ภาคที่ 5 บทที่ 163 แขกมาถึง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

คำถามของซูเฉินทำให้จินเยี่ยนลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะตอบบางอย่างออกไป แต่ก็ยังไม่กล้าพอ

เมื่อเห็นดังนั้นซูเฉินก็เข้าใจ จึงกล่าวต่อไป “เอาเถอะ ข้าก็ไม่ได้คิดว่าเซินหลานจือเหยียนจะทิ้งอะไรไว้ให้มากนักอยู่แล้ว แค่บอกข้ามาว่าเขามีอะไรบ้างก็พอ”

“ขอรับ” จินเยี่ยนตอบอย่างเชื่อฟัง “ฝ่าบาทเซินหลานพอมีทรัพย์สมบัติส่วนตัวอยู่จริง แต่จำนวนของมันไม่มีทางมากพอที่จะทำให้ท่านพอใจได้แน่”

“หือ เจ้าหมายความว่าเขาไม่มีคลังสมบัติลับก็เพราะเขาจนหรือ ?”

“คือ… ใช่ ท่านเข้าใจถูกแล้ว” จินเยี่ยนตอบ

คำตอบนั้นทำให้ซูเฉินได้รู้ว่าเซินหลานจือเหยียนอยู่ในเขตแดนเผ่าปักษาด้วยความยากลำบากเหมือนกัน

เพราะเมืองล่องนภาและจุดลอยอื่น ๆ จึงทำให้ชาวปักษาขาดความสามารถในเชิงรุก แต่จะมีทักษะมากกว่าในด้านของการป้องกัน หากไม่สามารถขยายอิทธิพลออกไปได้ อาณาเขตของพวกเขาก็จะถูกทำลายลงในที่สุด ปักษาทั้งหลายเองก็เคลื่อนที่ได้สะดวกพอสมควร ทำให้สามารถเคลื่อนไปทั่วในอาณาจักรได้ไม่เว้นแต่ละวัน เซินหลานจือเหยียนหาเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบาก ต่างไปจากเคอเหลยซีต๋าที่ได้รับการคุ้มครองจากเขาพันพิษ อสูรที่อยู่ในอาณาเขตของเผ่าปักษานั้นทำได้เพียงซ่อนตัวและกระจายกันอยู่เท่านั้น

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จึงไม่แปลกเลยที่เซินหลานจือเหยียนจะไม่มีสมบัติให้อวดอ้างมากนัก แต่แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้นเสียทีเดียว และสมบัติที่มีนั้นก็อยู่ในรูปแบบของผลึกต้นกำเนิดอสูรกายและทักษะต้นกำเนิดที่หายากทั้งหลายนั่นเอง

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงผลึกต้นกำเนิดซูเฉินก็ตาลุกวาวทันที

ณ จุดนี้เขาไม่ได้สนใจเครื่องมือต้นกำเนิดเลยสักนิด สิ่งที่เขาขาดแคลนอยู่ก็คือผลึกต้นกำเนิดนั่นเอง เซินหลานจือเหยียเป็นจักรพรรดิอสูรกาย ดังนั้นเขาจึงมีผลึกต้นกำเนิดมากมายอยู่แล้ว

“แล้วผลึกต้นกำเนิดพวกนั้นอยู่ที่ไหนกัน ?” ซูเฉินถาม

“ใน…. เขา…. เขาไพรเมิน ใช่แล้ว ในเขาไพรเมิน” จินเยี่ยนยืนยันคำตัวเอง

“ขอตำแหน่งที่ชัดเจนกว่านี้ได้ไหม”

“ที่ฝั่งตะวันตกของเขาไพรเมินในสระน้ำสีเขียวอมน้ำเงิน สมบัติถูกเก็บไว้ใต้สระนั่น”

ซูเฉินหัวเราะ “ข้าว่า เจ้าเก็บของพวกนั้นในมือเจ้ามากกว่า… ใช่ไหม”

“อะไรนะ ?” จินเยี่ยนตะลึงและรีบเก็บมือไว้ที่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว

“อย่าคิดจะซ่อนเลย เอามันมาให้ข้าเถอะ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะยังทำตามข้อตกลงและช่วยเจ้าหนีไปเหมือนเดิมนั่นละ” ซูเฉินกล่าว

