ตอนที่ 562 พี่รอง?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นางและท่านเจ้าสำนักหันไปมองดูอย่างพร้อมเพรียงกันในทันที 

 

 

แสงเลเซอร์จากดวงตาที่ยังมิได้จางหายไปสาดส่องออกไป ดวงตาสี่ดวงรวมเป็นจุดเดียว กลายเป็นแสงไฟดวงใหญ่ส่องไปยังคนผู้นั้น 

 

 

จนเขาแทบจะถูกแสงสว่างที่รุนแรงเผาไหม้ 

 

 

ตลอดร่างของเขาทั้งบนและร่างตกอยู่ใต้แสงสว่าง ชั่วขณะนั้น เขาพลันรู้สึกว่าทุกๆจุดภายในร่างกายล้วนถูกส่องจนทะลุทะลวง ทำให้เขาปราศจากที่หลบซ่อนใดๆ 

 

 

แม้แต่กระทั่งสองมือก็ยังไม่รู้ว่าสมควรจะวางไว้ที่ใดดี จนพักใหญ่ค่อยได้สติทำการคำนับท่านเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง พลางเอ่ยด้วยความเคารพนอบน้อมว่า “ฝ่าบาท ผู้ถือสารจากตำหนักซิวหลัวเตี้ยนขอเข้าเฝ้า” 

 

 

ฝ่าบาท? 

 

 

ประเด็นสำคัญของตู๋กูซิงหลันอยู่ที่คำเรียกขานเมื่อครู่นั้น 

 

 

คนทั้งสำนักหยินหยางทั้งผู้อาวุโส ศิษย์ในสำนัก ล้วนเรียกขานเขาว่าท่านเจ้าสำนัก นางไม่เคยได้ยินใครเรียกเขาเป็นฝ่าบาทมาก่อนเลย 

 

 

นางชักจะสงสัยในฐานะของเขาขึ้นมาเสียแล้ว 

 

 

ดังนั้นจึงได้เหลือบตาไปมองดูผู้มานั้นอีกหลายครั้ง บุรุษผู้นี้อายุประมาณยี่สิบปี รูปโฉมนับว่าเข้าตาอยู่บ้าง จิตวิญญาณบนร่างเข้มข้น นับว่าระดับการฝึกฝนไม่ต่ำต้อย 

 

 

ตอนนี้เวลาที่นางมองดูผู้คน แสงเลเซอร์ก็กวาดตามไปด้วย จนสายตาของอีกฝ่ายถึงกับพร่ามัวไปแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้ามองดูนาง 

 

 

ระมัดระวังตัว รักษากฎเกณฑ์อย่างยิ่ง เขารู้ดีว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ 

 

 

นับว่ารู้ความกว่าพวกศิษย์ในสำนักหยินหยางที่ชอบแอบมองดูมากมายนัก 

 

 

ท่านเจ้าสำนักนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ยด้วยสีหน้าเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง เขาเพียงโบกแขนเสื้อช้าๆ 

 

 

“ข้าเคยพบต้าซือมิ่งของพวกเขามาแล้ว ไม่คิดจะเจอใครอีก” 

 

 

กับตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ท่านเจ้าสำนักไม่มีความรู้สึกดีๆให้ 

 

 

ผู้มาลังเลอยู่บ้าง สุดท้ายเขาก็อดไม่ใจไหว จึงเหลือบมองดูพวกนางแวบหนึ่ง พอได้เห็นตู๋กูซิงหลันอย่างชัดเจน ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย 

 

 

จากนั้นก็กดเสียงต่ำลง หันไปทางท่านเจ้าสำนักคำนับอย่างนอบน้อมพลางเอ่ยว่า 

 

 

“ผู้ถือสารกับคุณชายน้อยที่อยู่ข้างกายฝ่าบาท มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกัน….” 

 

 

พอเขาพูดจบ หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็กระตุกขึ้นมา 

 

 

สมองของนาง มีภาพของพี่รองปรากฏขึ้นมาในทันที 

 

 

เวลาที่นางแต่งเป็นชาย จงใจให้ดูคล้ายไปทางพี่รอง และเดิมทีพวกนางสามพี่น้อง ต่างก็มีส่วนที่คล้ายกันอยู่แล้ว….. 

