ตอนที่ 560 คนหนึ่งอบอุ่น คนหนึ่งเย็นฉ่ำเหมือนหยก

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูซิงหลัน “……” 

 

 

พอเห็นอาจารย์ต้าฉุยส่งเนื้อมาให้นาง นางก็ถึงกับนิ่งงันไป 

 

 

ทำไมไม่บอกแต่แรกว่าจะแล่เนื้อแพะให้นางเล่า…..อยู่ๆก็ชักมีดออกมา ทำเอานางตกอกตกใจว่าจะทำอะไร 

 

 

นางแอบถอนใจเบาๆ ยังไม่ทันได้คลายใจลงสักเท่าไหร่ ก็เห็นอาจารย์ต้าฉุยขยับมีดในมืออีกครั้ง 

 

 

วิธีการแล่เนื้อแพะของเขาดูชำนิชำนาญและโหดเ**้ยมน่ากลัว….  

 

 

ดูไปแล้วไม่น่าเชื่อ ว่าเนื้อแพะย่างจะถูกเขาแล่ออกมาได้บางเฉียบราวแผ่นกระดาษ …. ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองดูก็พบว่าทุกๆแผ่นล้วนบางเท่าๆกัน 

 

 

“กินเลย~” อาจารย์ต้าฉุยตวัดมีด วางแผ่นเนื้อบนมีดลงบนจานของนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ฉุยซือ….วางมีดลงก่อน พวกเรามาคุยกันดีๆ” 

 

 

อาจารย์ต้าฉุย “ถ้าอาจารย์วางมีด แล้วใครจะแล่เนื้อให้เจ้ากิน?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนร้องไห้ไม่ออก อย่าพูดอะไรที่มันฟังดูน่ากลัวขนาดนั้นได้หรือไม่ มันฟังดูเหมือนว่านางกำลังจะกินเนื้อคนอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ในอดีตมีพระโพธิสัตว์แล่เนื้อป้อนเหยี่ยว วันนี้ก็มีฉุยซือแล่เนื้อให้ศิษย์อย่างนั้นหรือ? 

 

 

แต่ว่าอาจารย์ต้าฉุยกลับไม่ยอมหยุดมือ มีดในมือหมุนคว้าง ราวกับกำลังเริงระบำ เพียงพริบตาเดียวก็แล่เนื้อออกมาให้นางจนเต็มจาน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนิ่งอึ้งไปครึ่งค่อนวัน สุดท้ายอดไม่ไหวต้องถามออกมาว่า “ฉุยซือ…..เจ้าคงไม่ได้สำเร็จวิชามาจากแดนตะวันออกกระมั้ง?” 

 

 

ดูฝีมือของเขาสิ หากไม่ได้สำเร็จวิชามาจากแดนตะวันออก ก็ต้องสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องกระพริบตาแล้ว 

 

 

อาจารย์ต้าฉุยชะงักมือไปเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงคำพูดของนางอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่ง ค่อยตอบช้าๆว่า “ข้าผู้เป็นอาจารย์เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องไปศึกษาในที่ใด ส่วนแดนตะวันออกที่เจ้าพูดถึง…..หากมีโอกาสล่ะก็ ข้าก็จะไปชมดูสักครั้ง” 

 

 

เนื่องเพราะฐานะของศิษย์น้อยค่อนข้างพิเศษ สิ่งที่เข้าสายตานางได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นสภานที่ที่ไม่ด้อยไปกว่าเหลาจุ้ยเซียนจูแห่งนี้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางที่เอาจริงเอาจังของเขาก็หลุดขำออกมา 

 

 

อยู่ๆนางก็รู้สึกว่า ท่านเจ้าสำนักใสซื่อจนน่าขำ 

 

 

พอเห็นนางยิ้มออกมา อารมณ์ของท่านเจ้าสำนักก็ดีตามไปด้วย ไม่รู้ว่าเขาไปเอาสุราไหหนึ่งมาจากที่ใด รินให้กับนางครึ่งถ้วย 

 

 

“สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในจุ้ยเซียนจูก็คือสุราจุ้ยเซียนเนี่ยง เจ้าลองชิมดู” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?” 

 

 

อะไรกันเนี่ย…..ในห้องนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างครบครันเลยหรือ? ฉุยซือถึงได้สามารถหยิบฉวยยอดสุราที่มีชื่อเสียงที่สุดของจุ้ยเซียนจูขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย? 

