เมื่อคำพูดนี้จบลง เสียงพึมพำจากทั้งสี่ทิศก็ดังขึ้น หลายคนพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิว่าหลัวซิวช่างอาจหาญ กล้าดูหมิ่นแดนศักดิ์สิทธิ์

“หลัวซิว เจ้าช่างอาจหาญเหลือเกิน ยังไม่รีบคุกเข่ารับโทษอีก บางทีมันอาจจะช่วยให้เจ้าเหลือศพที่สมบูรณ์ได้!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตำหนักดารานภาพูดเสียงเข้ม

“ฮ่า ๆ พูดได้ดี เผ่าพันธุ์มนุษย์เดิมทีก็ชอบสู้กันเองอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้าน้องชายก็มาเข้าร่วมเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้าเถิด” คนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจกลับปรบมือยินดี ทำให้ทางฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างก็มีสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ

“พวกแดนศักดิ์สิทธิ์น่าไม่อาย พวกเจ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร” หลัวซิวเย้ยหยัน เพราะอุบัติภัยในสมัยโบราณก็เป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจสร้างขึ้นกับมือ จนทำให้ชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ยากเข็ญ

“เจ้าหนู อย่าคิดว่ามีพลังเพียงแค่นี้ก็ไม่เห็นหัวคนอื่น ต่อให้เจ้ามีความสามารถ แต่ก็เป็นแค่เด็กน้อย อย่าสำคัญตัวผิด” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งจากสำนักดำเหลืองเอ่ยปากพูด

“หลัวซิว เจ้าคืออัฉริยะที่เจ้ายุทธจักรอัคคีเลือกด้วยตัวเอง เพียงแค่เจ้ายินยอมมอบม้วนหยก เราตระกูลยุทธ์รับรองชีวิตของเจ้า” ตระกูลยุทธ์ก็มีผู้แข็งแกร่งอาวุโสมาที่นี่ด้วย ใบหน้าเต็มไปด้วยร้อยยิ้มที่เป็นมิตร

หลัวซิวสามารถรับรู้ได้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ ท่ามกลางแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ดูเหมือนจะมีเพียงตระกูลยุทธ์ที่มีท่าทีเป็นมิตรกับเขาอยู่บ้าง

แต่หลัวซิวกลับรับรู้ได้ถึงความหมายแฝงในคำพูดของผู้อาวุโสตระกูลยุทธ์คนนี้ จึงได้เอ่ยตอบ “หากข้าไม่มอบม้วนหยกให้ ตระกูลยุทธ์ก็จะไม่ปกป้องข้า ใช่หรือไม่?”

ผู้อาวุโสตระกูลยุทธ์ทำหน้าตกใจ ราวกับคาดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะถามเช่นนี้ เอ่ยตอบเสียงขรึม “ม้วนหยกนั้นสำคัญมาก มันเกี่ยวกับเรื่องราวใหญ่โต อยู่ในมือเจ้าหากถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจแย่งไปได้ มันจะนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่พวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์”

ผู้อาวุโสตระกูลยุทธ์อธิบายอย่างใจเย็น ราวกับรู้เรื่องเกี่ยวกับม้วนหยกอยู่บ้าง เรื่องราวที่เป็นความลับ คำพูดจึงดูคลุมเครือ

“ให้เจ้ามอบม้วนหยกออกมา หาใช่ความโลภของเราตระกูลยุทธ์ไม่ แต่เพื่อพวกเราทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์” ผู้อาวุโสตระกูลยุทธ์พูดพร้อมถอนหายใจ

“เฮอะ พูดเสียน่าฟัง ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าตระกูลยุทธ์ไม่มีใจโลภ!” ผู้อาวุโสตำหนักดารานภาพ่นลมออกทางจมูกเสียงเย็นชา

“พอแล้ว!”

เสียงคำรามด้วยความโกรธนี้ ไม่ใช่เสียงของหลัวซิว แต่เป็นคนของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

“มีของบางอย่างที่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าโลกแสงดาวสามารถก้าวก่ายได้ ระวังจะทำให้ตัวเองต้องพบกับจุดจบ!” น้ำเสียงของผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์ปีศาจเย็นเยียบ

“สิ่งของของโลกแสงดาว ย่อมต้องเป็นของพวกเรา พวกเจ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีสิทธิ์อะไรมาก้าวก่าย?” ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มารพูดเสียงเย็น

ในเวลานี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มาร กำลังยืนเผชิญหน้าในสนามรบเดียวกัน

ก่อนเกิดอุบัติภัยในสมัยโบราณ ท่ามกลางโลกแสงดาว เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารมักจะสู้รบกันอยู่เสมอ จนกระทั่งต่อมาเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ลงมาเยือน จัดการผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารด้วยท่าทีที่เผด็จการ สิ่งนี้ทำให้เกิดวิกฤตครั้งใหญ่สำหรับทั้งสองเผ่าพันธุ์ จากนั้นจึงได้ร่วมมือกันต่อต้านเผ่าพันธุ์ปีศาจ

หลังเกิดอุบัติภัยในสมัยโบราณ สามเผ่าพันธุ์ลงนามข้อตกลงสงบศึก การร่วมมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารก็จบลงที่ตรงนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารยังคงยืนหยัดเคียงข้างกัน ต่อต้านเผ่าพันธุ์ปีศาจโดยไม่คำนึงถึงความแคลงใจก่อนหน้านี้

ไม่ใช่ว่าความแค้นระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารจะหมดไป แต่เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารต่างก็รู้ดีว่า ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่สามารถต่อต้านเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ จึงได้มีพูดกันว่าหนึ่งคนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย!

“เฮอะ ดื้อดึงนัก พวกเจ้าโลกแสงดาวจะต้องชดใช้ให้กับสิ่งเหล่านี้!” ผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ได้ใส่ใจเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มารแม้แต่น้อย

ทุกครั้งที่เขาเอ่ยปากก็แทนด้วยคำว่า พวกเจ้าโลกแสงดาว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเผ่าพันธุ์ปีศาจ มาจากอาณาเขตโลกอื่น

เดิมทีกองกำลังทั้งสามฝั่งมาที่นี่เพื่อตามล่าหลัวซิว ในเวลากลับขัดแย้งกันเองเสียแล้ว