 

 

ตอนนี้ ทุกความเคลื่อนไหวของนาง มิว่าจะเป็นอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนเพียงไร ล้วนอยู่ในสายตาของท่านเจ้าสำนักทั้งสิ้น 

 

 

เดิมทีเขาไม่คิดจะพบผู้ถือสารอะไรนั่น แต่ตอนนี้เพราะศิษย์น้อย เขาจึงเปลี่ยนคำพูด 

 

 

“ให้เขาเข้ามา ข้าจะพบเขา” 

 

 

น้ำเสียงเย็นชา เรียบนิ่งไร้รอยคลื่น ราวกับว่าคนที่ปฏิเสธไม่พบใครเมื่อครู่นั้น….มิใช่เขาเลยสักนิด 

 

 

ผู้มาได้รับคำตอบเช่นนั้น ก็คำนับครั้งหนึ่งแล้วถอยไปในทันที 

 

 

ครู่ต่อมา หนุ่มน้อยในชุดสีน้ำเงินผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาทางประตู 

 

 

เขารวบผมไว้ครึ่งหนึ่ง ทั่วร่ายกำจายกลิ่นอายสังหารอันเข้มข้นออกมา 

 

 

 

 

 

 

 

 

ดวงตาที่เคยเปล่งประกายสดใสคู่นั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใดถึงได้เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งเย็นชา รอบตาขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง ขอบตาล่างมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า 

 

 

แสงเลเซอร์ในดวงตาของตู๋กูซิงหลันและท่านเจ้าสำนักจางหายไปแล้ว แต่รัศมีด้านหลังกระหม่อมยังคงเรืองแสงอยู่จางๆ 

 

 

พอได้เห็นใบหน้าของเขา ดวงตาของตู๋กูซิงหลันก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที 

 

 

อีกฝ่ายเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างของนาง อย่างไม่อาจเคลื่อนไปที่ใดได้ 

 

 

เข้าอ้าปากค้าง แต่กลับไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นยืน เดินจากข้างโต๊ะเตี้ยตรงเข้าไปที่ตรงหน้าของเขา ทั้งๆที่เขากำลังตกตะลึงอยู่เช่นนั้น แต่นางกลับโผเข้าไปกอดเขาเอาไว้ 

 

 

ทั้งๆอีกฝ่ายสูงกว่านางถึงครึ่งศีรษะ แต่ว่าตอนนี้กลับถูกนางกอดเอาไว้อย่างแนบแน่น 

 

 

เขาตื่นตะลึง พลางยกมือขึ้นมา คิดจะโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมอก แต่ตอนที่ยื่นมือออกมานั้น ก็เหมือนกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงได้จะชะงักค้างอยู่กลางอากาศ และก็ไม่ได้ปล่อยมือลงเช่นกัน 

 

 

ท่านเจ้าสำนักยังคงนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย ยามนี้พอต้องมองดูศิษย์น้อยโผเข้าไปในอ้อมอกของผู้อื่น เขาก็ชักจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว 

 

 

หากก็ได้แต่รินสุราให้ตนเองอีกจอกหนึ่ง แล้วดื่มลงไป 

 

 

แสงเลเซอร์ที่พึ่งจากหายไปพลันปรากฏขึ้นในดวงตาอีกครั้ง พอดวงตานั้นกวาดมองมา ก็เกือบจะแทงอีกอีกฝ่ายจนทะลุเป็นกระชอน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกอดเขาเอาไว้แน่น นานพักใหญ่ก็ยังเห็นว่าเขาไม่มีปฏิกริยาตอบรับขึ้นมา ในสมองของนางจึงได้นึกถึงคำพูดของผู้มาเมื่อครู่ 

 

 

ผู้ถือสารของตำหนักซิวหลัวเตี้ยน 

 

 

ทำไมถึงได้กลายเป็นพี่รองไปได้? 

 

 

นางขมวดคิ้วมุ่น พลางคลายอ้อมแขน มองออกไป 

 

 

ประตูหยกบานใหญ่ปิดสนิทไปแล้ว มีแค่เพียงหน้าต่างครึ่งบานข้างกายท่านเจ้าสำนักเท่านั้นที่เปิดอยู่ 

 

 

 

 

 

“พี่รอง ท่านมีเรื่องลำบากใจอันใด?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคลายมือจากเขาแล้ว แต่ยังคงยืนอยู่ด้านหน้าของเขาเช่นเดิม 

 

 

นับตั้งแต่แยกจากกันที่ทะเลไร้ก้น เวลาก็ผ่านมานานถึงครึ่งปีแล้ว พี่รองที่เคยเป็นเหมือนลูกสุนัขน้อย ตอนนี้กลับเงียบขรึมไปมาก 

 

 

ดูเหมือนว่าเขาจะเติบโตขึ้นแล้ว 

 

 

เดิมทีนางเคยคิดว่า จะอาศัยโอกาศที่มีการจัดงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติตามหาพี่รอง แต่คิดไม่ถึงว่า งานหมื่นบุปผชาติยังไม่ทันได้เริ่ม พี่รองก็ส่งตัวเองเข้าประตูมาก่อนแล้ว 

 

 

