ตอนที่ 561 สายตาดุจเลเซอร์

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ว่าแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็เสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “อาจารย์ไม่ชอบให้เจ้าเอ่ยถึงเขา” 

 

 

นับตั้งแต่วันที่เขารับนางเอาไว้เป็นศิษย์ เขาสมควรจะเบียดโอรสสวรรค์ผู้นั้นตกขอบไป และกลายเป็นคนที่สำคัญที่สุดของนางจึงจะถูก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันแทบจะจ้องเขาจนกลายเป็นรูอยู่แล้ว  

 

 

แต่เขากลับยกจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมา ดื่มกินเองจอกหนึ่ง 

 

 

ยามที่รินสุราลงไปในจอก เพียงได้กลิ่นสุราหอมอ่อนเท่านั้น แต่พอเขาดื่มลงไป กลิ่นหอมถึงได้กำจายเข้มข้นขึ้นมา 

 

 

กลิ่นหอมของสุรากระจายไปทั่วห้อง อีกทั้งบนร่างของเขายังปรากฏแสงสีเงินเรืองรองขึ้นมาจางๆ 

 

 

บนด้านหลังของกระหม่อม ปรากฏวงแสงสว่างราวกับพระโพธิสัตว์ออกมา 

 

 

แสงสว่างที่กำจายอยู่รอบกายของเขา เปี่ยมไปด้วยไอทิพย์ที่เข้มข้น ไอทิพย์นั้นมาจากสุราจุ้ยเซียนเนี่ยนที่ดื่มลงไป ทั้งยังมีกลิ่นสุราจางๆ 

 

 

ภาพตรงหน้าทำเอาตู๋กูซิงหลันมองดูจนตกตะลึงไปแล้ว 

 

 

อะไรกันเนี่ย แค่ดื่มสุราลงไปถ้วยเดียวก็กลายเป็นเซียนไปแล้ว! 

 

 

โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นวงแสงที่สว่างอยู่ด้านหลังศีรษะราวพระโพธิสัตว์ของฉุยซือ ตู๋กูซิงหลันถึงกับชมดูจนตาค้าง 

 

 

นางอดไม่ไหวต้องก้มลงมองดูสุรานั้นอีกหลายครั้งด้วยความสงสัยว่าสุรานี้ทำมาจากสิ่งใดกันแน่ 

 

 

ช่างวิเศษไม่น้อยเลย 

 

 

“จุ้ยเซียนเนี่ยนหากทิ้งเอาไว้นานเกินไป จะเสื่อมสรรพคุณ เมื่อเทออกมาแล้วต้องรีบดื่มลงไป” ฉุยซือที่เดิมหลับตาพริ้มอยู่ค่อยลืมตาขึ้นมา 

 

 

ทันทีที่เขาลืมตา นัยตาก็เปล่งแสงสว่าง 

 

 

หากจะให้ตู๋กูซิงหลันอธิบายละก็….มันเหมือนกับแสงจากไฟฉายสองดวงที่ส่องออกมาจากความมืดมิด 

 

 

ยามที่อาจารย์ต้าฉุยลืมตาขึ้นมา ก็เหมือนจะส่องทุกอย่างรอบด้าน 

 

 

นางคิดแล้วก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ…..อีกเดี๋ยวพอตนเองดื่มลงไปอึกหนึ่ง ที่ด้านหลังกระหม่อมใช่จะมีวงแสงสว่างแบบพระโพธิสัตว์ออกมาเหมือนกัน….. 

 

 

จาดนั้นดวงตาก็จะเปล่งแสงเลเซอร์ได้แบบอุลตร้าแมนเลยใช่ไหม….. 

 

 

คิดดูแล้วก็แปลกประหลาดดีแท้ 

 

 

พอคิดไปถึงของประหลาดต่างๆอย่างเช่นขาหมูที่กลืนลงท้องไปก่อนหน้านี้ จุ้ยเซียนจูช่างเป็นสถานที่แปลกประหลาดโดยแท้ 

 

 

ดังนั้นนางจึงไม่คิดปฏิเสธ ดื่มรวดเดียวลงไปจอกหนึ่งในทันที 

 

 

พอเหล้าไหลลงไปในกระเพาะ ก็รู้สึกว่าพลังของจิตวิญญาณในร่างถูกกระตุ้นออกมา จากนั้นก็หมุนวนออกไปทั่วทิศทาง ช่องโพรงที่เคยติดขัดในร่างกายของนางล้วนถูกทะลวงจนปลอดโปร่ง 

 

 

ใช่แล้ว…..ครั้งก่อนตอนอยู่แคว้นเซ่อปี่ซือที่ขาหัก …..ตอนหลังแม้ว่าจะเชื่อมกระดูกและเส้นเอ็นได้แล้ว แต่ก็ยังคงมีจุดที่ติดขัดมีอาการหนาวเย็นอยู่เสมอ แม้จะผ่านมาเนิ่นนานก็ยังไม่สามารถสลายออกไปได้ 

 

 

