ภาคที่ 5 บทที่ 162 พิมพ์เขียว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

น่าประหลาดใจยิ่งนักที่เซินหลานจือเหยียนไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใดเมื่อรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของซูเฉินคืออะไร หลังจากชะงักไปชั่วขณะ เขาก็พลันระเบิดหัวเราะออกมา

“ใช่แล้ว ! อย่างนั้นละ ! ศัตรูที่แท้จริงต้องทำกันอย่างนี้สิ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ข้าก็นับถือในความกล้าหาญของเจ้าจริง ๆ เจ้าหลอกทั้งข้าและหยงเยี่ยหลิวกวงได้สำเร็จ เยี่ยมมาก !” เซินหลานจือเหยียนหัวเราะดังลั่น

เซินหลานจือเหยียนดูเหมือนจะพอใจยิ่งนักแม้ว่าสถานการณ์จะไม่สู้ดีก็ตาม เขาไม่ได้สนใจมากนักกับการที่ซูเฉินหลอกใช้ตัวเอง อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้เชื่อมั่นในตัวซูเฉินมากนักอยู่แล้ว

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับสภาพอย่างเงียบ ๆ

ในฐานะจักรพรรดิอสูร เซินหลานจือเหยียนเองก็เฉลียวฉลาดอยู่พอสมควร

ในที่สุดเขาก็คิดแผนขึ้นได้

จักรพรรดิอสูรกล่าวขึ้น “เจ้ามนุษย์ ดูเหมือนว่าเจ้าจะโลภมากเหลือเกินทีเดียว ถ้าเจ้าช่วยจินเยี่ยนจากที่นี่ได้ เขาจะพาเจ้าไปหาสมบัติได้”

“ว่าต่อไปสิ” ซูเฉินยิ้ม “ข้าต้องการเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่านี้ ถ้าให้ดีก็ควรจะเป็นอะไรที่ข้าพอจะจัดการได้ สมบัติที่ซุกซ่อนอยู่พวกนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่ข้าจะต้องนึกถึงในตอนนี้ ไม่มีใครรู้ว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า และสมบัติพวกนั้นมีอยู่มากเพียงไรกัน ข้ายอมได้ประโยชน์บางอย่างจากตัวนกนั่นเองยังจะดีเสียกว่า”

จากตัวนกนั่นอย่างนั้นหรือ ?

“เขาเป็นลูกชายของจักรพรรดิอสูร ถ้าเจ้าช่วยชีวิตเขา เจ้าก็จะได้รับประโยชน์และสิ่งตอบแทนนับไม่ถ้วนทีเดียว”

“เจ้าบอกข้ามาแค่ว่าเขาเป็นลูกชายของราชันจักรพรรดิอสูร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะได้ประโยชน์อะไรจากเลี่ยเยี่ยนเสียหน่อย”

เซินหลานจือเหยียนตะลึง “เจ้ารู้หรือ ?”

“เหอะ” ซูเฉินยิ้มเยาะ “ข้าคงเป็นฤๅษีหากไม่รู้ว่าตัวตนของนกสามขาสีทองตัวนี้”

ราชันจักรพรรดิอสูรเป็นจักรพรรดิอสูรกายที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ การจำแนกประเภทระหว่างจักรพรรดิอสูรกายนั้นไม่มีอยู่จริง จักรพรรดิอสูรกายก็คือจักรพรรดิอสูรกาย ซึ่งเป็นอสูรที่แข็งแกร่งที่สุด อสูรใด ๆ ที่แข็งแกร่งยิ่งไปกว่านั้นก็จะนับเป็นเทพอสูร แต่เทพอสูรนั้นก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้

การแบ่งอสูรจากความแข็งแกร่งนั้นถือเป็นการขัดต่อลำดับชั้นตามธรรมชาติของพวกมัน ดังนั้นราชันจักรพรรดิอสูรจึงเป็นแค่ชื่อเท่านั้น พวกเขาเป็นจักรพรรดิอสูรกายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เพียงแค่เป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิอสูรกายทั่ว ๆ ไปก็เท่านั้น

