บทที่ 160 บุกจู่โจม
ตอนแรกมีเพียงหนึ่ง ตามมาด้วยอีกหนึ่ง
ปัง ปัง ปัง ปัง ! จากปราการอาร์คาน่าทั้ง 99 แห่ง ราว 10 แห่งได้พังทลายลงแล้ว ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของเกราะป้องกันลดลงอย่างหนัก
การเบาบางลงของเกราะป้องกัน การเปิดออกของรูบนกำแพง และปีศาจมากมายโบยบินไปทุกหนแห่ง ทั้งหมดกลายเป็นฝันร้ายของเผ่าปักษาเหล่านี้
“พระแม่ !” หนึ่งในเผ่าปักษากล่าวด้วยความตกตะลึงและสิ้นหวังเมื่อเขาเห็นห่าอสูรที่ดูราวกับปรากฏขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น
เผ่าปักษาจำนวนมากต่างตกตะลึงไปในทันที บางส่วนคิดที่จะถอยทัพทันทีหากไม่ใช่เพราะสายตาแข็งกร้าวจากเจ้าหน้าที่สั่งการที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา
“ยิง !”
เสียงของกูเทียนเยวี่ยยังคงสงบนิ่งและสำรวม แต่มันเริ่มแหบห้าวลงในช่วง 3 วันที่ผ่านมา
“ฟิ้วววว !” เสียงหวีดหวิวน่าขนลุกดังไปทั่วเมื่อเหล่าอสูรเริ่มพัดพาเข้าสู่ตัวเมืองราวกับพายุ
การจู่โจมที่บ้าคลั่งของเผ่าอสูรเข้าไปทำลายการเตรียมการของเผ่าปักษา
โดยไร้ซึ่งสลักทำลายล้างและปืนใหญ่ทลายสุริยันแล้ว ชาวเผ่าปักษานั้นอ่อนแอกว่าที่จำเป็นไปเล็กน้อย อสูรกายส่วนมากที่กำลังพุ่งออกมาข้างหน้านั้นทรงพลังเหลือเชื่อและต่างก็ปลดปล่อยคลื่นเพลิงออกมาขณะที่พวกมันพุ่งตรงมา คางคกพันพิษดึงดูดความสนใจแทบทั้งหมดไปทำให้ช่องว่างนี้เริ่มขยายกว้างขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่แม่นยำ
เผ่าอสูรหอนคำราม เทพอสูรเข้าจู่โจม เมฆหมอกพิษแตกกระจายไปทุกทิศทาง และพื้นดินเบื้องล่างก็เริ่มสั่นไหว
กระทั่งที่จมลงไม่ได้อย่างเมืองล่องนภาก็เริ่มที่จะแสดงถึงสัญญาณของการแตกร้าวภายใต้การโจมตีที่เกรี้ยวกราดขณะที่เกราะป้องกันยังสลายหายไปอย่างต่อเนื่องและกำแพงก็เริ่มแตกออกเป็นชิ้นส่วนที่ใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ทหารเผ่าปักษาเริ่มเสียชีวิตไปอีกหลายสิบคน
ราวกับว่าแผลสด ๆ ได้ถูกฉีกเปิดออกอย่างโหดเหี้ยมโดยฝ่ายศัตรู ช่องโหว่มากมายในการป้องกันของเมืองดูชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
ตู้ม !
คางคกพันพิษส่งแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาออกไปอีกครั้งผ่านพื้นดินขณะที่หัวของมันกระแทกเข้ากับอีกส่วนของกำแพงเมือง ทำให้มันพังทลายลง ท้ายที่สุด มันก็สร้างช่องว่างมากพอที่ตัวมันเองจะสามารถเข้าไปในเมืองได้
“เทพอสูรเข้ามาในเมืองแล้ว !” เผ่าปักษาทั้งหมดเริ่มร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัว
“โฮก !”
คางคกพันพิษคำรามด้วยความสำราญใจ
หลังจากที่ทุกข์ทรมานมาตลอดหลายวัน มันก็สามารถสำแดงการล้างแค้นได้ในที่สุด !