คิดไม่ถึงว่าแค่ดื่มเหล้าลงไปจอกเดียว แม้แต่อาการหนาวเย็นที่ขาที่เป็นมาเนิ่นนานก็กลายเป็นหายสนิท 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งขัดสมาธิลงที่ข้างโต๊ะเตี้ย กำหนดลมหายใจ เคลื่อนไหวลมปราณไปทั่วร่างกาย 

 

 

จนรู้สึกเบาสบายไปทั่วทั้งร่าง พลังวิญญาณเหมือนจะเรืองรองออกมาจากร่าง ขณะเดียวกันร่างกายก็หายเจ็บปวดหายเมื่อยล้า มีกำลังเปี่ยมล้นจนสามารถดำดิ่งลงไปในนรกสิบแปดขุมได้ในอึดใจเดียว 

 

 

นางไม่รู้ว่าตนเองทำสมาธิไปนานเพียงไร ยามที่ลืมตาขึ้นมา เมื่อสบตากับฉุยซือดวงตาทั้งสี่ล้วนมีแสงเลเซอร์สะท้อนออกมา 

 

 

พอนางหลุบตาลงลำแสงนั้นก็ไปจับอยู่ที่จุดซึ่งไม่ควรอธิบายของท่านเจ้าสำนัก 

 

 

พอลำแสงที่สว่างจ้าสองสายส่องลงไปทำให้ตรงจุดนั้นเด่นขึ้นมา 

 

 

ท่านเจ้าสำนักอดไม่ได้ที่จะมองตามสายตาของนางไป…. 

 

 

จากเดิมที่จุดนั้นมีลำแสงสองลำส่องอยู่ ตอนนี้จึงกลายเป็นลำแสงสี่สาย ราวกับว่าตรงจุดนั้นมีสมบัติล้ำค่าในใต้หล้าซุกซ่อนอยู่ 

 

 

ภายใต้แสงที่ส่องสว่าง ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใต้เสื้อผ้าตรงจุดนั้นมีรูปทรงของบางสิ่งอยู่ 

 

 

ช่างเป็นสมบัติล้ำค้าชิ้นใหญ่จริงๆ ไม่เสียทีที่ชื่อว่าต้าฉุย (ค้อนยักษ์) 

 

 

ท่านเจ้าสำนักมองดูตนเอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองดูนางโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……” 

 

 

ไม่ใช่นะ…..อาจารย์ต้าฉุย เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน 

 

 

++อธิบายทำค้อนอะไร! 

 

 

ทำไมนางจะต้องอธิบายด้วย? ก็ไม่ใช่ว่านางจงใจจะมองดูตรงนั้นสักหน่อย….. 

 

 

แสงจากดวงตานี่มันควบคุมไม่ได้ จะมาโทษนางได้อย่างไรกัน 

 

 

“ศิษย์เอ๋ย เป็นคนพึงสำรวมให้มาก โดยเฉพาะสตรีเยาว์วัย ไม่ควรไปจับจ้องบุรุษมั่วซั่ว” 

 

 

อาจารย์ต้าฉุยไม่มีทีท่าจะเขินอายแม้แต่น้อย บนหลังกระหม่อมยังคงมีวงแสงสว่างเรืองรอง กริยาสงบนิ่งสั่งสอนศิษย์น้อยของตนเองอย่างตั้งใจ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้….พูดตามจริง นางก็พยายามจะเอาจริงเอาจังแล้ว 

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่มีแฟนที่ทั้งเค็มทั้งหวานทั้งอ่อยทั้งน่าจู่โจมอย่างเสี่ยวเฉวียนเฉวียน นางยังไม่เคยได้ทันทำอะไรเขาเลยนะ…. 

 

 

นางอ้าปากค้าง คิดจะหาทางกู้หน้าคืนมาให้ตนเองสักหน่อย ก็ได้ยินเสียงอาจารย์ต้าฉุยถอนหายใจออกมา 

 

 

“หากว่าเจ้ารู้สึกสงสัย ก็ให้มองได้แต่ของอาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ไปมองดูของผู้อื่นอย่างเด็ดขาด” 

 

 

อาจารย์ต้าฉุยรู้สึกว่า คนที่เป็นอาจารย์สมควรต้องมีความเสียสละตนเอง 

 

 

ลูกศิษย์ก็เปรียบได้กับบุตรธิดาของตนเอง สมควรรักถนอม ไม่ว่าต้องการสิ่งใดล้วนต้องทุ่มเทให้นางสมปรารถนา นี่จึงจะสมกับเป็นอาจารย์ที่ดี 

 

 

น่าเสียดายที่ศิษย์น้อยอะไรๆก็ดี แต่กลับเป็นสตรีเจ้าสำราญ จุดนี้ทำให้ท่านอาจารย์ต้าฉุยรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง 

 

 

ในเมื่อนางเป็นสตรีเจ้าสำราญ หากออกไปภายนอกเที่ยวจับจ้องผู้อื่นไปเรื่อย มิต้องถูกทุบตีโดยง่ายหรอกหรือ 

 

 

ถึงแม้อาจารย์ต้าฉุยจะรู้สึกว่า คนที่จะโดนทุบตีคงจะเป็นอีกฝ่ายมากกว่าก็ตาม 

 

