ภาคที่ 5 บทที่ 164 ความยืดหยุ่น

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 164 ความยืดหยุ่น

แม้ว่าชาวปักษาจะรู้ว่าชุยอวี่คงเหินอยู่ที่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่ได้พยายามที่จะจับตัวชายหนุ่มไว้เพราะไม่มีใครเลยที่สามารถจะต้านทานกับภูติลั่นแสงได้

และซูเฉินเองก็ไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งไปไหนเลยด้วย แม้ว่าเค่อเหลยซีต๋าจะสูญเสียความสามารถที่จะระบุตำแหน่งของซูเฉินได้อย่างแม่นยำหลังจากที่ซูเฉินปล้นเขตแดนชั้นสูงของเมืองไปแล้ว สายสืบของหยงเยี่ยหลิวกวงก็ยังสามารถบอกตำแหน่งของชายหนุ่มได้อยู่ดี นั่นทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงค่อนข้างมั่นใจว่าเขายังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่นั่นเอง

อย่างน้อยมันก็เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งตอนนี้

ตอนที่ตระกูลจูเดินทางมาถึงและปักษาทั้งหลายก็พร้อมที่จะปล่อยกับดักออกไปแล้ว แต่จู่ ๆ ซูเฉินก็หายตัวไปเสียอย่างนั้น

เขาหายไปจากห้องนั้นอย่างไร้ร่องรอย

ซึ่งนั่นทำให้เผ่าปักษาชั้นสูงทั้งหลายรู้สึกหงุดหงิดใจเหลือเกิน

ทำไมจู่ ๆ เขาถึงหายไปเสียอย่างนั้นนะ ?

แม้กระทั่งขณะที่ถูกเค่อเหลยซีต๋าไล่ล่า หรือในตอนที่เทพอสูรบุกเข้ามาในเมือง ชายหนุ่มก็ไม่ได้พยายามที่จะหนีไปจากในสถานการณ์พวกนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้ที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว เขากลับหายตัวไป…. นี่มันตรรกะประเภทไหนกันแน่ !

และไม่ว่าเจตนาของซูเฉินจะเป็นอย่างไร หยงเยี่ยหลิวกวงก็พบว่าตัวเองกำลังจิตตกเสียแล้ว

ตามแผนเดินที่วางไว้นั้น ชุยอวี่คงเหินควรจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสมาชิกตระกูลจู ดังนั้นเมื่อตระกูลจูอยู่ในกำมือของพวกเขาแล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงก็จะสามารถคว้าคอชุยอวี่คงเหินไว้ได้นั่นเอง

ต่อให้พวกเขาจะไม่สามารถบังคับให้ซูเฉินยอมแพ้ด้วยวิธีนั้นได้ แต่อย่างน้อยการทำแบบนี้ก็น่าจะทำให้สามารถต่อรองอะไรได้บ้าง หรือก็คือจะเป็นการให้โอกาสกับหยงเยี่ยหลิวกวงในการบังคับซูเฉินและวางสถานการณ์ตามได้ตามใจ

หากเขามองว่าเรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง หยงเยี่ยหลิวกวงก็สามารถต่อรองในราคาที่สูงลิบได้ แต่หากเขามองว่ามันไม่สำคัญนัก หยงเยี่ยหลิวกวงก็สามารถกดดันตระกูลจูและทำให้พวกนั้นรู้สึกเหมือนถูกทิ้งขว้างได้อีกอยู่ดี ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว สมาชิกตระกูลจูก็อาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับซูเฉิน อย่างเรื่องของตัวตนหรือจุดอ่อนของเขาบ้างก็ได้

ไม่ว่าจะกรณีใด การมาถึงของตระกูลจูก็ทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงมีทางเลือกมากขึ้นทั้งนั้น

สิ่งเดียวที่เขายังไม่สามารถจัดการได้ในตอนนี้ก็คือการมาถึงของตระกูลจู ในขณะที่จู่ ๆ ก็ดันไม่สามารถระบุตำแหน่งของซูเฉินได้เสียอย่างนั้น

ในเมื่อไม่สามารถติดต่อกับซูเฉินได้ เขาควรทำอย่างไรต่อไปดี ?