เลี่ยเยี่ยนเป็นหนึ่งในราชันจักรพรรดิอสูรทั้งสิบของเผ่าอสูร

เซินหลานจือเหยียนเคยเป็นหนึ่งในลิ่วล้อของเลี่ยเยี่ยนมาก่อน หลังจากได้เป็นจักรพรรดิอสูรกายแล้ว เขาก็สร้างอาณาเขตของตัวเองขึ้นมา เลี่ยเยี่ยนจัดตั้งให้เขาดูแลเขตแดนของเผ่าปักษา และแม้ว่าตอนนี้จะเป็นจักรพรรดิอสูรกายแล้ว เขาก็ยังปฏิบัติกับเลี่ยเยี่ยนด้วยความเคารพยิ่งอย่างเดิม

ลูกชายของเลี่ยเยี่ยนเดินทางมากับเขาในการสำรวจและก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้ไปด้วย ดังนั้นความคิดแรกของเซินหลานจือเหยียนก็คือการช่วยชีวิตลูกชายคนนี้นั่นเอง

เซินหลานจือเหยียนยิ้มขนขื่นเมื่อได้ยินซูเฉินกล่าวเช่นนั้น “นอกจากตัวข้าเองแล้ว มีอะไรอีกไหมที่ข้าพอจะเสนอให้เจ้าได้ จริง ๆ แล้วข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก จินเยี่ยน มานี่ !”

นกสามขาสีทองอร่ามบินมาหาเซินหลานจือเหยียนทันที

เซินหลานจือเหยียนพ่นลมกรรโชกออกมาซึ่งทำให้หุ่นเชิดระดับมโหฬารเสียหลักถอยหลังไป จากนั้นเขาจึงกล่าวกับจินเยี่ยนว่า “ข้าขอโทษด้วย ข้ามาส่งเจ้าได้เพียงเท่านี้ เส้นทางที่เหลือข้างหน้านั่นเจ้าคงต้องเดินต่อไปแต่เพียงลำพังแล้วละ”

กล่าวจบเขาก็จ้วงแทงร่างกายของตัวเองด้วยมือ สีหน้าของเซินหลานจือเหยียนพลันบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะดึงมือโชกเลือดออกมาจากร่างนั้นพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนน่าสยดสยอง… ในมือนั้นถือบางอย่างเอาไว้

มันคือ… ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกาย !

เขายัดผลึกต้นกำเนิดเข้าไปในปากของจินเยี่ยน และกล่าวขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด “ช่วยเขาซะ ไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้อะไรเลย”

“ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ !” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง

ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายถูกนำออกมาจากร่างของเซินหลานจือเหยียนด้วยตัวเขาเอง นอกจากมันจะมีพลังของอีกฝ่ายอัดแน่นอยู่ในนั้นแล้ว ก็ยังเต็มไปด้วยความรู้และประสบการณ์ในการต่อสู้อีกมากมายทีเดียว หากเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแห่งพลังอยู่บ้าง ซูเฉินอาจบรรลุความรู้บางอย่างขึ้นมาก็ได้

ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายมีค่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากควักเอาผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายออกมาจากร่างแล้ว เซินหลานจือเหยียนก็ดูเหมือนจะไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาคุกเข่าลงและสิ้นใจที่ตรงนั้น

“ท่านลุง !” จินเยี่ยนตกตะลึง

ซูเฉินถอนใจ เขายื่นมือออกไปและคว้าร่างไร้วิญญาณของเซินหลานจือเหยียนเอาไว้ก่อนจะกล่าวขึ้น “ตามข้ามา”

จินเยี่ยนยังคงตะลึงงันจึงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

หุ่นเชิดระดับมโหฬารหนีออกมาจากลมพายุได้แล้ว และพวกมันกำลังพุ่งตัวเข้ามาอีกครั้ง

ซูเฉินเหวี่ยงแขนไป และเทพอสูรจำนวนหนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางอากาศพร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาหุ่นยักษ์เพื่อจะหยุดพวกมันไว้

ชายหนุ่มกล่าวขึ้น “ตื่นได้แล้วเจ้างั่ง !”