 

แต่ว่าจะอย่างไรนางก็เป็นศิษย์ของตนเอง หากสั่งสอนไม่ดีย่อมเป็นความผิดของเขา ไปทุบตีผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องดีอยู่ดี 

 

 

ดังนั้นได้แต่ต้องเสียสละตนเองสักเล็กน้อย หากว่าจะสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับศิษย์น้อยได้เช่นนั้นก็ดี 

 

 

ในใจของเขาพรั่งพร้อมอย่างเต็มที่ แต่ภายนอกสีหน้ายังคงวางตนสูงส่งเย็นชาอยู่เช่นเดิม 

 

 

หากไม่ใช่เพราะประโยคหลังที่เขาเอ่ยออกมาเมื่อครู่ ตู๋กูซิงหลันคงจะคิดว่าเขาเป็นคนดีไปแล้ว 

 

 

ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุรา มอมเมาผู้คน 

 

 

บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอึดอัดขัดเขินนางได้แต่หันเหสายตาไปมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ ทำเอาภายในห้องมีแสงสว่างส่องออกมาอยู่ตลอดเวลา 

 

 

ราวกับว่ามีไฟฉายดวงใหญ่ส่องไปส่องมาอยู่ในห้อง 

 

 

……………. 

 

 

ที่ชั้นล่าง เหล่าคนท้องถิ่นต่างก็พากันมองตามแสงขึ้นมาที่ชั้นบนสุด 

 

 

“สวรรค์ นั่นมันเป็นห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งมิใช่หรือ?” 

 

 

“จริงด้วย นี่เป็นท่านเซียนวิเศษจากที่ใดให้เกียรติมาเยือนกัน?” 

 

 

“ดูท่าแล้ว….คงจะได้รับการต้อนรับด้วยด้วยสุราจุ้ยเซียนเนี่ยนเป็นแน่” 

 

 

“ช่างน่าอิจฉา!” 

 

 

“น่าอิจฉาจนน้ำตาจะไหล!” 

 

 

“โอ้วนั่น เห็นรัศมีของพระโพธิสัตว์นั่น…..” 

 

 

เหล่าคนท้องถิ่นที่อยู่ด้านล่างต่างพากันโห่ร้องขึ้นมา…..ในหมู่พวกเขามีบางคนที่วางเงินมัดจำไปเป็นปีแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นแม้แต่ไหสุราเลยเสียด้วยซ้ำ 

 

 

แต่พอมีเซียนใหญ่มา ก็ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่ให้อิจฉาได้อย่างไร? 

 

 

ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งนั้น…..นับตั้งแต่ที่เหลาจุ้ยเซียนจูถูกสร้างขึ้นมาในเมืองว่านฮวาเฉิง เคยเปิดใช้กี่ครั้งกัน 

 

 

แม้แต่เจ้าแคว้นทั้งห้า…..ยังไม่มีคุณสมบัติได้รับประทานอาหารที่นั่นแม้แต่มื้อเดียว…. 

 

 

เจ้าของเหลาจุ้ยเซียนจูมีที่มามิใช่ธรรมดา เขาไม่สนใจหรอกว่าเจ้าเป็นอ๋องยิ่งใหญ่มาจากไหน เมื่อมาถึงสถานที่ของเขา ก็ต้องทำตามกฏระเบียบของเขาเท่านั้น 

 

 

ครั้งก่อนที่ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งเปิดรับรองแขกนั้น….ดูเหมือนจะเป็นร้อยปีก่อนได้กระมั้ง? 

 

 

ผู้ที่มาย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ที่สะบัดมือครั้งหนึ่งก็ผ่าภูเขา โบกมือครั้งเดียวก็ถมทะเลได้ 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างก็ไม่รู้เลยจริงๆว่า ครั้งนี้ห้องสวรรค์หมายเลยหนึ่งได้เปิดออกเพื่อต้อนรับผู้ใด 

 

 

แต่ว่าคิดๆดูแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา อีกแค่สองวันก็จะถึงงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติแล้ว ตอนนี้ในเมืองว่านฮวาเฉิงมิว่าที่ใดล้วนแต่มีผู้โดดเด่นอยู่เต็มไปหมด ห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่งเปิดให้การต้อนรับลูกค้าผู้ทรงเกียรติ ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลสามารถเข้าใจได้ 

 

 

เพียงแต่พวกเขาต่างก็สงสัย….. 

 

 

จึงพากันทำคอยืดคอยาว คิดจะมองดูให้ชัดเจน 

 

 

แต่ว่าน่าเสียดายสถานที่อย่างจุ้ยเซียนจู ไหนเลยจะเปิดโอกาสให้คนนอกมาส่องดูได้…… 

 

 

…………………… 

 

 

ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันค่อยทำตัวสงบเสงี่ยมลงบ้าง สายตามิได้กวาดมองไปวุ่นวายอีก ขณะที่นางกำลังขัดเขินอย่างที่สุดนั้น ที่นอกประตูห้องก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา 

 

 

………………..