ตอนที่ 849 ร่างบรรพกาลขั้น 2
พลังบรรพกาลภายในร่างของเจี้ยนเฉินพลุ่งพล่าน ร่างของเขาสั่นอย่างรุนแรง ก่อนค่อย ๆ ขยายออกมา ราวกับลูกโป่งที่เต็มไปด้วยอากาศกำลังขยายตัวออก
เจี้ยนเฉินยังคงนิ่งและสงบจิตใจโดยไม่แสดงอาการหวาดกลัวออกมา ทักษะลับที่บันทึกเอาไว้ในจิตวิญญาณกระบี่ม่วงฟ้าปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา เจี้ยนเฉินจึงค่อย ๆ พยายามควบคุมพลังบรรพกาลพร้อมทั้งหมุนเวียนพลังในร่างกายตามจิตวิญญาณกระบี่ม่วงฟ้าบอก
แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิด พลังบรรพกาลที่เขารวบรวมไว้นั้นมากมายนัก ยามนี้เมื่อมันรั่วไหลออกมา การจะควบคุมพลังนี้เอาไว้นั้นไม่ง่ายดายเลยแม้แต่น้อย
เผชิญหน้ากับสถานการณ์ตรงหน้า เจี้ยนเฉินหนักใจขึ้นมาทันที พลังวิญญาณที่อยู่ภายในห้วงความคิดของเขาพวยพุ่งออกมากลายเป็นแรงกดดันภายในร่างค่อย ๆ กดดันพลังบรรพกาลที่หลุดการควบคุมเอาไว้
หลังจากใช้พลังวิญญาณในการกดดันไว้ พลังบรรพกาลก็ค่อย ๆ กลับมาอยู่ในการควบคุมของเจี้ยนเฉินอีกครั้ง
หลังจากควบคุมพลังบรรพกาลภายในร่างได้อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง เจี้ยนเฉินก็ใช้ทักษะลับพยายามชี้นำพลังบรรพกาลให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง ความเร็วของการไหลเวียนนั้นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเร็วเกินจินตนาการได้
ในขณะที่พลังบรรพกาลหมุนเวียนด้วยความเร็วสูง ร่างของเจี้ยนเฉินต้องพบแรงกดดันเป็นอย่างมากจนเริ่มแสดงอาการออกมา ยามนี้ร่างของเขาราวกับถึงขีดสุด ค่อย ๆ มีรอยร้าวออกมาทั่วร่าง ขณะเดียวกันพลังบรรพกาลก็เริ่มบริสุทธิ์และทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายเท่า แต่ปริมาณพลังบรรพกาลก็ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ยามนี้พลังบรรพกาลกำลังถูกบีบอัดลง
เนื่องจากพลังบรรพกาลกำลังลดลง ร่างที่กำลังขยายตัวออกของเขาก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ไม่นานก็เป็นปกติ
การบีบอัดพลังบรรพกาลทำให้สมดุลภายในร่างเปลี่ยนไป ความเสียหายจากการบีบอัดพลังบรรพกาลทำให้ร่างบรรพกาลของเขารับความเสียหายอย่างหนักทั้งภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายใน กล้ามเนื้อ ทั้งหมดต่างเสียหายอย่างหนัก ความเจ็บปวดที่เขาไม่ได้รู้สึกมานานกลับมาโจมตีเขาอีกครั้งหนึ่ง ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจของเจี้ยนเฉิน
ร่างของเจี้ยนเฉินสั่นอย่างรุนแรงอีกครั้ง ฟันของเขาสั่นระรัว เม็ดเหงื่อค่อย ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าที่มุ่งมั่น ยามนี้เขากำลังอดทนรับความเจ็บปวดที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างไม่ปรานี