 

 

นางตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้นมาคุกเข่า ยกมือป้องไปที่ใบหูของเขา ถามออกไปอย่างกระซิบกระซาบว่า “ฉุยซือ ของเล่นนี้แพงมากใช่หรือไม่?” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ของพวกนี้ใช่แพงหรือไม่ เขาไม่ค่อยจะรู้สึกรู้สาสักเท่าไหร่ 

 

 

ชิ…..พ่อเทพเซียนที่ใช้ชีวิตเหนือมนุษย์ ไม่กินไม่ดื่ม เจ้าตัวร้ายกาจ  

 

 

แต่ว่าในเมื่อนี่เป็นคำถามของศิษย์น้อย ท่านเจ้าสำนักจึงยังคงตอบด้วยความอดทน  

 

 

เขาวางไหสุราในมือลง ปลายนิ้วที่เรียวยาว ชี้ลงไปที่ยังหมู่คนที่ดูเหมือนร่ำรวยที่ชั้นล่าง 

 

 

“ที่พวกเขามา ก็เพื่อวอนขอจิบสุราจุ้ยเซียนเนี่ยงสักอึก บ้างก็หอบเอาไข่มุก บ้างก็นำสัตว์วิเศษมา บ้างก็คิดจะใช้หินวิญญาณมาแลกเปลี่ยน….” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้ยินแล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที หากใช้ภาษาคนมาอธิบาย ก็คือแพง แพงชนิดขูดเลือดขูดเนื้ออย่างไรอย่างนั้น ถึงกับต้องเอาสมบัติล้ำค่าสัตว์วิญญาณ หินวิญญาณมาแลก เพื่อจะได้ดื่มจุ้ยเซียนเนี่ยงสักอึกหนึ่ง 

 

 

คราวนี้สมองของนางต้องหนักอึ้งขึ้นมา นางคิดไปถึงถุงเฉียนคุนของตนเอง ในนั้นก็ไม่ได้เก็บสิ่งของล้ำค่าอะไร พอเหลือบตาไปมองดูฉุยซือ ที่ใส่ชุดดำตลอดร่าง ก็เห็นว่าไม่มีของมีค่าใดๆเช่นกัน 

 

 

ดังนั้นพวกนางที่เดินเข้ามาอย่างราชากินอาหารหรูหรา…..อีกประเดี๋ยวพอถูกจับได้ จะเปิดฉากสังหาร หรือว่าไปช่วยคนเขาล้างจานใช้หนี้ตลอดเดือนดี? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดปัญหานี้อยู่ในใจอย่างจริงจัง 

 

 

คิดๆดูแล้ว หากว่าไม่ไหวจริงๆละก็ โยนฉุยซือไปเป็นพนักงานต้อนรับที่ประตู ก็คงจะพอชดเชยได้บ้างกระมั้ง….เพราะด้วยรูปร่างหน้าตาของเขา แค่ไปยืนที่ประตูสักพัก ก็คงจะมีหญิงสาวมากมายต่อแถวจะบุกเข้ามาอยู่แล้ว 

 

 

ถึงแม้ว่ากิจการของเหลาจุ้ยเซียนจูจะไม่ได้หงอยเหงา แต่ว่าหากเพิ่มคนหน้าตาดีเข้าไป เหลาจุ้ยเซียนจูก็คงจะยิ่งเจิดจ้าบาดตายิ่งกว่าเดิมมิใช่หรือ? 

 

 

ดังนั้นสายตาของนางจึงมองอยู่ที่ร่างของท่านเจ้าสำนักกลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา คนผู้นี้นอกจากชอบทำหน้าตายแล้ว ตลอดร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนงดงามไร้ตำหนิ คิดๆดูแล้วหากเอาเขาไปขายรอยยิ้มล่ะก็ ยังถือว่าขาดทุนไปบ้าง 

 

 

ท่านเจ้าสำนักมิได้รู้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ มือของนางยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่ข้างหูของเขา ลมหายใจอันอบอุ่นมีกลิ่นหอมของดอกฮว๋ายฮวาจางๆ 

 

 

เขาชอบกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกฮว๋ายฮวามาก มันทำให้คนรู้สึกจิตใจสงบลง ให้ความอบอุ่นไปทั่วทั้งร่าง 

 

 

ลมหายใจอุ่นๆเป่าเบาๆอยู่ที่ริมใบหู ทั้งยังรดลงไปบนคอของเขา คันนิดๆ 

 

 

ท่านเจ้าสำนักก้มศีรษะลงมาเหลือบดูเล็กน้อย พอเงยหน้าขึ้นไปมอง ตนเองก็ห่างจากตู๋กูซิงหลันเพียงนิ้วเดียว ปลายจมูกของทั้งสองเกือบจะสัมผัสกัน 

 

 

