ท่าป๋าหั่นหลินลุกจากเตียงเช่นเดิม หลังจากเขาสวมเสื้อผ้าเสร็จ ก็เดินออกจากห้อง เดินผ่านนางกำนัลและขันทีด้วยรังสีอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ซ่านไปทั้งตัว ฝีเท้าก้าวเดินออกจากตำหนักหลวนเฟิ่งอย่างฉับไว  

 

 

เมื่อเขาเดินหายลับไป หมิงเย่ว์และคนอื่นๆ ก็พุ่งตัวเข้าไปในห้อง หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงนอนขดตัวอยู่บนเตียงใหญ่ แววตาเหม่อลอย ท่าทีหดหู่  

 

 

“เหนียงเหนียง!” หมิงเย่ว์ขานเรียกอย่างระมัดระวัง  

 

 

“ช่วยจัดแจงตัวข้าให้เรียบร้อยทีเถิด” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์สั่งด้วยเสียงแหบแห้ง  

 

 

หมิงเย่ว์และคนอื่นๆ ขอบตาแดง หลังจากช่วยนางเช็ดตัว สวมเสื้อผ้า และห่มผ้าเสร็จ ก็ยืนข้างเตียง  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์หลับตาลง  

 

 

ผ่านไปนาน จนเมื่อหวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังจะหลับ หมิงเย่ว์ก็เอ่ยปากเรียกนาง “เหนียงเหนียงเพคะ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ฝืนลืมตาขึ้น มองไปที่นาง  

 

 

หมิงเย่ว์เม้มปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจพูดออกมาว่า “ให้บ่าวส่งข่าวไปที่จวนไหมเพคะ ว่า ว่า…” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ้มอย่างน่าเวทนา “บอกว่าอะไร บอกว่าฝ่าบาทประสงค์เสพสังวาสกับข้า แต่ข้าไม่ยอมหรือ” 

 

 

หมิงเย่ว์กระทืบเท้า “แต่ว่า หากฝ่าบาทยังคงทำเช่นนี้กับท่าน ร่างกายของท่าน…” 

 

 

“เขาก็แค่โลภและหลงในกายหยาบของข้าชั่ววูบเท่านั้น หลังจากไม่รู้สึกถึงความสดใหม่แล้ว ก็ไม่มีอารมณ์แล้วล่ะ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันหรอก อดทนหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไปเอง” 

 

 

“แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่า…” 

 

 

เสียงของหวงฝู่เย่าเย่ว์พลันเคร่งครัดขึ้นมา “ไม่มีแต่ว่า หากใครกล้าส่งข่าวเรื่องของข้ากลับไป ข้าจะไล่นางออกจากวังทันที” 

 

 

หมิงเย่ว์และคนอื่นๆ ไม่กล้าพูดอะไรอีก  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ถอนหายใจยาว “ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนอนพักเสียเล็กน้อย พวกเจ้าออกไปเถิด” 

 

 

พูดจบ นางก็หลับตาลง แล้วนอนหลับไป  

 

 

หมิงเย่ว์และคนอื่นๆ เดินย่องออกไป ในห้องเหลือเพียงความเงียบ  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินหนีเตลิดอีกครั้ง หลังจากกลับมาถึงตำหนักชิงเซวียน ก็ผ่อนคลายร่างกายที่ได้รับความสุขอีกครั้ง เขานอนลงบนเตียงใหญ่ ในหัวปรากฏสีหน้าทรมานของหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างต่อเนื่อง  

 

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่น เขาจึงลุกขึ้นนั่ง ตะโกนเรียกไปทางข้างนอกว่า “ขันที!” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูเข้ามา “ฝ่าบาท!” 

 

 

“ไปนำหนังสือสักสองสามเล่มมาให้เรา!” 