มันเปิดปากออกกว้างและเริ่มคายหมอกพิษกลุ่มใหญ่ออกมา
คราวนี้ไม่มีเกราะป้องกันใดที่คอยขัดขวางพิษไว้อีกแล้ว
กระแสไอพิษค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วทั้งเมือง ทำให้ฐานทัพของเผ่าปักษาข้างในปั่นป่วน
แม้ว่าพวกเขาส่วนมากจะทนทานต่อผลในทันทีของพิษได้เพราะยาแก้พิษที่ไม่สมบูรณ์ ทว่ากลุ่มควันพิษก็มีขนาดใหญ่เกินไปและเข้าห่อหุ้มเผ่าปักษาหลายหมื่นคน แม้ว่า 1 ใน 10 ของพวกเขาจะติดพิษ นั่นก็ยังหมายถึงความตายของเผ่าปักษาหลายพันคนอยู่ดี
การคายพิษออกมาเพียงครั้งเดียวนี้ได้ปลิดชีพเผ่าปักษาไปราว 3,000 คน ทำให้กูเทียนเยวี่ยตกตะลึง เสียงตะโกนของเขาแหบเสียยิ่งกว่าเดิม “ถอยทัพ ! ทุกคนถอยทัพ !”
กองทหารเผ่าปักษาที่แนวหน้าเริ่มถอนกำลังอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
คางคกพันพิษเปิดปากของมันออกกว้างอีกครั้งและคายอีกกลุ่มหมอกพิษออกมา เผ่าปักษาที่บินอยู่เริ่มร่วงลงบนพื้นเบื้องล่างราวกับว่าพวกเขาถูกกัดโดยยุงพิษ
คางคกพันพิษยังคงโจมตีต่อไปโดยการกระแทกส่วนหัวของมันเข้ากับกำแพงอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามทำลายกำแพงทางทิศใต้ทั้งหมดที่ปกป้องตัวเมืองไว้
เหล่าอสูรก็ใช้โอกาสนี้ในการแทรกตัวผ่านเข้าไปในช่องว่างนั้นเช่นกัน
แม้ว่าอสูรทั้งหลายจะอ่อนแอกว่าเทพอสูรอยู่มากโข จำนวนมหาศาลของพวกมันก็มอบความสามารถที่ทัดเทียมให้แทนขณะที่พวกมันบุกจู่โจมเข้าไปในเมือง อินทรีย์ทองขนาดมหึมาบินผ่านอากาศไป กางกรงเล็บผ่านทหารเผ่าปักษาและฉีกเขาออกเป็น 2 ส่วน เลือดสีแดงสดสาดกระจายไปบนผืนฟ้า
หมาป่ายักษ์ตัวหนึ่งและนกสีทอง 3 ขานั้นดูเป็นอสูรที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกมัน
หมาป่ายักษ์นั้นแท้จริงแล้วคือเซินหลานจือเหยียน ส่วนชื่อของนกสีทอง 3 ขาคือจินเยี่ยน เมื่อทั้งสองเข้าร่วมรบ เปลวเพลิงสีน้ำเงินที่ถูกปลดปล่อยออกมาโดยหมาป่าตัวนั้นดูเปี่ยมไปด้วยพลังงานลมและเริ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเปลวเพลิงนั้นจะไม่ได้มีพละกำลังที่ใกล้เคียงกับเมฆพิษที่ปลดปล่อยโดยเทพอสูร พวกมันก็ยังมีพลังทำลายล้างสูงในตัวของมันเอง
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งมีชีวิตทั้งสองมีความปราดเปรียวกว่าเทพอสูรมาก คางคกพันพิษรู้เพียงวิธีการที่จะใช้กำลังเยี่ยงสัตว์ป่าดุร้าย และไม่มีการวางกลยุทธ์เมื่อเข้าจู่โจม แต่อสูรทั้งสองนี้รู้วิธีการฉกฉวยโอกาสและเลือกที่จะจู่โจมในจุดที่เผ่าปักษาบอบบางที่สุด ทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากที่สุด
ในบางมุมมอง การโจมตีระบุเป้าหมายเช่นนี้นั้นรุนแรงเสียยิ่งกว่า เมื่อประกอบกับการร่วมมือของอสูรตัวอื่น ๆ แล้ว ความเสียหายที่พวกเขาทำคงจะไม่น้อยไปกว่าคางคกพันพิษเลยแม้แต่น้อย แต่พิษของคางคกพันพิษก็ส่งผลต่อพวกเขาเช่นกัน ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เหล่าอสูรจะสามารถเข้าไปในพื้นที่ที่มีกลุ่มเมฆพิษ พวกเขาทำได้เพียงโจมตีจากปีกทั้งสอง แต่นั่นก็จะเพิ่มความเร็วในการล่มสลายลงของเมืองล่องนภาด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างนั้น การป้องกันหุ้มเหล็กก็เริ่มหลอมละลายลงราวกับหิมะ
ปืนใหญ่เทพสายฟ้ายิงออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่การต้องการที่จะกวาดล้างเผ่าอสูรที่กำลังแทรกซึมเข้ามาด้วยมันเพียงอย่างเดียวนั้นยากเกินไป เมื่อเผ่าปักษาเห็นคลื่นทัพอสูรเข้ามาใกล้ขึ้น พวกเขาก็ดูเหมือนจะตกลงสู่ความสิ้นหวัง
นกสีทอง 3 ขา จินเยี่ยน ร้องฉลองชัย “จากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีเมืองล่องนภาอีกแล้ว !”