แม้ว่าความยินดีนี้ออกจะมาอย่างกระทันหันไปเสียหน่อย แต่ฐานะผู้ถือสารของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ทำให้นางรู้สึกแปลกใจมากเช่นกัน 

 

 

ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน….สถานที่แห่งนั้น แค่ชื่อนางก็ไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่แล้ว 

 

 

ช่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการฆ่าฟันและกลิ่นคาวเลือด 

 

 

มิน่าเล่า บนร่างของพี่รองถึงได้มีกลิ่นอายของเลือดอยู่ 

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาถูกชือหลีกักขังเอาไว้ใต้อารามเทพธิดาเกือบเดือน ยังไม่ยอมกินเนื้อกระต่ายแม้แต่คำเดียว ตอนนี้บนร่างกลับมีแต่กลิ่นคาวเลือดและไอสังหาร 

 

 

ยากนักที่นางจะจินตนาการได้ว่า ในครึ่งปีที่ผ่านมา เขาต้องผ่านประสบการณ์เช่นใดมาบ้าง 

 

 

ขณะที่ตู๋กูซิงหลันถามคำถามนี้ออกมา ในสมองของตู๋กูเจวี๋ยก็เตรียมคำตอบให้นางหลายแบบนับไม่ถ้วน 

 

 

แต่สุดท้ายพอคำพูดมาถึงริมฝีปาก กลับมีแค่ประโยคเดียว “น้อยชายท่านนี้ จำคนผิดแล้ว” 

 

 

“เพี้ยะ….” ตู๋กูซิงหลันฟาดฝ่ามือลงไปบนทรวงอกของเขาในทันที 

 

 

ฝ่ามือนี้ใช้กำลังไม่น้อย ถึงกับผลักตู๋กูเจวี๋ยถอยหลังออกไปสองก้าวใหญ่ๆ 

 

 

ชีพจรในอกถึงกับสับสน จนเกือบจะกระอักเลือดออกมา 

 

 

“แค่คนหนึ่งทำเป็นความจำเสื่อมไปก็แย่พอแล้ว ท่านยังจะกล้ามาล้อเล่นเช่นนี้อีกหรือ?” ขณะที่ตู๋กูซิงหลันถลึงตาใส่เขา สายตาก็เหลือบไปมองดูอาจารย์ต้าฉุยผู้นั้นอย่างไม่ได้จงใจนัก 

 

 

นางชักจะสงสัยจริงๆว่าสวรรค์กำลังล้อนางเล่นอยู่ใช่หรือไม่? ชอบเรื่องความจำเสื่อมมากนักหรือไง? 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยมีคำพูดมากมายอยู่เต็มท้อง แต่กลับถูกประโยคเดียวของนางทำลายเอาไว้จนหมดสิ้น 

 

 

“หากท่านยังกล้ามาทำเป็นความจำเสื่อมกับข้าอีกละก็ ต่อไปก็อย่างได้เรียกข้าเป็นน้องสาวอีกเลย” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ย “…” ได้พบกันใหม่หลังจากกันเนิ่นนาน น้องเล็กไยจึงไม่ปราณีเขาบ้าง? คนเขาน่าสงสารลำบากใจจนยากจะพูด 

 

 

“ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นไร ท่านก็ต้องจดจำเอาไว้ ว่าพวกเราคือครอบครัวเดียวกัน ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ก็ยังมีน้องเล็กรับเอาไว้ให้ท่าน ท่านกลัวอะไร?” 

 

 

“ข้าเกลียดเรื่องที่อมพะนำพึมพำเอาไว้มากที่สุด มีเรื่องทุกข์ร้อน ลำบากอันใดก็จงพูดออกมาให้หมด พวกเราช่วยกันแบกรับ ช่วยกันแก้ไข” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยกดทรวงอกเอาไว้ ในดวงตาของเขาเห็นแต่นาง 

 

 

แต่สุดท้ายก็ยังคงส่ายศีรษะ ถอนหายใจอกมา ในดวงตามีหมอกน้ำที่ยากจะปรากฏเป็นไอขึ้นมา 

 

 

“น้องเล็ก พี่รองได้พบเจ้าแล้ว จึงดีใจมากไป” 

 

 

พอเขาพูดออกมาเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ต่อยหมัดใส่อีกครั้ง “ดีใจ แล้วท่านยังจะมาแกล้งทำเป็นไม่รู้จักอีกหรือ? ดีใจกับผีอะไร!” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยคิดอยู่เล็กน้อย ก็เถียงกลับไปว่า “เวลาพี่รองดีใจ ไม่เหมือนผี หากจะให้เปรียบเทียบละก็ ต้องเหมือนบุปผาดอกหนึ่ง เพราะว่าพี่รองเกิดมาหน้าตาดีอย่างที่สุด” 

 

 

…………………..