ร่างบรรพกาลอาจจะทรงพลังมาก แต่ความเจ็บปวดทรมานระหว่างการฝึกฝนนั้นเกินกว่าคนธรรมดาจะรับได้ ครั้งแรกที่เจี้ยนเฉินเริ่มฝึกฝนร่างบรรพกาลนั้น ความตั้งใจของเขาสั่นคลอนเป็นอย่างมากจากความเจ็บปวดที่ได้รับระหว่างฝึกฝน มันเจ็บปวดมากจนไม่สามารถเป็นลมหมดสติได้ด้วยซ้ำ ทำให้ความยากลำบากในการฝึกร่างบรรพกาลนั้นยากกว่าทุกทักษะที่ใช้ฝึกฝนทั้งหมดบนทวีปเทียนหยวน
ยามนี้เขากำลังเลื่อนจากร่างบรรพกาลขั้น 1 ไปเป็นขั้น 2 แต่เนื่องจากความสมดุลระหว่างพลังบรรพกาลและร่างบรรพกาลได้พังทลายลง เขาต้องมากลั่นพลังเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งเพื่อสร้างจุดสมดุลขึ้นมาใหม่ หลังจากสำเร็จแล้ว เขาถึงจะสามารถใช้พลังบรรพกาลที่พึ่งเพิ่มพลังขึ้นมาได้ดั่งใจต้องการ
ร่างบรรพกาลมี 18 ขั้น หากเจี้ยนเฉินอยากเข้าถึงขั้นสูงสุด เขาต้องทำกระบวนการนี้ถึง 18 ครั้ง หลังจากผ่านพ้นการทรมานทั้ง 18 ครั้งไปได้ เขาถึงจะเข้าถึงขั้นสูงสุดได้
เสื้อผ้าของเจี้ยนเฉินโชกชุ่มไปด้วยเหงื่อจำนวนมาก พลังบรรพกาลภายในร่างแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน บางส่วนก็หลอมรวมเสริมพลังกับร่างกายของเขา ทำให้ร่างของเขาเป็นดั่งสื่อกลางคอยปรับสมดุลระหว่างพลังบรรพกาลที่มีอยู่ในร่าง
หลังจากเวลาผ่านเท่าใดไม่รู้ได้ ความเจ็บปวดภายในร่างของเจี้ยนเฉินหายไป พลังบรรพกาลในร่างเปลี่ยนจากมากมายดั่งมหาสมุทรเหลือเท่าแม่น้ำสายเล็ก ๆ ค่อย ๆ ไหลไปทั่วร่างก่อนเข้ามารวมกันในตันเถียน กลายเป็นขนาดเท่าเม็ดถั่ว
พลังบรรพกาลที่ก่อนหน้านี้ขนาดท่ากำปั้นหดลงเป็นอย่างมาก แต่ความบริสุทธิ์และพลังที่แฝงอยู่ภายในนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็ข้ามพ้นร่างบรรพกาลขั้น 1 เป็นร่างบรรพกาลขั้น 2 ความแข็งแกร่งของร่างบรรพกาลเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว แม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายใน แต่พลังป้องกันของเขานั้นเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเป็นอย่างน้อย
เจี้ยนเฉินที่นั่งอยู่บนพื้นค่อย ๆ ลืมตา ก่อนสำรวจพลังบรรพกาลในตันเถียน หลังพบว่าพลังของเขาเลื่อนเป็นขั้น 2 ความสุขก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าอย่างกดไว้ไม่อยู่
“เซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 7 พลังของข้าเท่าเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 7 แล้ว” เจี้ยนเฉินดีใจ ยามนี้ร่างบรรพกาลเลื่อนเป็นขั้น 2 พลังของเขาเลื่อนขั้นจากชั้นสวรรค์ที่ 3 ตรงไปเป็นชั้นสวรรค์ที่ 7 เขาข้ามรวดเดียว 4 ขั้น
