“ฮองเฮา!” หมิงเย่ว์ หมิงสยา และสาวใช้อีกสองสามคนตกใจ อยากจะพุ่งตัวเข้าไปห้าม แต่โดนหัวหน้าผู้ดูแลห้ามเอาไว้ “บังอาจ นี่เป็นเรื่องของฝ่าบาทกับฮองเฮา คนอื่นไม่เกี่ยวให้ออกไปให้หมด”
ทุกคนไม่กล้าขยับ ได้แต่ชะเง้อมองเข้าไปในห้องด้วยความร้อนใจ
ปั้ก! หวงฝู่เย่าเย่ว์ถูกโยนลงบนเตียงอย่างแรงจนเวียนหัว ในตอนที่นางยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ท่าป๋าหั่นหลินก้มคร่อมลงไปที่นาง จับนางไว้แน่น จนแทบจะขยับไม่ได้ แล้วพูดด้วยเสียงอันโกรธเกรี้ยวว่า “ดูเหมือนว่าฮองเฮาจะอยู่ในวังหลวงแห่งนี้อย่างสำราญเกินไปแล้วสินะ ถูกเมินมาหลายวันขนาดนี้ยังไม่สนใจ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หลับตา เพื่อให้อาการมึนงงเมื่อครู่หายไป แล้วลืมตาขึ้น มองไปที่เขาแล้วพูดว่า “หากฝ่าบาทอยากเห็นหม่อมฉันร้องห่มร้องไห้ โทษปี่โทษกลองแบบนั้น เกรงว่าคงทำให้ท่านผิดหวังแล้วล่ะ ในคำสอนที่ข้าโดนสอนสั่งมาไม่มีข้อนี้”
มองจ้องไปที่ใบหน้าสาวแรกแย้มของนาง ท่าป๋าหั่นหลินร้อนรุ่มโดยไม่รู้ตัว จึงยิ้มมุมปากขึ้น แล้วกดตัวลงไปหานางอีกครั้ง ยิ้มแล้วถามว่า “อ่อ ถ้าอย่างนั้น ในตำราของฮองเฮาก็คงจะมีการสอนความเป็นภรรยาที่ดีใช่ไหมล่ะ”
พูดจบ ก็ฉีกเสื้อของหวงฝู่เย่าเย่ว์ออก
หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดริมฝีปากของตัวเองไว้แน่น แล้วไม่ได้ตกใจอะไร
ท่าป๋าหั่นหลินซุกไซร้ลงไปที่ตัวนาง ยิ้มถามว่า “ทำไมล่ะ ฮองเฮาไม่ยอมงั้นหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดปากไม่พูดอะไรทั้งนั้น แต่สีหน้ารังเกียจของนางได้แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ท่าป๋าหั่นหลินเห็นท่าทางรังเกียจของนาง จึงโกรธ ลุกขึ้น ฉีกเสื้อผ้าของนางออกเป็นชิ้นๆ จนกระทั่งได้เห็นเรือนร่างที่ขาวผ่องเป็นยองไยของนางอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็โค้งตัวลงไปหานาง
“ทำไม รังเกียจข้างั้นรึ ตอนแรกเจ้าไม่ต่อต้านการคัดค้านของคนในครอบครัวเจ้าเองไม่ใช่หรือ อยากจะแต่งงานออกมากับข้า แล้วตอนนี้มาทำทีท่าเช่นนี้ เป็นเพราะเห็นว่าหลายวันนี้ข้าไม่ได้มาหาเจ้า แล้วไปหานางสนมคนอื่นๆ ใช่หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น วันนี้ข้าจะสนองเจ้าให้เอง”
“ไม่!”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตะโกนออกมา แล้วพยายามดิ้นออก
แต่นี่กลับทำให้ท่าป๋าหั่นหลินยิ่งอยากเข้าไปอีก เลยโน้มตัวลงไปโดยไม่สนว่านางจะตะเกียกตะกายหรือขัดขืนอย่างไร แล้วบีบกอดให้นางมาอยู่ใต้ร่างของตัวเองจนได้
และแล้วความกระหายนั้นก็สิ้นสุดลง ท่าป๋าหั่นหลินพอใจเป็นอย่างมากอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยพอใจมาก่อน แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์เจ็บจนพูดไม่ออก ได้แต่นอนขดตัวอยู่บนเตียง
ส่วนร่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของเขา ก็ลงมาจากตัวนาง แล้วใส่เสื้อผ้าอย่างช้าๆ แต่พอเห็นนางเจ็บปวดอย่างทุกข์ทรมาน จึงยื่นมือออกมา จะลูบไปที่ใบหน้าของนาง แต่พอแตะไปที่ใบหน้าของนาง ก็ได้สติในทันใด แล้วจึงหันหลัง เดินออกไปอย่างรีบร้อน