คนหนึ่งอบอุ่น คนหนึ่งเย็นฉ่ำดุจหยก 

 

 

ตอนที่ปลายจมูกสัมผัสกันนั้น ตู๋กูซิงหลันถึงกับกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง 

 

 

ดวงตาหงส์คู่นั้น…..เหมือนกับดวงตาของจีเฉวียนอย่างยิ่ง 

 

 

พอมองดูในระยะใกล้ขนาดนี้ ในแววตาคู่นั้น นางสามารถมองเห็นภาพสะท้อนของตนเองในนั้น 

 

 

ในแววตาของเขา มีแต่นาง 

 

 

นั่นทำให้นางมีความรู้สึกเหมือนได้พบกับจีเฉวียนอีกครั้ง ……. เพราะในสายตาของเขา มีเพียงนางแต่ผู้เดียว 

 

 

แต่ไหนแต่ไรท่านเจ้าสำนักไม่ชอบให้ใครเข้ามาใกล้ชิด อย่าว่าแต่แตะต้องเขาเลย แค่ในระยะสามก้าวผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้เขาได้ทั้งนั้น 

 

 

แต่ว่าศิษย์น้อยผู้นี้กลับแตกต่างออกไป 

 

 

ตอนที่จมูกของนางสัมผัสกับเขา เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกต่อต้าน ในส่วนลึกของหัวใจ ยังเกิดความต้องการจะเข้าใกล้นางขึ้นมาอีกด้วย 

 

 

ความคิดเช่นนี้ทำให้ท่านเจ้าสำนักผู้มีสีหน้าเรียบเฉยมาตลอดต้องหน้าแดงน้อยๆขึ้นมา 

 

 

คนที่เป็นถึงอาจารย์ จะมาบังเกิดความคิดเช่นนี้กับศิษย์ของตนเองได้อย่างไรกัน? นี่มิใช่เรื่องดี ไม่ใช่เรื่องดีเอามากๆ 

 

 

เขาเปลี่ยนเป็นนั่งตัวตรง ผลักร่างศิษย์ตัวน้อยออกไปอย่างไม่ต้องคิด 

 

 

แต่ว่าตอนที่ผลักนางออกไป ก็ยังขยับนิ้วไปลูบลงบนริมฝีปากของนางครั้งหนึ่ง 

 

 

เช็ดเอาน้ำมันและเศษอาหารที่ติดอยู่ออกไป 

 

 

คนอะไรอายุสิบแปดแล้ว…..กินอาหารยังมีเศษอาหารติดปากอีก…… 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเห็นเขาล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในแขนเสื้อ ค่อยๆเช็ดคราบน้ำมันบนปลายนิ้วอย่างช้าๆ 

 

 

จนสะอาดหมดจด! 

 

 

ดวงตาดอกท้อของนางหรี่ลงอย่างเงียบๆ 

 

 

ตามปกติแล้ว บุรุษทั่วไปที่ไหนจะพกผ้าเช็ดหน้าเหมือนสตรีกัน…..นอกจากจีเฉวียน 

 

 

นางคิดไม่ถึงว่า ฉุยซือก็จะมีอุปนิสัยเช่นนี้ด้วย 

 

 

นางนั่งลงบนฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเตี้ย อดทนอยู่ครึ่งค่อนวัน หมัดที่อยู่ในแขนเสื้อก็ยกขึ้นมา เอ่ยขณะคลี่ยิ้มที่มุมปากแต่ไปไม่ถึงดวงตาว่า “เสี่ยวเฉวียนเฉวียน หากว่ามีวันหนึ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าแกล้งเล่นละครหลอกข้าล่ะก็ เจ้าตายแน่นอน” 

 

 

ท่านเจ้าสำนัก “?” 

 

 

“พูดอะไรเหลวไหลเลอะเทอะอีกแล้ว ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า ข้าไม่ใช่จีเฉวียน” 

 

 

เขาได้ยินชื่อของจีเฉวียนจากปากของนาง ต่อให้ไม่ถึงร้อยก็ต้องมีห้าสิบรอบแล้ว 

 

 

ศิษย์น้อยผู้นี้ช่างฝังใจอย่างลึกล้ำ ปักใจว่าเขาต้องเป็นโอรสสวรรค์แคว้นโจวที่หายสาบสูปไปอยู่นั่น 

 

 

เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ …..เขากับโอรสสวรรค์แคว้นโจว ไม่มีทางมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน 

 

 

ต่อให้ลองคิดดูเล่นๆ ฮ่องเต้ที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง ไหนเลยจะมีความสามารถสูงล้ำเช่นเขาได้กัน? 

 

 

……………………….