 

 

“ฝ่าบาทอยากอ่านหนังสือประเภทไหนพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะสั่งคนไปนำมาถวายพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เอา…” ท่าป๋าหั่นหลินพูดออกมาเพียงคำเดียวก็ชะงักไป แล้วโบกมือขึ้น “ช่างเถอะ เราเหนื่อยแล้ว ไม่อ่านแล้ว” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูถอยออกไป  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินนอนลงอีกครั้ง เขาหลับตาลง บังคับตัวเองให้หลับ แต่ผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็แล้ว ก็ยังไม่หลับ หลังจากสองก้านธูป ก็ยังไม่หลับ หลังจากสามก้านธูป…ครึ่งชั่วยาม เขาลุกขึ้นนั่ง สาปแช่งเสียงเบา แล้วตะโกนไปข้างนอกด้วยอารมณ์เดือดพล่าน “ขันที!” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูเดินเข้ามาอีกครั้ง “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 

 

 

“เจ้าไปหามอมอด้วยตนเอง ช่วยเราขอหนังสือมาสักสองสามเล่ม” 

 

 

ตุบ! แส้หางม้าในมือหัวหน้าขันทีฮูตกลงบนพื้น ทำให้เกิดเสียงกระทบดังแจ่มชัดในตำหนักที่เงียบสงัดแห่งนี้ 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินขมวดคิ้ว  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูคุกเข่าบนพื้นอย่างลนลาน “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยจะไปหามอมอเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

พูดจบ ก็หยิบแส้หางม้าขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ร่างเซไปมาครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน เขาเดินออกไปข้างนอกด้วยขาที่อ่อนระทวย  

 

 

“ช้าก่อน!” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูเหงื่อตกทันที หันหลังกลับไปด้วยลำตัวที่สั่นระริก “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 

 

 

“เอาแบบที่ผู้หญิงก็ได้รับความสุขเช่นกัน” 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูตกใจจนขาอ่อนระทวย จนเกือบจะล้มลงบนพื้น ริมฝีปากสั่นไม่หยุด แต่กลับไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา 

 

 

เสียงของท่าป๋าหั่นหลินเริ่มโมโห “ทำไม ทำไม่ได้รึ” 

 

 

“ทำได้พ่ะย่ะค่ะ ทำได้ ข้าน้อยไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีฮูรีบพูดขึ้น และหันหลังเดินออกจากตำหนักอย่างไม่รีรอ 

 

 

เมื่อออกมานอกตำหนัก ก็หยุดฝีเท้าลง แล้วหายใจหอบอยู่พักใหญ่  

 

 

เหล่าขันทีที่มาเข้าเวรเห็นความผิดปกติของเขา ร่างกายก็อดตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้ ขันทีน้อยคนหนึ่งเดินขึ้นหน้าไปถามอย่างระมัดระวัง “หัวหน้าฮู มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ไหมขอรับ” 

 

 

เมื่อรู้ตัวว่าตนแสดงอาการผิดปกติชัดเจนเกินไป หัวหน้าขันทีฮูก็ยืดลำตัวตั้งตรง สูดหายใจเข้าออกปกติ กวาดตามองเหล่าขันทีที่เข้าเวร แล้วสั่งว่า “ข้าไปทำธุระ พวกเจ้าจงระมัดระวัง อยู่รับใช้ฝ่าบาทให้ดี” 

 

 

ทุกคนขานรับเสียงเบาอย่างพร้อมเพรียงกัน 

 

 

หัวหน้าขันทีฮูก้าวฝีเท้าที่ไม่มั่นคงนักออกไป ในใจนั้นตกใจราวกับคลื่นทะเลที่โหมซัดอย่างบ้าคลั่ง ฮ่องเต้จะดูหนังสือเล่มเหลือง[1]อย่างนั้นหรือ และยังต้องการแบบที่ทำให้ผู้หญิงมีความสุขด้วย นี่หมายความว่าอย่างไรกัน หัวหน้าขันทีฮูไม่กล้าคิดต่อไป เขารู้สึกขนหัวลุกไปหมด เหงื่อแตกทั่วทั้งแผ่นหลัง ครั้นสายลมพัดผ่าน ความหนาวเย็นนั้นก็ซึมซาบเข้าไปในใจ  

 

 