จินเยี่ยนลังเลเล็กน้อยก่อนจะถอดแหวนต้นกำเนิดบนนิ้วตัวเองออกมาและส่งมันให้กับซูเฉิน “ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่บนนิ้วข้า”

“คำโกหกของเจ้ามันออกจะทื่อไปสักหน่อย และเจ้าเองก็เหลือบมองที่มือตัวเองโดยไม่รู้ตัวในทุกครั้งที่พูดถึงสมบัติ พวกอสูรอย่างเจ้าแทบไม่ใช้แหวนต้นกำเนิดกันเลย และถ้าหากใช้กัน ก็มักจะใช้เป็นที่เก็บสมบัติของตัวเอง ใช่ไหมล่ะ ? นอกเสียจากว่าเจ้าจะมีสมบัติมากเกินไปที่จะเก็บไว้ในนั้น”

ซูเฉินเปิดแหวนต้นกำเนิดออกและพบว่ามันอัดแน่นไปด้วยผลึกต้นกำเนิดในนั้นมีผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกาย 2 ผลึก ผลึกต้นกำเนิดเจ้าอสูรกาย 7 ผลึก และต้นพืชอีกจำนวนหนึ่ง ในแหวนนั้นมีของไม่มากนัก แต่ของในนั้นล้วนเป็นของหายากทั้งสิ้น

ซูเฉินได้ผลึกต้นกำเนิดเพิ่มจากแหวนต้นกำเนิดของเซินหลานจือเหยียนมากกว่าที่เขาได้จากเขตแดนระดับสูงของเมืองล่องนภาเสียด้วยซ้ำ

“เดิมทีผลึกพวกนี้ควรถูกมอบให้กับพ่อของข้า” จินเยี่ยนพึมพำขึ้น

เขาติดตามเซินหลานจือเหยียนมาในการสำรวจก็เพราะเหตุนี้ แต่แล้วเขากลับต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้แทนเสียอย่างนั้น

“เยี่ยมไปเลย !” ซูเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “แล้วผลึกของเซินหลานจือเหยียนล่ะ ?”

จินเยี่ยนอ้าปากอย่างไม่เต็มใจนัก และพ่นเอาผลึกต้นกำเนิดของเซินหลานจือเหยียนออกมา

ผลึกต้นกำเนิดนี้มีทั้งสีน้ำเงินและแดง รวมถึงมีพื้นผิวที่ถูกสลักด้วยลวดลายอันวิจิตรบรรจง มันเป็นผลึกต้นกำเนิดที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ

“ยอดมาก !” ซูเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจอีกครั้ง

“ข้าให้ของกับเจ้าแล้ว เราจะไปจากที่นี่กันได้หรือยัง ?” จินเยี่ยนถามขึ้น

“เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้นละ” ซูเฉินตอบ

“อะไรนะ !” จินเยี่ยนเริ่มจะหงุดหงิด เขาคว้ามือของซูเฉินไว้และกล่าวต่อไป “ท่านสัญญากับซือหลานแล้ว และข้าเองก็ได้ทำตามคำขอในส่วนของข้า ท่านจะมากลับคำไม่ได้…”

ซูเฉินหมุนตัวและคว้าคอของจินเยี่ยนไว้ ก่อนจะผลักร่างเขากระแทกเข้ากับกำแพง “ไอ้หนู รู้จักมีไหวพริบเสียบ้างนะ ข้ารับปากกับซือหลานว่าจะช่วยเจ้า และข้าเองก็ตั้งใจจะทำตามที่ว่าไว้อยู่แล้ว แต่เราจะไปจากที่นี่ตอนไหนนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับข้า อีกอย่างข้าต้องบอกเจ้าไว้ก่อนเลยว่า ข้าบอกกับซือหลานไว้ว่าอย่างไรแล้วมนุษย์กับอสูรก็เป็นศัตรูกัน วันนี้ข้าอารมณ์ดีและอยากจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ แต่ถ้าพรุ่งนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีละก็ ข้าอาจกลับคำอีกก็ได้ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ดังนั้น… อย่าทำให้ข้าอารมณ์เสียก็แล้วกัน”

จินเยี่ยนมองซูเฉินด้วยความสับสน

แม้ว่าเขาจะเป็นอสูรกาย แต่เขาก็เป็นถึงลูกชายของราชันจักรพรรดิอสูร ใครกันจะกล้าดีมากลั่นแกล้งและหลอกลวงเขา ?