“ยามนี้แม้ข้าต้องเผชิญหน้ากับบรรพชนของตระกูลเทพเจ้าแห่งไฟ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอีกต่อไป ด้วยยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎในมือข้า ข้าคงสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย” เจี้ยนเฉินคิดกับตัวเอง เขายังคงจำฉากที่บรรพชนจากตระกูลเทพเจ้าแห่งไฟบีบบังคับให้เขาใช้พลังบรรพกาลจำนวนมากในการโจมตีที่เมืองแห่งเทพเจ้า
“ร่างบรรพกาลขั้นแรกนั้นเทียบเท่ากับชั้นสวรรค์ที่ 3 หากมียุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎก็เพียงพอที่ข้าจะจัดการเซียนผู้คุมกฏชั้นสวรรค์ที่ 5 ยามนี้ข้าขึ้นมาอยู่ขั้น 2 พลังของข้าเทียบเท่าชั้นสวรรค์ที่ 7 อยากรู้นักว่าจะสังหารพวกชั้นสวรรค์ที่ 9 ได้หรือไม่หากใช้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ”
“ดูตามความเร็วในการพัฒนาของข้าในยามนี้แล้ว ยามนี้เลื่อนขึ้นสู่ขั้น 3 ข้าอาจสามารถตัดผ่านจากเซียนผู้คุมกฏไปเป็นเซียนราชาก็เป็นได้” เจี้ยนเฉินตั้งความหวังรอแล้ว เพราะยามใดที่เขาเป็นเซียนราชา ยามนั้นเขาก็มีสิทธิ์มากพอจะเจรจาต่อรองกับตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบ
นั่นเป็นเพราะทุก ๆ ตระกูลผู้พิทักษ์นั้นมีเซียนราชาอยู่ไม่น้อย ไม่มีทางใส่ใจกับแค่เซียนผู้คุมกฎธรรมดา เพราะทั้งสิบตระกูลนั้นอยู่จุดสูงสุดของทวีปเทียนหยวนแล้ว ดังนั้นไม่มีทางที่จะหันมาฟังเซียนผู้คุมกฎเป็นแน่
เจี้ยนเฉินสงบสติลง สลัดอารมณ์ทิ้งไป ก่อนหลับตาแล้วเริ่มซึมซับพลังหยางสุดขั้วต่อไป
แม้จะเลื่อนมาเป็นขั้นที่ 2 แล้ว แต่พลังบรรพกาลในตันเถียนของเขายังเล็กเกินไป เขาต้องเพิ่มพลังให้เร็วที่สุด พลังหยางสุดขั้วที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เขาไม่สามารปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ ได้ ส่วนแกนอสูรในวัตถุเซียนนั้น วันหนึ่งทั้งหมดจะถูกเขาดูดซับไปเองอย่างไม่ต้องกังวลเลย
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินลืมใส่ใจกับเวลาไป ก่อนตั้งสมาธิทั้งหมดไว้กับตัวเอง เขาปล่อยเรื่องราวทุกอย่างออกจากหัว มุ่งมั่นกับการฝึกฝนตรงหน้า เขาต้องการเพิ่มพลังตัวเองให้เร็วที่สุด
แต่ว่าหลังจากเข้าสู่ขั้นที่ 2 แล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของเขาก็ลดลง นั้นเพราะสำหรับสายพลังบรรพกาล 1 สายที่เขาอยากได้ ต้องใช้พลังมากมายเป็นการแลกเปลี่ยน ยามที่อยู่ขั้น 1 สายพลังบรรพกาลนั้นสามารถสกัดออกมาจากยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎเพียงชิ้นเดียว แต่ยามนี้เขาต้องใช้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎถึง 10 ชิ้นถึงจะเพียงพอ พลังที่ต้องใช้นั้นเพิ่มขึ้นมา 10 เท่าจากตอนแรก
..