หลังจากสองก้านธูป หัวหน้าขันทีฮูก็ถือหนังสือมาสองสามเล่ม หนังสือถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีเหลือง เขาเดินกลับตำหนักไป แล้วยกถวายให้ท่าป๋าหั่นหลิน “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้รับไว้ เขาจ้องเขม็งไปที่หนังสือเล่มเหลืองที่อยู่ใต้ผ้าไหมเหล่านั้น สายตาที่จ้องนั้นราวกับจะแผดเผาให้หนังสือเป็นผุยผง 

 

 

เหงื่อเม็ดโตปรากฏบนหน้าผากหัวหน้าขันทีฮูอีกครั้ง มือที่ยกถวายอยู่นั้นก็เริ่มสั่นระริก  

 

 

“วางไว้บนโต๊ะ” เขาออกคำสั่งเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโมโห  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูไม่ได้ขานรับ เขานำหนังสือเล่มเหลืองเหล่านั้นวางบนโต๊ะ แล้วถอยออกไปโดยไม่ยกศีรษะขึ้น  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินนั่งอยู่บนเตียง จ้องเขม็งไปที่หนังสือเล่มเหลืองต่อไปราวกับมีแค้นหนักหนา เขาไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูยืนเงี่ยหูฟังอยู่ข้างนอก ตั้งใจฟังเสียงในห้อมบรรทมอย่างตั้งใจ 

 

 

ผ่านไปนาน จนเมื่อหัวหน้าขันทีฮูคิดว่าฮ่องเต้บรรทมไปแล้ว ก็มีซุ่มเสียงดังออกมาจากห้องบรรทม  

 

 

ฝ่าบาท ฝ่าบาทขยับแล้ว ไปดูหนังสือเล่มเหลืองแล้ว เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว หัวหน้าขันทีฮูพลันหน้ามืด ร่างกายก็โซเซไปมาอย่างอดไม่ได้  

 

 

ในห้องบรรทม สุดท้ายท่าป๋าหั่นหลินก็ห้ามความคิดของตนไว้ไม่ไหว เขาเดินมานั่งลงข้างโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หยิบหนังสือเล่มเหลืองขึ้นมา เมื่อเปิดหนังสือ ภาพแรกสะท้อนเข้าในตา พรึ่บ เขาปิดหนังสือลง แล้วโยนไปบนโต๊ะ ก่นด่าอย่างโมโหว่า “เสียสายตานัก” 

 

 

เมื่อเสียงดังสะท้อนเข้าหู หัวหน้าขันทีฮูกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก ฮ่องเต้คือผู้อยู่เบื้องสูงสุด เป็นกษัตริย์แห่งรัฐ ทุกวันนี้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองก็เหนื่อยมากพอแล้ว ไม่ควรให้เขามาเหนื่อยกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิงอีก เมื่อคิดถึงตรงนี้ ก็คิดในใจว่า หรือว่าให้มอมอไปตำหนักของนางสนมแต่ละคน เพื่อสอนพวกนางเสียตั้งแต่วันพรุ่งนี้  

 

 

โกรธก็โกรธแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว เขวี้ยงของก็เขวี้ยงแล้ว เมื่อคิดถึงใบหน้าน้อยๆ ที่ทรมานของหวงฝู่เย่าเย่ว์ จู่ๆ ท่าป่าหั่นหลินก็หยิบหนังสือเล่มเหลืองที่ถูกโยนลงบนโต๊ะขึ้นมาใหม่ แล้วเริ่มเปิดดูอย่างขยะแขยง  

 

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ท่าป๋าหั่นหลินดูจบเล่มแล้ว ก็นวดขมับที่ปวดตุบๆ ด้วยสีหน้าหม่นหมอง เขาลุกขึ้นยืน แล้วไปนอนบนเตียงมังกร หลับตาลงโดยไม่พูดอะไร  

 

 

คืนวันที่สอง หัวหน้าขันทีฮูก็มีราชโองการถึงตำหนักหลวนเฟิ่ง ฮ่องเต้จะค้างคืนที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง  

 

 

หลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์รับราชโองการแล้ว ร่างของนางก็แข็งเกร็งไปทั้งตัว หมิงเย่ว์และคนอื่นๆ ก็ตื่นตกใจ นางจึงเสนอขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “เหนียงเหนียง ร่างกายของท่านจะทนได้อย่างไรเพคะ หรือท่านไปขอร้องให้ไทเฮาช่วยออกหน้าแทน ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้ดีเพคะ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า นางเป็นฮองเฮา เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในบรรดาหกตำหนัก หากไปขอร้องให้ไทเฮาช่วยเพราะเรื่องเช่นนี้ เรื่องแพร่งพรายออกไป คนใต้หล้าคงหัวเราะเยาะเอา  

 

 

ในขณะที่ทุกคนจิตใจกระสับกระส่ายอยู่นั้น เวลาพลบค่ำก็มาถึง ท่าป๋าหั่นหลินนั่งเกี้ยวพระที่นั่งมาถึงตำหนักหลวนเฟิ่ง  

 

 

ทุกคนถูกสั่งให้ถอยออกจากห้อง เหลือเพียงหวงฝู่เย่าเย่ว์คนเดียวที่รออยู่ในห้อง นางสวมเพียงเสื้อชั้นในไว้ ปล่อยผมสยายปรกลงข้างหลัง ใบหน้าซีดเซียว 

 

 

นางถอนสายบัวคารวะ “คารวะฝ่าบาทเพคะ” 

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าทรุดโทรมของนาง พลังความฮึกเหิมประดุจมังกรเสือที่ผาดโผนของท่าป๋าหั่นหลินที่เคยมีนั้นก็ลดน้อยลง เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็อดกลั้นความปรารถนาของร่างกายตนไว้ไม่ได้ เขาเดินขึ้นหน้า ไม่พูดไม่จา อุ้มนางขึ้น แล้วโยนลงบนเตียง จากนั้นร่างของเขาก็ทับลงไป  

 

 

ลำตัวของหวงฝู่เย่าเย่ว์แข็งเกร็ง ต่อต้านโดยสัญชาติญาณ  

 

 

เสียงเบาๆ ที่เหมือนกึ่งปลอบกึ่งชี้แนะก็ดังขึ้นข้างหูของหวงฝู่เย่าเย่ว์ “ปล่อยตัวตามสบาย เจ้าจะรู้สึกดีขึ้นมาก” 

 

 

ความเจ็บปวดจากสองครั้งแรกยังคงอยู่ หวงฝู่เย่าเย่ว์จะปล่อยตัวตามสบายได้อย่างไร วันนี้ดูเหมือนว่าท่าป๋าหั่นหลินจะมีความอดทนมากขึ้น แม้ยังคงกระทำอย่างบ้าคลั่งดังเดิม แต่ก็แฝงไปด้วยความอดทนและความอ่อนโยน 

 

 

หลังจากเสร็จกิจธุระ ท่าป๋าหั่นหลินก็ลุกขึ้นเหมือนเดิม เขาสวมเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปจากตำหนักหลวนเฟิ่งโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงนอนบนเตียง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสนอ้างว้าง  

 

 

หมิงเย่ว์และคนอื่นๆ เข้ามา เมื่อเห็นสีหน้าของนาง ก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวล  

 

 

“สั่งคนเตรียมน้ำอุ่นไว้ ข้าอยากอาบน้ำ” หวงฝู่เย่าเย่ว์สั่ง  

 

 

สาวใช้ต่างดีใจ วันนี้เหนียงเหนียงยังมีแรงอาบน้ำ หรือเพราะว่าฮ่องเต้ทรงเมตตา ไม่ทรมานเหนียงเหนียงมากขนาดนั้นแล้ว  

 

 

คืนวันที่สามยังคงเหมือนเดิม เมื่อตัวมาถึง ก็อุ้มโยนลงบนเตียง  

 

 

วันที่สี่ วันที่ห้า วันที่หก… ท่าป๋าหั่นหลินมาตำหนักชิงหลวนติดต่อกันราวกับเสพติด เพียงแต่ว่าตัวเขาเองนั้นไม่ได้สังเกตเลยว่า หลังจากเสร็จกิจแล้ว เวลาที่อยู่ในตำหนักหลวนเฟิ่งก็นานมากขึ้น  