แต่ทันทีที่เขาจากพ่อมา ซูเฉินก็สั่งสอนบทเรียนอันมีค่าให้กับอีกฝ่ายเสียแล้ว

เมื่อจินเยี่ยนเห็นดวงตาของซูเฉินที่เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ความหวาดกลัวก็กัดกินจิตใจเขาและทำให้ต้องพยักหน้าอย่างเชื่อฟังในทันที “ได้… ได้เลย…”

“ต้องอย่างนั้นสิ” ซูเฉินตบหน้าอีกฝ่ายเบา ๆ “การมีไหวพริบน่ะจะมีประโยชน์ทั้งกับข้าแล้วก็ตัวเจ้าเอง”

พูดจบเขาก็หันหลังและออกเดินไป

หากเป็นใครอื่นคงกลัวซูเฉินจนพูดไม่ออกไปแล้ว แต่จินเยี่ยนคนนี้กลับช่างเจรจาและไม่ลืมที่จะถามว่า “แล้วนี่เราจะไปไหนกัน ?”

“ไปหาที่รอที่ไหนสักแห่ง เราจะเล่นเกมซ่อนหากัน”

“ซ่อนหาหรือ ?”

“ใช่แล้ว ซ่อนหา… พวกนั้นมาถึงแล้ว ดังนั้นก็ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องเล่นเกมกัน” ซูเฉินตอบ

จินเยี่ยนไม่รู้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังพูดเรื่องอะไร

“ฝ่าบาท พวกอสูรที่รุกรานเข้ามาทั้งหมดถูกสังหารไปหมดแล้ว และเทพอสูรคางคกพันพิษก็เช่นกัน พวกเราเผ่าปักษาทำลายเทพอสูรได้สำเร็จอีกหนึ่งตนแล้ว !”

กูเทียนเยวี่ยคุกเข่าลงต่อหน้าหยงเยี่ยหลิวกวงและรายงานสถานการณ์

“ข้าเห็นแล้ว” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวด้วยท่าทีและสีหน้าที่เรียบเฉย “ข้าอยากรู้เรื่องจำนวนคนของเราที่บาดเจ็บหรือล้มตายมากกว่า”

ใบหน้าที่กระตือรือร้นของกูเทียนเยวี่ยพลันหมองลงทันใด “เรื่องนั้น ตอนนี้เรากำลังตรวจสอบให้แน่ชัด จึงยังไม่มีตัวเลขที่แน่นอนออกมา”

“อืม…” หยงเยี่ยหลิวกวงกล่าวพร้อมกับชักดาบของตัวเองออกมา

กูเทียนเยวี่ยใจเต้นไม่เป็นจังหวะ “แต่จำนวนที่คาดการณ์ในตอนนี้ อย่างน้อยก็… ราวหนึ่งแสนสองหมื่น หรืออาจมากกว่านั้น !”

คลื่นความกดดันแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้องในเสี้ยววินาทีนั้น แม้แต่เค่อเหลยซีต๋าก็ยังขมวดคิ้วและอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่าชายชราคนนี้ช่างแข็งแกร่งเสียเหลือเกิน ดูเหมือนจะทรงพลังยิ่งกว่าตัวเขาเองเสียด้วยซ้ำ

หยงเยี่ยหลิวกวงอารมณ์บูดบึ้งทีเดียว

พวกเขาควรกำจัดเทพอสูรนั่นตั้งแต่ตอนที่เสียกำลังพลไปเพียงสามหมื่นคนเท่านั้น แต่สถานการณ์ที่พลิกผันไปอย่างกะทันหันที่เขตชายแดนเผ่าปักษานั้นทำให้ตัวเลขเพิ่มจำนวนขึ้นไปถึงสี่เท่าตัว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้หยงเยี่ยหลิวกวงหงุดหงิดได้อย่างไรกัน

ตัวเลขที่ว่านี้ยังไม่รวมถึงชาวปักษาในเมืองที่เสียชีวิตระหว่างการรุกรานของอสูรเลยด้วยซ้ำ

คนเหล่านี้ล้วนเป็นปักษาชั้นสูงทั้งสิ้น การสูญเสียครั้งนี้ทำให้ชัยชนะที่หวานหอมกลายเป็นขมปร่าเสียอย่างนั้น