เสียงตะโกนนี้ดังขึ้นในโสตประสาทของจินเยี่ยนราวกับสายฟ้าฟาดและนำเขากลับมาสู่โลกความจริงอีกครั้ง เขากลับมารับรู้สถานการณ์ตรงหน้าก่อนจะกัดฟันแน่นและออกวิ่งไปพร้อมกับซูเฉิน

ในขณะเดียวกันนั้น เทพอสูรที่อยู่รอบข้างก็ทะยานเข้ามาเช่นกัน พวกมันโจมตีอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้หุ่นเชิดพวกนั้นทำร้ายซูเฉินกับจินเยี่ยนได้

“เจ้าทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน ?” จินเยี่ยนประหลาดใจ

“ข้าเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ที่เชี่ยวชาญด้านวิญญาณ ไม่แปลกหรอกที่ข้าจะทำอย่างนี้ได้ จริงไหม แต่ในเมื่อข้าเป็นแค่ร่างแยก ข้าจึงไม่มีพลังมากนัก ถ้าเจ้าไม่รีบขึ้นอีกสักหน่อย พวกเราอาจไม่มีโอกาสได้ออกไปจากที่นี่ก็ได้ ถ้าข้าตาย นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แต่ถ้าเจ้าตายสิ… คงน่าอายนัก…” ซูเฉินกล่าวพร้อมกับหัวเราะเยาะจินเยี่ยน

จินเยี่ยนพูดไม่ออก เขาตามซูเฉินไปอย่างใกล้ชิดและมองดูชายหนุ่มต่อสู้พร้อมกันกับที่พาเขาเข้าไปในบ้านที่เป็นของครอบครัวปักษา ชาวปักษาในบ้านนั้นกำลังจะกรีดร้อง แต่แล้วซูเฉินก็โบกมือและกล่าวกับพวกเขาว่า “เจ้าเห็นพวกข้าไปทางนั้นนะ”

ชาวเผ่าปักษาหันไปมองก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าเห็นพวกท่านไปทางนั้น”

“ต้องอย่างนั้นสิ” ซูเฉินหัวเราะและพาจินเยี่ยนออกไปอีกทางหนึ่ง

หลังจากที่วิชาด้านวิญญาณของเขาพัฒนาไปจนถึงระดับ 9 วิชาสรรพสิ่งลวงตาของซูเฉินก็ยกระดับขึ้นไปด้วย การหลอกชาวปักษาเพียงไม่กี่คนนั้นง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก ข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือการที่เขาต้องพยายามหลอกปักษาเหล่านั้นในร่างแยกนั่นเอง

ขณะที่วิ่งไปตามถนนในเมือง ทั้งคู่ก็จงใจเลือกที่ซ่อนตัวเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าปักษา หลังจากผ่านบ้านเรือนไปหลายพันหลัง ซูเฉินกับจินเยี่ยนก็มาถึงยังตรอกแห่งหนึ่ง

“เจ้าปลอมตัวได้ไหม ?” ซูเฉินพลันถามขึ้น

“ได้” จินเยี่ยนพยักหน้าตอบรับ

“แล้วทำไมยังไม่กลายร่างอีกล่ะ” ซูเฉินมองหน้าอีกฝ่าย

จินเยี่ยนตกใจกับสายตานั้นและเข้าใจความหมายที่ซูเฉินต้องการจะสื่อในทันที เขากลายร่างเป็นปักษาหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาโดยไม่รอช้า

จากนั้นซูเฉินก็บอกกับเขา “รอข้าอยู่ตรงนี้”

“อะไรนะ” จินเยี่ยนตะลึงอีกครั้ง เขามองดูร่างของซูเฉินกลายสภาพเป็นไอหมอกสีขาวและทิ้งหยาดเลือดไว้บนพื้น

“นี่ ! เจ้าหายไปแบบนั้นได้อย่างไรกัน แล้วอย่างนี้ข้าจะทำอย่างไรต่อ ?” จินเยี่ยนร้องขึ้น

แต่เมื่อซูเฉินหายตัวไปแล้ว เสียงร้องโวยวายของจินเยี่ยนก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ

ถนนเส้นนั้นมีแต่ความว่างเปล่า ตั้งแต่การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่บังเกิดขึ้นก็ไม่มีชาวปักษาคนใดกล้าที่จะออกมาจากที่พักเลย จินเยี่ยนเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น

