บทที่ 934 ชีพจรยุทธ์ขั้นที่ห้า

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

กู้ชูหน่วนจะฟังเขาคำพูดของเขาที่ไหนกัน นางก็ออกไปอย่างเปิดเผยเช่นนี้แล้ว

เจ้าบ้านสามระงับสีหน้าไว้ไม่อยู่

อย่างน้อยตัวเองก็เป็นถึงนายท่านสามของจวนมู่ นางเป็นเด็กรุ่นหลัง ทั้งยังเป็นคนไม่ได้เรื่องผู้หนึ่งอีกคิดไม่ถึงว่าจะกล้าเพิกเฉยกับเขาเช่นนี้

เจ้าบ้านสามยกฝ่ามือขึ้นทันที ตีไปทางกู้ชูหน่วนอย่างรุนแรง

เขาเป็นระดับหนึ่ง

แต่กู้ชูหน่วนเป็นเพียงชีพจรยุทธ์ขั้นหนึ่งเท่านั้น หากว่านางฝืนรับไว้ เกรงว่าชีวิตน้อยๆนี้ก็คงยากที่จะรักษาไว้

หากว่านางไม่รับ ก็จำต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่

กระบวนท่านี้ของเจ้าบ้านสามรุนแรงเกินไปจริง

หัวหน้าตระกูลมู่และมู่ซินตะโกนยั้งไว้ แต่ก็สายไปก้าวหนึ่ง พลังฝ่ามืออันดุดันของเจ้าบ้านสามนั่นออกไปก่อนแล้ว

สิ่งที่พุ่งเข้าสู่สายตาของบรรดาผู้คนคือ กู้ชูหน่วนไม่เพียงไม่หลบ กลับพลิกฝ่ามือประทับเข้าไป

“ปึง…..”

สองฝ่ามือปะทะกัน

กู้ชูหน่วนถูกสะเทือนจนถอยหลังไปสองสามก้าวจึงได้หยุดลงช้าๆ

นางไม่ตาย เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น และพลังฝ่ามือนั่นของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าบ้านสามโดยสิ้นเชิง

กลับมาดูที่เจ้าบ้านสาม เขาสีหน้าซีดขาว มองดูฝ่ามือของตัวเองอย่างตกตะลึง ตรงนั้นกลับถูกแทงด้วยเข็มเงินเล่มหนึ่ง

แม้จะไม่มีพิษ แต่ก็แทงเขาจนเจ็บปวดจนยากที่จะทนได้

ทุกคนล้วนตะลึงแล้ว

ที่พวกเขาตะลึงไม่ใช่เพราะเข็มเงินที่แฝงอยู่ในฝ่ามือของกู้ชูหน่วน แต่คิดไม่ถึงว่ากู้ชูหน่วนที่เป็นชีพจรยุทธ์ระดับหนึ่ง…..จะกลายเป็นชีพจรยุทธ์ระดับห้าอย่างคาดไม่ถึง

เวลาสองวันสั้นๆ นางเลื่อนจากขั้นหนึ่งขึ้นเป็นขั้นที่ห้าได้อย่างไร?

แม้จะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ก็ไม่สามารถเลื่อนขึ้นเร็วขนาดนั้นได้นี่นา

น้ำค้างแห่งสวรรค์……

ถูกแล้ว น้ำค้างแห่งสวรรค์จะต้องถูกนางยักยอกเป็นของส่วนตัวแน่

นอกจากสิ่งนี้ พวกเขาก็คิดไม่ออกว่ากู้ชูหน่วนยังจะมีวิธีใดอีกที่สามารถพัฒนาวิทยายุทธให้เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆเช่นนี้ได้

มุมปากของมู่ซินเผยรอยยิ้มออกมา

อาหน่วนไม่ได้หลอกเขา นางดื่มน้ำค้างแห่งสวรรค์ไปขวดหนึ่งแล้วจริงๆ

“ชีพจรยุทธ์ขั้นที่ห้า เจ้า…..เจ้าทะยานขึ้นสู่ขั้นที่ห้าแล้วจริงๆ…..” เจ้าบ้านสามกล่าวด้วยความตะลึง