ชาวปักษาคงต้องลำบากกันอีกมาทีเดียวในการฟื้นฟูหลังจากนี้ เหตุการณ์นี้อาจทำให้ต้องใช้เวลานานถึงหลายร้อยปีกว่าที่พวกเขาจะกลับมามีอำนาจในระดับเดิมได้ แล้วจะไม่ให้หยงเยี่ยหลิวกวงรู้สึกเกลียดชังชายคนนี้ได้อย่างไรกัน

“ชุยอวี่คงเหิน !” หยงเยี่ยหลิวกวงคำรามขึ้นอีกครั้ง

เขาไม่รู้เลยว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นใครกันแน่ ดังนั้นชื่อของชุยอวี่คงเหินจึงถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง และตระกูลชุยอวี่เองนั้นก็ถูกกำจัดไปในระหว่างการต่อสู้เพื่อปกป้องเมืองอีกด้วย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่ได้จะทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ เขาจึงให้สังหารผู้รอดชีวิตเหล่านั้นเสียเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาใด ๆ อีกในอนาคต

เมื่อกูเทียนเยวี่ยกับเค่อเหลยซีต๋าได้ยินชื่อนั้น ทั้งสองก็อดรู้สึกเคียดแค้นขึ้นมาไม่ได้

หยงเยี่ยหลิวกวงถามขึ้น “แล้วเซินหลานจือเหยียนล่ะ ?”

กูเทียนเยวี่ยตอบกลับไป “เซินหลานจือเหยียนตายแล้ว และชุยอวี่คงเหินก็เอาร่างของไปด้วย นกสามขานั่นก็อยู่กับเขา จากการวิเคราะห์ของเราแล้ว นกนั่นน่าจะเป็นลูกชายของเลี่ยเยี่ยน”

ความกดดันที่เริ่มเพิ่มขึ้นทำให้กูเทียนเยวี่ยต้องหมอบลงกับพื้น

เสียงของหยงเยี่ยหลิวกวงที่กล่าวในคราวนี้ฟังดูโหดเหี้ยมมากทีเดียว “ลูกชายของเลี่ยเยี่ยนจะมาทำอะไรที่นี่กัน ทำไมถึงมาพูดเรื่องนี้กับข้าในตอนนี้”

“เรื่องนี้… พวกข้าก็เพิ่งทราบ !” กูเทียนเยวี่ยตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก

นี่ไม่ใช่เพราะเขาไม่ใส่ใจ แต่สมรภูมินั้นเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นการจะไปสนใจแต่นกสามขาตัวนั้นก็อาจจะเกินไปหน่อย เขาเพิ่งค้นพบเรื่องนี้หลังจากรับรู้การเคลื่อนไหวของเซินหลานจือเหยียนแล้วเท่านั้น

สำหรับหยงเยี่ยหลิวกวงแล้ว การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือการที่ปล่อยให้จินเยี่ยนหนีไปได้

เขาไม่ได้ใส่ใจกับร่างของเซินหลานจือเหยียนมากนัก เพราะนี่เป็นเรื่องของเงินเสียมากกว่า ส่วนจินเยี่ยนนั้นเป็นบุคคลทางการทูตที่สำคัญยิ่ง

การปล่อยให้เขาหนีไปได้นั้นถือเป็นการพลาดโอกาสครั้งสำคัญเลยก็ว่าได้หยงเยี่ยหลิวกวงกำลังชักใบเรืออย่างยากลำบาก

“เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่าเขาอยู่กับชุยอวี่คงเหินจริง ๆ”

“ใช่แล้วขอรับ !” กูเทียนเยวี่ยตอบทันควันด้วยสีหน้าจริงจัง อันที่จริงเขาเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่ก็ทำได้เพียงหวังว่าสิ่งที่รายงานไปนั้นจะเป็นความจริง

หยงเยี่ยหลิวกวงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้นต่อไป “นกสีทองสามขานั้นถูกชุยอวี่คงเหินเอาตัวไปก็เป็นทั้งเรื่องดีและไม่ดี ตอนนี้วิชาเคลื่อนกายของเขาคงจะมีขีดจำกัดขึ้นอีกมากทีเดียว”