เขาเริ่มตระหนกและไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรดี หลังจากงุนงงอยู่สักพัก สิ่งเดียวที่เขาพอจะคิดออกก็คือซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของถนนด้วยความหวาดกลัว อสูรหนุ่มโตมาโดยที่ไม่เคยสัมผัสกับความกลัวที่แท้จริงมาก่อน การที่ต้องถูกล้อมรอบไปด้วยศัตรูรอบตัวเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ความคิดเดียวที่แล่นเข้ามาในหัวของจินเยี่ยนในนาทีนี้ก็คือเขาอยากกลับบ้านไปหาบิดาเป็นที่สุด ไม่ว่าท่านพ่อจะเข้มงวดเพียงไร แต่นั่นก็ยังดีกว่าต้องมาซ่อนตัวอยู่ตรงนี้และอาจต้องตายเมื่อไรก็ได้

เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วน้ำตาของอสูรหนุ่มก็เริ่มไหลออกมา

“หือ เจ้าร้องไห้หรือ ? นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ข้าได้เห็นเทพอสูรร้องไห้” เสียงหัวเราะของใครบางคนดังขึ้น

จินเยี่ยนหันหน้าไปด้วยความประหลาดใจแล้วก็ต้องพบกับมนุษย์สวมหน้ากากยืนอยู่ข้าง ๆ ปีกของร่างนั้นยังคงโชกไปด้วยเลือดสด ๆ

จินเยี่ยนรู้ทันทีว่าคนคนนี้คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง เขายืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นโดยไม่กล้าปริปากใด ๆ

ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าเองก็ดูจะเชื่อฟังข้าดี ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ตามข้ามาล่ะ”

เมื่อพูดดังนั้นแล้วชายหนุ่มก็หันหลังและออกเดินพร้อมกับรอยยิ้มที่ยังเปื้อนอยู่บนใบหน้า

จะไม่ให้ซูเฉินอารมณ์ดีได้อย่างไรกัน

เขาเพิ่งจะปล้นโรงสรรพาวุธเฉินปิงมาได้หมาด ๆ ทุกอย่างที่ได้มาครอบครองล้วนเป็นของมีค่าทั้งสิ้น

สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาพบนั้นไม่ได้เป็นสิ่งมั่งคั่งหรือเป็นสมบัติที่เป็นชิ้นอันแต่อย่างใด

ซูเฉินพบพิมพ์เขียวขณะที่กำลังรื้อค้นไปทั่วในโรงสรรพาวุธแห่งนั้น

มันคือพิมพ์เขียวของโครงสร้างแกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเรือรบ !

แกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเรือรบนั้นเป็นเหมือนของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนของจริง

แกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเมืองเพียงหนึ่งเดียวถูกติดตั้งไว้ที่เมืองล่องนภานี้ และมันทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเคลื่อนย้ายเมือง แต่ชาวปักษาก็ปฏิเสธที่จะให้สำเนาโครงสร้างของแกนพลังแห่งซาร์คมานานนับหลายหมื่นปี

หากไม่มีการสนับสนุนจากอาณาจักรอาร์คาน่า แม้แต่ความแข็งแกร่งของอาณาจักรปักษาเองก็ยังไม่สามารถสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังสามารถพัฒนาแกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเรือรบขึ้นมาได้ในท้ายที่สุด

แกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเรือรบที่ดีที่สุดถูกติดตั้งไว้ที่ปราสาทแสงต้นกำเนิด มันถูกสร้างขึ้นโดยชาวอาร์คาน่าคนหนึ่ง และเป็นความพยายามในการสร้างแกนพลังงานแห่งซาร์คครั้งที่สองของอาณาจักรอาร์คาน่า อาณาจักรล่มสลายไปก่อนที่มันจะถูกสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ แต่ชาวอาร์คาน่าที่หลงเหลืออยู่ก็สามารถสร้างแกนพลังงานแห่งซาร์คนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ

แต่ชาวปักษาไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้อีก

พวกเขาจึงสร้างแบบจำลองของแกนพลังงานแห่งซาร์คที่มีพลังในระดับต่ำกว่าขึ้นมา และแม้ไม่สามารถนำพลังไปใช้กับจุดลอยได้ แต่ถึงอย่างนั้นพลังของมันก็ยังมีประโยชน์กับหุ่นเชิดพร้อมรบพวกนี้

หุ่นเชิดระดับมโหฬาร !

