ตอนนี้ทิลลีถึงได้พบว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทำได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นโรแลนด์ยังอาศัยเวลาว่างหลังจากงานบริหารบ้านเมือง พาบุ๊คและแม่มดอาญาสิทธิ์เข้าไปหาความรู้ในโลกแห่งความฝัน เมื่อมานึกย้อนดูแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่งจริงๆ
“แอ๊ด”
ในเวลานี้จู่ๆ พลันมีเสียงเปิดประตูดังขึ้นมา
ทิลลีรีบเงยหน้าขึ้นมาพร้อมทำท่าเหมือนกำลังตั้งใจทำงานอยู่ จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อะไรอีก บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้ามีเรื่องอะไร ให้มาแจ้งข้าก่อน?”
เพราะว่านอกจากองครักษ์แล้ว เวนดี้ บุ๊คและอกาธาล้วนแต่เป็นคนที่เข้ามาในห้องทำงานบ่อยๆ โดยเฉพาะบุ๊ค ถ้าเธอมองเห็นตัวเองแอบขี้เกียจคงจะต้องโดนบ่นแน่ ดังนั้นการบแจ้งล่วงหน้าจึงเป็นหนึ่งในหน้าที่ของฌอน…พูดอีกอย่างก็คือเป็นหน้าที่สำคัญที่สุด
แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา
ทิลลีเงยหน้ามองไปทางประตูอย่างแปลกใจ
“ปัก!”
ปากกาในมือของเธอตกลงไปบนพื้น
……………………………………………………………………….