“อย่างนั้นหรือ ?” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบอย่างนิ่งเฉย “ด้วยเหตุบางอย่าง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะเป็นผู้สิ้นลมหายใจ”
ขณะที่พูด เขาก็ตั้งท่า
สถานการณ์พลิกผันทันที
คลื่นแรงกดดันขนาดมหึมาดูจะกดทับเผ่าอสูรตรงลงมาจากฟากฟ้าอย่างกะทันหัน ปราสาทลอยได้อีกหนึ่งแห่งปรากฏขึ้นจากอากาศว่างเปล่าในทันใด
จุดลอยนี้มีรูปร่างคล้ายคลึงกับลูกสน เมื่อตรวจสอบใกล้ ๆ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันประกอบขึ้นจากกระดูกหลาย ๆ ชั้น กระดูกเหล่านี้เรืองแสงสว่างไม่น้อยและซ้อนทับกันค่อนข้างสูงคล้ายกับรังผึ้ง
มันไม่ได้ยิ่งใหญ่และตระการตาอย่างเมืองล่องนภา มันมีขนาดคลับคล้ายกับคางคกพันพิษ ที่น่าตกใจที่สุดคือ แรงกดดันที่ผ่านออกมาจากจุดลอยนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่ารัศมีของคางคกพันพิษเลยแม้แต่น้อย ที่จริงแล้วมันทรงพลังยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ กระทั่งคางคกพันพิษก็ยังต้องตกตะลึง
นี่คือเมืองพลังต้นกำเนิดปีศาจ !
จุดลอยหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากกระดูกของเทพอสูรบรรพกาล
ในขณะเดียวกับที่เมืองพลังต้นกำเนิดปีศาจปรากฏขึ้น เสียงของก้าวเดินขนาดยักษ์ส่งเสียงดังกึกก้องไปตามพื้นดิน
อาคารขนาดมหึมาโอนเอียงไปมาขณะที่มันเข้ามาใกล้ หอคอยแห่งความโกลาหล หอคอยที่ถูกสร้างขึ้นเหนือแผ่นหลังของเทพอสูรอีกตัวหนึ่ง
รูปลักษณ์ของหอคอยแห่งความโกลาหลและเมืองพลังต้นกำเนิดปีศาจทำให้เซินหลานจือเหยียนตะลึงงัน
เขารู้ในตอนนั้นเองว่าเขาติดอยู่ในปัญหาประเภทใด เขาไม่เคยคิดเลยว่าหยวเยี่ยหลิวกวงจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าเขานำ 2 จุดลอยเข้ามาใกล้เมื่อนานมาแล้ว แต่เขากลับเก็บพวกมันออกจากสงคราม …คอยรอจนถึงจุดวิกฤตินี้ !!
“ไม่ดีแล้ว ! รีบถอนทัพ !” เซินหลานจือเหยียนแผดเสียง
แต่อย่างที่การเดินหน้านั้นยากเย็นแสนเข็ญ การถอยทัพก็จะไม่ง่ายด้วยเช่นกัน
จุดลอยอีก 2 แห่งปรากฏขึ้น และมุกยิงตะวันที่เปลี่ยนเป็นสีดำก็เริ่มกะพริบมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
ใช่แล้ว ปราการอาร์คาน่าทั้ง 10 ที่สูญเสียประสิทธิภาพของพวกมันไปก่อนหน้านี้เริ่มฟื้นฟูขึ้นแล้วในตอนนี้
พวกมันไม่ได้ถูกทำลาย !