ใช่แล้ว…. แกนพลังงานแห่งซาร์คเหล่านี้อยู่ที่แกนกลางในการทำงานของหุ่นยักษ์ทั้งหลาย และยังเป็นส่วนประกอบหลักในการสร้างหุ่นพวกนี้ขึ้นมาด้วย

ส่วนโลหะคุกนิลกาฬและส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ใช้ในการสร้างหุ่นนั้นไม่ได้สำคัญนัก วัสดุพวกนั้นเป็นสิ่งกำหนดคุณภาพและธรรมชาติของหุ่น อย่าง โลหะคุกนิลกาฬ ที่มีคุณสมบัติในการต้านทานพลังต้นกำเนิด ก็จะทำให้หุ่นมีพลังในการต้านทานวิชาอาร์คาน่า แต่นั่นก็ทำให้พวกมันใช้วิชาอาร์คาน่าไม่ได้ไปด้วย

การไม่ใช้โลหะคุกนิลกาฬ และเปลี่ยนมาใช้ตัวนำพลังต้นกำเนิดแทนนั้นทำให้หุ่นยักษ์มีลักษณะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกมันอาจอ่อนแอกว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิชาอาร์คาน่า แต่หุ่นกลุ่มนี้ก็จะสามารถปล่อยพลังทักษะต้นกำเนิดและวิชาอาร์คาน่าที่แข็งแกร่งออกมาได้

แต่ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม แกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเรือรบก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในการสร้างหุ่นรบขึ้นมาอยู่ดี วัสดุอื่น ๆ นั้นถูกนำมาใช้เพื่อให้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไปเท่านั้น อย่างไรแล้วแก่นแท้ภายในของหุ่นก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม

พิมพ์เขียวนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง ด้วยสิ่งนี้แล้วนิกายไร้ขอบเขตจะสามารถมีหุ่นยักษ์พวกนี้ในครอบครองได้ด้วยเช่นกัน

แม้ว่าการสร้างหุ่นเชิดระดับมโหฬารจะใช้ทรัพยากรมหาศาล แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ซูเฉินไม่ได้บกพร่องอยู่แล้ว

ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของซูเฉินหลังจากการปล้นเผ่าปักษานั้นเรียกได้ว่าไม่สามารถคำนวณมูลค่าได้ มันมากมายเสียจนเขาเองก็ยังคร้านที่จะนับ

ด้วยความมั่งคั่งของชายหนุ่มในตอนนี้แล้ว เขาสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเงินนั้นเป็นสิ่งที่เขาสนใจน้อยที่สุด

ซูเฉินไม่ได้เสแสร้ง แต่มันคือทัศนคติที่เปลี่ยนไปจริง ๆ เมื่อเขามีเงินมากขึ้น

แต่หลายคนก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าซูเฉินจะยังทำการปล้นอย่างนี้ต่อไปอีกทำไม ในเมื่อเขาไม่ได้สนใจเงินอีกแล้ว

มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

การสนใจเรื่องเงินและสนใจเรื่องการเก็บเงินเป็นสองสิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างแรกนั้นเกี่ยวข้องการความมั่งคั่งและการอยากได้อยากมี ในขณะที่อย่างหลังนั้นหมายความถึงแรงผลักดันและการแสวงหาเสียมากกว่า

ซูเฉินสามารถที่จะไม่สนใจเรื่องเงินได้ แต่เขายังต้องการแรงผลักดันและการแสวงหาอยู่

แต่การแสวงหาของเขาในตอนนี้ก็เรียบง่ายนัก นั่นก็คือซูเฉินต้องการที่จะทำให้ศัตรูอ่อนแอมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกันก็พยายามให้ตัวเองและฝ่ายพันธมิตรแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย สำหรับชายหนุ่มแล้ว การปล้นทุกอย่างที่ขวางหน้าจึงไม่ได้หมายความถึงการอยากได้อยากมีหรือเรื่องเงินแต่อย่างใด

ขณะที่เขาและจินเยี่ยนเดินไป ซูเฉินก็ถามขึ้น “เรื่องที่เก็บสมบัติที่เซินหลานจือเหยียนพูดถึงนั่นเป็นเรื่องจริงไหม ?”