สาวใช้ทั้งหลายจึงรีบวิ่งเข้ามา เห็นสภาพที่น่าอนาถของหวงฝู่เย่าเย่ว์ ก็ได้แต่เอามือปิดปาก เพื่อไม่ให้ตนเองร้องออกมา ทั้งหมดขอบตาแดงกร่ำ เดินไปที่เตียง แล้วถามว่า “ฮองเฮาเพคะ ท่านเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยายามลืมตาขึ้น ฝืนยิ้มออกมา แล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ช่วยข้าเก็บกวาดด้วย แล้วอย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด”
พูดจบ ก็สลบไป
หมิงเย่ว์พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ สั่งให้หมิงชุนไปต้มน้ำร้อนมา ให้หมิงสยามาช่วยเช็ดตัวให้กับหวงฝู่เย่าเย่ว์ เสร็จแล้วสวมเสื้อให้นางอย่างระมัดระวัง ห่มผ้า แล้วยืนเงียบๆ อยู่ข้างเตียง มองนางด้วยความเป็นห่วง
หวงฝู่เย่าเย่ว์สลบไปจนกระทั่งกลางดึก ลืมตาขึ้น เห็นห้องยังคงสว่างอยู่ ส่วนพวกหมิงเย่ว์ก็ยังคงเฝ้าอยู่ข้างเตียง
“ฮองเฮาเพคะ ฟื้นแล้วหรือ” หมิงเย่ว์เห็นว่านางลืมตาขึ้นมา เลยร้องเรียกออกมาเช่นนั้น
แล้วทุกคนก็ล้อมเข้ามา
“ตอนนี้เป็นยามใดแล้ว”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถาม ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ไร้เรี่ยวแรง
“ทูลรายงานเพคะ เพิ่งเลยยามจื่น เหนียงเหนียงหลับไปสี่ชั่วยามได้เพคะ” หมิงเย่ว์รีบรายงานไปเช่นนั้น แล้วเห็นว่าไม่เหมาะสม จึงอยากจะกัดลิ้นตัวเองเพราะรู้สึกไม่ดีที่พูดไปเช่นนั้น
สี่ชั่วยามงั้นหรือ … … หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มออกมาอย่างรู้สึกแย่ ตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่เคยนอนเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย ท่าป๋าหั่นหลินไปโกรธเกลียดนางมาจากไหน ถึงได้ทำกับนางขนาดนี้
หมิงเหย่ว์เห็นนางฝืนยิ้มออกมา ก็รู้ว่านางคงคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า จึงรีบถามอย่างระมัดระวังว่า “ฮองเฮาเพคะ ท่านหิวหรือไม่ บ่าวจะไปนำสำรับอาหารยกมาให้ท่านเพคะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ถึงได้สติ แล้วพยักหน้าอย่างเหน็ดเหนื่อย
หมิงเย่ว์และหมิงเซียงรีบเดินออกไป เหลือหมิงสยากับหมิงชุนไว้คอยปรนนิบัติ
“หมิงสยา ช่วยพยุงข้าขึ้นมาหน่อย” หวงฝู่เย่าเย่ว์ออกคำสั่ง
หมิงสยากับหมิงชุนเข้ามา พยุงนางขึ้นนั่ง หาอะไรรองหลังให้นาง ให้นางนั่งให้สบาย
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยายามพูดออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้ทุกคน ว่าข้าไม่เป็นอะไร เหลือไว้แค่คนที่ใช้งานได้ ส่วนที่เหลือให้กลับไปพักผ่อนให้หมด”
หมิงสยาตอบรับ แล้วออกไปออกคำสั่ง
เมื่อได้ยินว่านางไม่เป็นอะไร บ่าวรับใช้ในตำหนักหลวนเฟิ่งต่างก็โล่งใจตามๆ กัน เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นางไม่เคยลงโทษพวกบ่าวเลย พวกบ่าวเลยรักเจ้านายคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ เลยหวังและเป็นห่วงว่านางจะไม่เป็นอะไร
หมิงเย่ว์กับหมิงเซียงยกสำรับเข้ามาให้หวงฝู่เย่าเย่ว์กิน เสร็จแล้วพักครู่หนึ่ง แล้วก็พยุงนางขึ้นนั่งอีกครั้ง