ชายชราหันไปหาเค่อเหลยซีต๋า “ชุยอวี่คงเหินยังอยู่ในเมืองล่องนภาอยู่ไหม”

“เขายังอยู่” เค่อเหลยซีต๋าพยักหน้า

ตอนนี้เขาทำได้เพียงระบุว่าซูเฉินยังอยู่ในพื้นที่หรือไม่เท่านั้น

“ยังอยู่ที่นี่…” หยงเยี่ยหลิวกวงพึมพำ “ยังอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว นั่นแปลว่าเรายังมีโอกาสอยู่”

หลังจากคิดทบทวนอีกครั้ง เขาก็เรียกชื่อหนึ่งขึ้น “เยี่ยเสิ่นชาง”

“ขอรับ” เยี่ยเสิ่นชางขานรับและก้าวออกมา

“ไปถามที่ปราสาทแสงต้นกำเนิดหน่อยว่าแขกที่เรารออยู่มาถึงแล้วหรือยัง ได้เวลาแล้วละ”

“รับทราบ !” เยี่ยเสิ่นชางรับตอบรับทันที

ไม่นานหลังจากเขาออกไป เจ้าหน้าที่ปักษาคนหนึ่งก็บินตรงมาที่ตำหนักด้วยความเร็วสูง

“ท่านเยี่ยเสิ่นชาง !” เจ้าหน้าที่คนนั้นกล่าวทักทายด้วยความเคารพ

“เจ้าเองหรือ ?” เยี่ยเสิ่นชางจำผู้ส่งสารคนนี้ได้ “เจ้ามีข่าวจากปราสาทแสงต้นกำเนิดหรือ”

เจ้าหน้าที่ปักษาตอบกลับมา “นั่นละคือสาเหตุที่ข้ามาที่นี่ แขกของเรามาถึงแล้ว”

“ยอดไปเลย” เยี่ยเสิ่นชางยินดียิ่งนัก เขาลากตัวเจ้าหน้าที่ปักษาเข้าไปในตำหนักพร้อมกันโดยไม่รอช้า

เขารีบมุ่งหน้าเข้าไปและคุกเข่าลงต่อหน้าหยงเยี่ยหลิวกวง “ข่าวดีขอรับฝ่าบาท !”

หยงเยี่ยหลิวกวงยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานและไม่ได้เหลียวมองมาแต่อย่างใด “แขกของเรามาถึงแล้วหรือ”

“ใช่แล้วขอรับ ฝ่าบาท กรุณาบอกด้วยว่าพวกเราควรดำเนินการอย่างไรดี”

“พาพวกเขาไปยังเรือนกลิ่นสวรรค์ก่อน และพยายามอย่าให้ออกไปไหน บอกให้เจ้าของเรือนถามคำถามพวกเขาเกี่ยวกับชุยอวี่คงเหินตัวปลอมคนนั้น”

“เข้าใจแล้วขอรับ !”

“หาคนที่มีวาทศิลป์ไปพบกับชุยอวี่คงเหิน และบอกให้เขาทราบว่าเรามีสมาชิกตระกูลจูอยู่ในมือ หากเขาไม่ต้องการให้พวกนั้นตาย ก็จะต้องมาพบกับข้า ตราบใดที่เขาพร้อมจะคืนสิ่งที่ขโมยไปให้กับเรา ข้าก็ยินดีจะไว้ชีวิตเขาเหมือนกัน จำไว้ว่าต้องทำให้เขายอมพูดให้ได้ สิ่งที่เราต้องการก็คือคุยกับเขาเท่านั้น ให้เขาเลือกสถานที่มา และถ่วงเวลาไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น สร้างค่ายกลต้นกำเนิดไว้ยังที่ที่จะมีการต่อรองเกิดขึ้นด้วย และเราก็ยังต้องยืนยันชะตาของนกสามขานั่นด้วย….”

หยงเยี่ยหลิวกวงร่ายคำสั่งออกไป ในสมองของเขานั้นตาข่ายที่จะใช้ในการจับตัวซูเฉินได้เริ่มกระจายตัวออกไปแล้ว

ทว่าตาข่ายนั้นกลับต้องพบกับปัญหาเข้าในไม่ช้า

เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการระบุตำแหน่งของซูเฉินรายงานกลับมาว่าชุยอวี่คงเหินได้หายตัวไปเสียแล้ว