หลังจากเวลาล่วงเลยไป พลังหยินและหยางสุดขั้วบนพื้นผิวศิลาเซียนหยินหยางก็ถูกดูดซับไปจนหมด
เจี้ยนเฉินและหญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์ออกมาจากห้วงฝึกฝน ก่อนตรวจสอบพลังตัวเอง แล้วความสุขอย่างปิดไม่มิดก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของทั้งสอง พลังบรรพกาลในร่างของเจี้ยนเฉินนั้นขยายมาเป็นขนาดเท่าหัวแม่มือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังออกมาจากการฝึกตน ทั้งสองมองศิลาเซียนหยินหยางที่กำลังลอยอยู่อย่างไม่สบอารมณ์ แค่เพียงพลังบนพื้นผิวบาง ๆ ยังมีประโยชน์มากมายถึงเพียงนี้ ทั้งสองก็รู้แล้วว่าพลังภายในหินนั้นจะมีทรงพลังมากกว่านี้แค่ไหน
เจี้ยนเฉินหันไปมองหินตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา แล้วหันไปหาหญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์ “หญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์ เราควรกลับ ยามนี้พลังของเรายังไม่พอจะจัดการศิลาเซียนหยินหยางนี้ได้ ยามใดที่เราแข็งแกร่งมาแล้ว ข้าจะตามหาท่าน แล้วเราค่อยกลับมาที่นี่กันอีกครั้ง”
หญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์ชำเลืองมองเจี้ยนเฉิน นางควบคุมตัวเองไม่ให้พูดอะไรออกไป ก่อนจะค่อย ๆ เดินออกมาจากตรงนั้นเงียบ ๆ
เจี้ยนเฉินและหญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์ออกมาจากที่ที่ศิลาเซียนหยินหยางตั้งอยู่ ก่อนจะตามหาประตูมิติที่โม่เทียนหยุนตั้งเอาไว้ในอดีตพบ
ประตูมิตินั้นเป็นกระท่อมหินเล็ก ๆ ขนาดพอให้คนไม่เกิน 10 คนเข้าไป กำแพง พื้น หลังคาเต็มไปด้วยอักขระมากมายสลักไว้
หน้าประตูมิติ เจี้ยนเฉินหันไปมองโลกไร้กาลเวลาเบื้องหลัง เขารู้ว่าหลังจากนี้ไปความทรงจำจากที่แห่งนี้จะฝังลึกเข้าไปในสมองของเขา เรือนร่างของหญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์จะสลักลึกไม่มีวันเลือนหายไปในความทรงจำ
ทันทีที่เปิดใช้งานประตูมิติ เจี้ยนเฉินและหญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์มากมายก็หายไป
ที่ก้นบึ้งของหลุมดาราในมหาสมุทรดวงดาว แสงสีขาวปรากฏขึ้นมากลางความว่างเปล่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หลังจากที่แสงนั้นจางหายไป ก็ปรากฏร่างของเจี้ยนเฉินและหญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์ขึ้น
ทั้งสองกลับมาเกาะมังกรด้วยประตูมิติที่โม่เทียนหยุนเคยสร้างทิ้งเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
โฮกกกกกก !
บางทีการที่จู่ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นมาทำให้ซากศพทั้งหลายต่างถูกกระตุ้นขึ้นพร้อมเสียงคำรามก้อง ก่อนที่ซากศพจำนวนมากจะพุ่งตรงมาจากบริเวณโดยรอบทั้งหมด
สีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปทันที แม้พลังของทั้งคู่จะเพิ่มขึ้นมามาก แต่ก็ไม่เท่าเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 9 เฮยยู่ อีกอย่างในบรรดาซากศพทั้งหลายนั้นมีซากเซียนราชาอยู่ในนั้นด้วย หากถูกล้อมเอาไว้จะลำบากเอาไม่น้อย
“รีบออกจากที่นี่กัน ! ” ทางออกจากหลุมนั้นอยู่เหนือหัวขึ้นไป เจี้ยนเฉินตะโกนบอกหญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์ ก่อนจะพุ่งตัวไปยังทางออก
หญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์ไม่ลังเลพร้อมแล้วพุ่งออกจากก้นหลุมดาราแทบจะพร้อมกับเจี้ยนเฉิน