หากว่านางเป็นขั้นที่ห้า เช่นนั้นนางก็ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ ไม่เพียงแต่ไม่ใช่เท่านั้น แต่ยังนับว่าเป็นยอดฝีมือในตระกูลมู่ของพวกเขาอีกด้วย

กู้ชูหน่วนโบกมือ เดินออกจากจวนมู่ไปอย่างผ่าเผย “ท่านลอบโจมตีข้า ข้าคืนท่านไปเข็มหนึ่ง ก็ยุติธรรมมากแล้ว”

“สารเลว หัวหน้าตระกูล ท่านดูมู่หน่วนสิขอรับ นางคิดว่าศักยภาพของตัวเองเลื่อนขึ้นไปถึงขั้นที่ห้าแล้ว จะไม่เห็นใครในสายตาก็ได้แล้วหรือ?”

หัวหน้าตระกูลมู่กล่าวอย่างไม่เกรงใจ “นางอวดดีไปหน่อยจริงๆ แต่หากศักยภาพของเจ้าสามารถพอจะเลื่อนเป็นขั้นที่สองได้ เจ้าก็สามารถไม่เห็นคนอื่นในสายตาได้เช่นกัน”

“หัวหน้าตระกูล”

“พอแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว อำนาจของตระกูลมู่อ่อนแอ พวกเราควรสามัคคีกันยิ่งขึ้น จึงจะไม่ถูกคนนอกรังแก มู่ซิน เจ้าหามู่หน่วนเจอ ก็ถามนางสักหน่อยว่าต้องการให้พวกเราช่วยอะไรบ้าง สิ่งที่คุณชายเย่ผู้นั้นต้องการหาจวนมู่ของพวกเราจำเป็นจะต้องหาให้พบ”

“ขอรับ”

ด้านนอกจวนมู่

หลังจากที่กู้ชูหน่วนจากไปได้ไม่นาน ก็พบกับการจู่โจมสังหาร

คนที่จู่โจมสังหารนางสวมผ้าคลุมหน้า มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตา แต่ทว่าทุกกระบวนท่าที่พวกเขาลงมือนั้นโหดเหี้ยม ไม่มีความปรานีโดยสิ้นเชิง กู้ชูหน่วนไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นคนที่ไป๋หลี่เจิ้นส่งมาเพื่อกำจัดนาง

คนของชายสวมหน้ากากก็ไม่ได้ออกมาช่วยนาง ก็อยู่ในความคาดหมายของนางเช่นกัน

อย่างไรเสียหากว่าเรื่องเล็กเพียงแค่นี้ก็จัดการไม่ได้ แล้วยังจะพูดเรื่องการช่วยเขารวบรวมวิญญาณให้ครบได้ยังไง

กู้ชูหน่วนสิ้นเปลืองแรงเป็นอย่างมากจึงจะหลุดพ้นจากนักฆ่าเหล่านั้นได้

และยังดีที่ตอนนี้นางเป็นขั้นที่ห้า บนตัวก็มีอาวุธลับ ไม่เช่นนั้นการลอบสังหารฉากนี้ นางก็ไม่รู้ว่ายังจะสามารถรักษาชีวิตน้อยๆของตัวเองไว้ได้หรือไม่

ภายใต้สถานการณ์ที่ศักยภาพต้อยต่ำนี้ ครั้งนี้หลบรอดไปได้ ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะสามารถหลบได้พ้นหรือไม่

สถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด

กู้ชูหน่วนแปลงโฉมแต่งตัวเป็นคนรับใช้ในตระกูลไป๋หลี่เสียเลย ปะปนอยู่กับคนรับใช้ ตามท้ายคนของไป๋หลี่เจิ้นกลับไปที่ตระกูลไป๋หลี่