นี่เป็นเพียงกลอุบายเท่านั้น !
หัวใจของเซินหลานจือเหยียนเต้นไม่เป็นจังหวะ ทุกสิ่งได้หลอกล่อเขามาสู่สถานการณ์นี้
และเมื่อปราการอาร์คาน่าเริ่มสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง เกราะป้องกันที่ถูกทำลายลงก่อนหน้านี้ก็เริ่มประกอบร่างขึ้นอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น พื้นดินยังเริ่มเรืองแสงสว่างขณะที่จารึกแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนพื้น พายุหมุนขนาดมหึมาก่อตัวขึ้นที่ศูนย์กลางของช่องว่างในกำแพงและเริ่มพัดพาไปยังเผ่าอสูร
ยิ่งกว่านั้น ปรมาจารย์อาร์คาน่าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นใกล้กับช่องว่าง พวกเขาทุกคนคือปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน พวกเขาออกเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกันและสร้างเกราะป้องกันใหม่ที่ป้องกันไม่ให้อสูรตัวใดถอยทัพไปได้
เกราะป้องกันของเผ่าปักษาอาจไม่สามารถขวางกั้นคางคกพันพิษไว้ข้างนอกได้ แต่มันก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าพอที่จะหยุดเซินหลานจือเหยียนและเผ่าอสูรจากแผนการไว้ได้
เป้าหมายที่แท้จริงของพวกนั้นคือเขา !
เซินหลานจือเหยียนทั้งตะลึงและเดือดพล่าน เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องกลับกลายเป็นเหยื่อเช่นนี้
ตอนนี้เมื่อเผ่าอสูรติดกับดักแล้ว พายุหมุน ปืนใหญ่ และวิชาอาร์คาน่าเริ่มโจมตีอีกครั้ง เผ่าอสูรได้รับความเสียหายมหาศาลในทันที ความเสียดายของเซินหลานจือเหยียนนั้นแทบจะมองเห็นได้ชัดเจน
ในตอนนี้ เสียงหนึ่งพูดตรงเข้าไปในหูของเขา “งั้นเจ้าก็ยังติดกับดักของเขาในที่สุดสินะ… เซินหลานจือเหยียน”
“เจ้าหรือ ?” เซินกลานจือเหยียนจำได้ไว้อีกฝ่ายคือใคร เขาคือมนุษย์ผู้ติดต่อกับเขาตั้งแต่แรก
เซินหลานจือเหยียนเกรี้ยวกราด “เจ้ามนุษย์ไร้ยางอาย เจ้าร่วมมือกับเผ่าปักษาได้อย่างไร……”
“เจ้าผิดแล้วละ เซินหลาน ข้าไม่เคยผูกมิตรตัวข้ากับจิ้งจอกชราหยงเยี่ยหลิวกวงนั่น อย่างไรแล้วเขาคงอยากจะรับมือกับข้าก่อน ไม่ใช่เจ้า” ซูเฉินหัวเราะ
“อะไรนะ ?” เซินหลานจือเหยียนตอบพร้อมตกตะลึง
ซูเฉินตอบ “แน่นอน ข้าต้องยอมรับเช่นกันว่าข้าไม่เคยยึดมั่นอยู่กับเจ้า เผ่ามนุษย์ และเผ่าอสูรจะขัดแย้งกันเสมอ ข้าช่วยสมุนของเจ้าบุกเข้าไปในเมืองล่องนภาเพียงเพื่อที่จะมอบโอกาสในการสู้รบกับเผ่าปักษาให้แก่เจ้า แต่ข้าไม่เคยคิดว่าเขาจะช่าง…… เด็ดขาด”
ชายหนุ่มถอนหายใจ
การตอบโต้ของหยงเยี่ยหลิวกวงนั้นรุนแรงกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มากมาย อีกฝ่ายตั้งใจจะแบกรับสิ่งนี้ไปคนเดียวอย่างเห็นได้ชัด และยังเป็นผู้ออกคำสั่งปิดปราการอาร์คาน่าบางส่วนลงอีกด้วย