วันนี้ ผ่านเรื่องเลวร้ายมา หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกร่างกายเหนื่อยล้าเต็มทน ไม่นาน ก็หลับลงไปอีกครั้ง
ในตำหนักชิงเซวียน ก็สว่างไสวเช่นกัน ท่าป๋าหั่นหลินนอนอยู่บนเตียงมังกร แต่ไม่มีทีท่าจะหลับเลยสักนิด ในสมองเอาแต่คิดเรื่องเมื่อเช้า แล้วร่างกายก็ตื่นตัวขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่า การมีเรื่องอย่างว่าระหว่างหญิงชายจะมีความสุขถึงเพียงนี้ พอคิดถึง ว่าความสุขเช่นนั้นมาจากหวงฝู่เย่าเย่ว์ สีหน้าก็ขรึมลง ความกระหายเร่าร้อนภายในใจก็หายไป
วันที่สอง เรื่องที่ฝ่าบาททรงมาหาฮองเฮาได้แพร่ไปทั่ววังหลวง
ไทเฮาดีใจเป็นอย่างมาก จึงสั่งให้ห้องยานำยาบำรุงมาให้หวงฝู่เย่าเย่ว์โดยเฉพาะ
แต่นางสนมคนอื่นกลับสงสัย เพราะตอนที่ฝ่าบาทมาหาพวกนางตั้งหลายวัน แต่กลับไม่ได้มีอะไรกันเลย จึงคิดว่า ข่าวลือนี้ เป็นจริงหรือเป็นเท็จกันแน่
หลิวอวี้เอ๋อร์โยนข้าวของจนแตกกระจายอีกครั้งหนึ่ง แล้วนั่งลงกับพื้นอย่างหมดสภาพ
ผ่านไปหลายวัน ท่าป๋าปั่นหลินไม่ได้ไปตำหนักสนมคนอื่น และไม่ได้มาที่ตำหนักหลวนเฟิ่งเช่นกัน
พักฟื้นได้ระยะหนึ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์อาการดีขึ้น แต่ไม่ได้มีความสดใสร่าเริงเหมือนกับแต่ก่อนแล้ว ได้แต่นั่งมองเหม่ออยู่ตลอดเวลา
พวกหมิงเย่ว์เป็นห่วง จึงเข้าไปถามว่า “ฮองเฮาเพคะ เล่นชิงช้ากันไหมเพคะ”
เงยหน้าขึ้น แล้วเหลือบมองไปที่ชิงช้าที่ขยับตามลมเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่ทำให้นางต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้ นางจึงเก็บสายตาเข้ามา แล้วออกคำสั่งว่า “ตัดมันทิ้งเสีย”
“เอ่อ… …”
พวกหมิงเย่ว์มองหน้ากันไปมา แล้วรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่ตนพูดเรื่องนี้ขึ้น ตอนที่กำลังจะเข้าไปตัดชิงช้าทิ้ง ก็มีเสียงโกรธเกรี้ยวดังขึ้นมาว่า “บังอาจ”
พวกหมิงเย่ว์ขนลุกซู่ แล้วรีบคุกเข่าลง
หวงฝู่เย่าเย่ว์เองก็สั่นเล็กน้อย แล้วลุกขึ้น เห็นท่าป๋าหั่นหลินยืนอยู่ตรงหน้า ก็คารวะ “ถวายบังคมฝ่าบาท!”
ท่าป๋าหั่นหลินมองไปที่นางด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ จ้องจนตัวนางแทบทะลุ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงท่าทางคารวะ รอเขาตอบอย่างเงียบๆ
บ่าวรับใช้ในตำหนักเห็นเช่นนั้น ก็ก้มหน้าลง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ตำหนักหลวนเฟิ่งเงียบสงัด บรรยากาศเหมือนกับจะเกิดลมพายุฝนอย่างใดอย่างนั้น
เป็นเช่นนั้นอยู่นาน แล้วท่าป๋าหั่นหลินก็เอ่ยปาก พูดด้วยความโกรธว่า “เหตุใดฮองเฮาต้องตัดชิงช้าด้วย”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันนั่งเล่นชิงช้า จนทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย หม่อมฉันจึงออกคำสั่งให้คนไปตัดมันทิ้งเสียเท่านั้นเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินชะงักไป พูดอะไรไม่ออก โกรธจนสะบัดชายผ้า แล้วออกคำสั่ง “คืนนี้ ข้าจะมาตำหนักเฟิ่งหลวน ฮองเฮาเตรียมตัวไว้เถิด”
พูดจบ ก็หันหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว หลงเหลือแต่เพียงความโกรธที่ทิ้งไว้ให้กับหวงฝู่เย่าเย่ว์