 

 

ข่าวของฮองเฮาที่ปรนนิบัติฮ่องเต้ติดต่อกันรวดเดียวหลายวันก็แพร่สะพัดทั่วทั้งตำหนักอย่างรวดเร็ว 

 

 

ไทเฮาดีใจเป็นที่สุด นางนั่งนับนิ้วของตนคิดว่าอีกไม่กี่เดือนเราก็จะมีรัชทายาทแล้ว  

 

 

ครานี้นางสนมในแต่ละตำหนักก็เชื่อสนิทใจ ว่าฮ่องเต้นั้นโปรดปรานฮองเฮามาก ในใจก็ริษยาจนร้อนระอุเป็นไฟ พวกนางร่วมสุมหัวกันคิดหาทุกวิถีทางเพื่อปรากฏตัวต่อหน้าท่าป๋าหั่นหลิน หวังให้เขาอุปถัมภ์ตน  

 

 

ไม่ว่าพวกนางจะแต่งตัวสะสวยอย่างไร มีเสน่ห์อย่างไร แพรวพราวอย่างไร ยั่วยวนอย่างไร ท่าป๋าหั่นหลินก็เดินผ่านพวกนางไปราวกับไม่เห็นอะไร และไม่แม้แต่จะชายตามอง  

 

 

ทุกคนโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ หลังจากรวมตัวเพื่อปรึกษากันแล้ว ก็ไปฟ้องต่อหน้าไทเฮา ให้นางช่วยตัดสินใจ 

 

 

ไทเฮาให้ความสำคัญกับเรื่องทายาทมากที่สุด หวังอยากให้หวงฝู่เย่าเย่ว์รีบมีลูกจนใจจะขาด เมื่อได้ยินพวกนางสิบกว่าคนพูด นางก็กวาดตามองพวกนางรอบหนึ่งด้วยสายตาที่น่าเกรงขามและเฉียบคม แล้วร้อง หึ ออกมาเบาๆ ถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ตอนนั้นที่พวกเจ้าเข้าวัง ฝ่าบาทค้างคืนอยู่ในตำหนักพวกเจ้าแทบทุกคืน พวกเจ้าไม่มีความสามารถพอที่จะรั้งเขาไว้ได้ แล้วยังมาร้องทุกข์ต่อหน้าข้าอีก บอกว่าฮองเฮานั้นชอบริษยา ครอบครองฝ่าบาทไว้ แต่ข้าว่าเป็นเพราะพวกเจ้าไม่ได้ปรนนิบัติฝ่าบาทให้ดีเสียมากกว่า พวกเจ้าว่ามาซิ พวกเจ้าควรถูกลงโทษอย่างไรกันแน่” 

 

 

ทุกคนต่างร้องโอดครวญในใจ แม้ฮ่องเต้จะไปอยู่กับพวกนางแล้วก็จริง แต่ไม่ว่าพวกนางใช้วิธีเย้ายวนร้อยเล่มเกวียนอย่างไร ก็ไม่สามรถทำให้เขาโปรดปรานตนเองได้ ภาพทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตาที่พวกนางเป็นผู้กำกับและผู้แสดงเอง แล้วจะให้พวกนางรั้งฮ่องเต้ไว้ได้อย่างไร มิหนำซ้ำพวกนางเองก็ไม่กล้าพูดเรื่องภาพลวงตาเหล่านี้ออกมา เพราะฮ่องเต้เคยข่มขู่พวกนางไว้ ว่าหากกล้าเปิดโปงออกไปแม้เพียงเล็กน้อย ไม่เพียงแต่ตัวพวกนางเอง แม้แต่ชีวิตของครอบครัวพวกนางก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วย 

 

 

  

 

 

 

 

 

[1] หนังสือเล่มเหลือง 小黄书 คือหนังสือแสดงการร่วมเพศเป็นภาพวาด เนื่องจากหนังสือเหล่านี้มีปกสีเหลืองในสมัยโบราณ ต่อมาจึงเรียกกันว่าหนังสือเล่มเหลือง