ใช่ การลดลงของปราการอาร์คาน่าทั้ง 10 เหล่านั้นคือผลงานของหยงเยี่ยหลิวกวง ไม่ใช่เพราะการแทรกแซงของซูเฉิน เขาคงจะเป็นไอ้โง่หากจะพยายามบุกรุกเข้าไปในตำแหน่งที่ถูกอารักขาอย่างหนาแน่น
ผลคือเซินหลานจือเหยียน เช่นเดียวกับเผ่าอสูรที่เหลือ ต่างล้มหัวฟาดลงที่กับดัก
เพราะหยงเยี่ยหลิวกวงไม่สามารถต่อรองเพื่อชีวิตของสมุนชาวปักษาที่ดับสูญไปได้ เขาก็จะส่งเผ่าอสูรลงหลุมศพเพื่อเป็นค่าชดเชยเช่นกัน กระบวนการคิดเช่นนี้ทั้งชั่วร้ายและซับซ้อน กระทั่งซูเฉินก็ยังต้องตะลึงงัน
เผ่าปักษาจะต้องจ่ายราคาที่สูงลิบลิ่วระหว่างสงครามนี้อย่างแน่นอน แต่เผ่าอสูรในดินแดนของเผ่าปักษาก็จะถูกกวาดล้างออกไปจนหมดเช่นกัน นั่นจะรักษาระยะเวลาอย่างน้อย 100 ปีแห่งสันติสุขสำหรับเผ่าปักษาไว้ได้ ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์อาจไม่ได้แย่เสมอไป
เซินหลานจือเหยียนผู้เข้าใจสิ่งนี้แล้ว รู้สึกถึงความเสียดายที่จุกอก
แต่ผ่านไปสักพัก เซินหลานจือเหยียนก็คิดบางสิ่งขึ้นได้กะทันหัน เขากล่าวอย่างรีบร้อน “เจ้ามนุษย์ เจ้าจะต้องมีวิธีพาข้าออกไปจากที่นี่แน่ ๆ ใช่ไหม ?”
“นั่นจะไม่ง่ายนักหรอก…” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น
“ไม่ ข้านึกได้ว่าข้าไม่มีโอกาสที่จะสามารถออกไปทั้งเป็นได้ แต่มีเผ่าอสูรตัวหนึ่งที่ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยชีวิตเขาไว้ให้ข้า”
“โอ้ ? เจ้ากำลังพูดถึงนกสีทอง 3 ขาหรือ ? “ ซูเฉินถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเซินหลานจือเหยียนจะพูดถึงสิ่งใด
“ใช่ !”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินก็พูดขึ้น “การบุกฝ่าออกไปนั้นเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว โอกาสเดียวของเจ้าคือเข้าไปลึกขึ้นอีก”
“เข้าไปลึกขึ้น ?” เซินหลานจือเหยียนตกตะลึง
“ใช่ เข้าไปลึกขึ้น !” ซูเฉินพูด “แม้ว่าปราการอาร์คาน่าได้ฟื้นฟูขึ้นแล้ว การป้องกันก็ทำงานโดยอาศัยทั้งหินที่สร้างกำแพงปราการอาร์คาน่าขึ้น ปราการอาร์คาน่าเหล่านี้คอยจัดหาพลังงานต้นกำเนิดในขณะที่กำแพงรับหน้าที่เป็นตัวกลางสำหรับอักขระค่ายกล การพังทลายลงของกำแพงได้ทำลายสมดุลของค่ายกลอย่างมหาศาล จึงอาจยังมีโอกาสที่เจ้าจะหลบหนีไปได้… ตรงลึกเข้าไป นำเผ่าอสูร หมอกพิษ และเป้าหมายที่เจ้าต้องการให้ข้าช่วยชีวิตไปกับเจ้าด้วย เนื่องจากพวกเจ้าส่วนมากจะไม่สามารถหนีไปได้อยู่แล้ว สิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าทำได้คือออกไปพร้อมระเบิด สำหรับเจ้านกนั่น ข้าทำได้เพียงสัญญากับเจ้าว่าข้าจะทำให้ดีที่สุด”
ซูเฉินดูราวกับปีศาจเมื่อเขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นอย่างล่อลวงใจ