หวงฝู่เย่าเย่ว์หยุดนิ่ง ยังคงท่าทางคารวะตามเดิม
หมิงเย่ว์เดินเข้ามา พูดกับนางด้วยความเป็นห่วงว่า “ฮองเฮาเพคะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้สติ ยืนขึ้น แล้วกลับห้องของตนไป
คำพูดนั้นของท่าป๋าหั่นหลิน ดูเหมือนหวงฝู่เย่าเย่ว์จะเข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ คงเดินหนีออกไปจากที่นี่ต่างหาก เพราะตั้งแต่วันนั้น เขาจงใจปิดหูปิดตาเรื่องของหวงฝู่เย่าเย่ว์ทุกเรื่อง และตรวจตรางานราชการไม่เว้นแต่ละวัน อาศัยความยุ่งวุ่นวายมาลบล้างนางออกไป แต่หลายวันผ่านไป ไม่เพียงแต่ไม่ลืม กลับยิ่งคิดถึงเข้าไปทุกที วันนี้ถึงได้บากหน้าเดินเข้ามาเยี่ยมนาง ไม่คิดเลยว่า พอเขาเดินเข้ามาจะได้ยินว่านางสั่งให้คนไปตัดชิงช้านั้นทิ้งเสีย เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่านางทำเช่นนี้เพื่ออะไร เขาถึงได้โกรธ ตอนแรกก็ว่าจะลงโทษนาง แต่พอคิดถึงวันนั้นที่นางเจ็บปวด ใจก็เย็นลง แล้วเปลี่ยนเป็นการทักทาย ให้นางเตรียมตัวให้ดี
พอกลับมาที่ห้องทรงพระอักษร ก็หยิบฎีกาขึ้นมา แต่อ่านเท่าไรก็อ่านไม่ได้ ได้แต่มองไปที่ด้านนอกตำหนักอยู่ตลอด รอฟ้ามืดลง
ในที่สุด ฟ้าก็มืดลง เสวยพระกายาหารเย็นอย่างรีบร้อน เสร็จแล้วก็รีบนั่งเกี้ยวพระที่นั่งมาที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง
ผู้ดูแลพาบ่าวรับใช้มารอต้อนรับที่หน้าตำหนักไว้อยู่แล้ว พอเห็นเขาลงเกี้ยวมา ก็คุกเข่าลงคารวะ
ท่าป๋าหั่นหลินเดินผ่านพวกเขาไปอย่างร้อนรน แล้วเข้าห้องไป
พวกหมิงเย่ว์ที่เฝ้าอยู่ในห้อง พอเห็นเขาเข้ามา ก็รีบร้อนคารวะ
ท่าป๋าหั่นหลินโบกมือ “ออกไปให้หมด”
ทุกคนมองหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยความเป็นห่วง แล้วเดินออกไป
ความเจ็บปวดในวันนั้นยังคงจำได้ดี พอท่าป๋าหั่นหลินเดินเข้ามา หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ตัวสั่นเล็กน้อย แล้วถอยออกไปอย่างไม่รู้ตัว
ท่าป๋าหั่นหลินเห็นดังนั้น ก็รู้สึกใจสั่น ยิ่งอดใจไม่ไหวเข้าไปอีก เลยเข้าไป ทำเหมือนครั้งก่อน ฉีกเสื้อของนางออก แล้วคร่อมทับนางไว้กับเตียง
หวงฝู่เย่าเย่ว์เจ็บจนหลับตาปี๋
“ลืมตาขึ้น มองข้า!” ท่าป๋าหั่นหลินออกคำสั่งด้วยเสียงดุดัน
“ข้าคือบุตรแห่งสวรรค์ เป็นถึงจักรพรรดิผู้สูงส่ง ข้าต้องการเจ้า เจ้าก็ควรทำตามแต่โดยดี อย่ามาลองดีกับความอดทนของข้า” ในน้ำเสียงสื่อถึงการเตือนและความหื่นกระหาย
หวงฝู่เย่าเย่ว์กัดปากอย่างแรง
ท่าป๋าหั่นหลินมองแล้วขัดลูกตา เลยยื่นมือออกมาดึงปากของนางออกจากกัน แล้วพูดด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “ร่างกายของเจ้าเป็นของข้า หากข้าไม่อนุญาต เจ้าก็ห้ามทำร้ายตัวเอง เข้าใจหรือไม่”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่พูดอะไร
ท่าป๋าหั่นหลินหรี่ตามองไปที่นาง ความหื่นกระหายและความโกรธเกรี้ยวในสายตาก็เปล่งประกายออกมาอย่างเห็นได้ชัด
และก็ผ่านไปอีกหนึ่งรอบ แม้หวงฝู่เย่าเย่ว์จะไม่สลบไปเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ก็เจ็บจนกัดปากเป็นแผลไปเสียหมด