คำตอบเพียงอย่างเดียวก็คือ แผนการของเขาจะต้องซับซ้อนขึ้นกว่านี้นั่นเอง

หากแผนล้มเหลว เขาก็จะออกคำสั่งให้กำจัดสมาชิกตระกูลจูได้ในทันที แต่แผนของเขายังไม่ล้มเหลว เพียงแค่หยงเยี่ยหลิวกวงยังไม่สามารถติดต่อกับซูเฉินได้เท่านั้น เขาไม่รู้เลยว่าหากซูเฉินได้รู้ข่าวนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร การจะสังหารพวกเขาเฉย ๆ นั้นก็ดูจะไม่เหมาะเท่าไรนัก

แต่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะบอกว่าแผนของเขาสำเร็จแล้ว

มันยังไม่ล้มเหลว แต่ก็ยังไม่สำเร็จเช่นกัน เรื่องนี้จะยังเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ต่อไป และไม่มีใครรู้ว่าควรทำอย่างไรกับมัน

“เจ้าตรวจดูรอบ ๆ แล้วด้วยใช่ไหม” หยงเยี่ยหลิวกวงถาม

“เราตรวจดูแล้ว เขาอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา แต่หลังจากเอาตัวลูกชายของเลี่ยเยี่ยนไปแล้ว เขาก็ไม่กลับมาอีกเลย” เจ้าหน้าที่ที่คอยติดตามซูเฉินรายงาน เขาเข้าใจถึงความรับผิดชอบของตัวเอง และปักษาหนุ่มก็เกรงเหลือเกินว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะเข้าใจผิดคิดว่าลูกน้องของเขาทำงานได้ไม่ดี ดังนั้นเขาจึงรับเอาความรับผิดชอบทั้งหมดในการสังเกตการณ์จินเยี่ยนมาไว้กับตัวเองเพียงคนเดียว

“ลูกชายของเลี่ยเยี่ยน……” หยงเยี่ยหลิวกวงพึมพำ “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกันไหม ?”

เค่อเหลยซีต๋าคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกไป “ชุยอวี่คงเหินอาจรู้แล้วว่ามีปักษากำลังเฝ้าดูเขาอยู่ แต่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขากล้าหาญพอที่จะอยู่ตรงนั้นต่อไปก็เพราะวิชาภูติลั่นแสงนั่น แต่เมื่อครั้งที่ข้าซักฟอกเขาก่อนหน้านี้ ข้าพบว่าวิชาที่ใช้นั้นต้องอาศัยการใช้ร่างแยกโลหิตด้วย ดังนั้นจึงมีเพียงเขาแค่คนเดียวที่ใช้มันได้ วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายสามารถพาคนอื่นไปด้วยได้ก็จริง แต่เขาก็จะสามารถเคลื่อนไปได้ไกลที่สุดเพียง 91 จั้งเท่านั้น และจะไม่มีทางหนีไปได้อย่างแน่นอน หากชุยอวี่คงเหินต้องการที่จะช่วยชีวิตลูกชายของเลี่ยเยี่ยน นั่นแปลว่าเขาก็จะไม่สามารถใช้วิชาภูติลั่นแสงเพื่อทำเช่นนั้นได้ เขาคงขุดหลุมซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งพร้อมกับเจ้านั่นเป็นแน่”

จู่ ๆ ทุกคนก็มีข้ออ้างมากมายเกี่ยวกับการหายตัวไปของซูเฉินเสียอย่างนั้น

ท่าทางของหยงเยี่ยหลิวกวงดูหม่นหมองทีเดียว “นั่นก็มีเหตุผล แต่ปัญหาก็คือเราไม่สามารติดต่อเขาได้ ดังนั้นแผนที่วางไว้ก็คงจะไม่สามารถทำได้เช่นกัน”

เค่อเหลยซีต๋าตอบกลับไป “ข้ามั่นใจว่าชุยอวี่คงเหินยังอยู่ในเมืองแน่ เขาคงกำลังคิดหาวิธีการที่จะพาลูกชายของเลี่ยเยี่ยนออกไปจากที่นี่ ในแง่หนึ่ง นั่นก็เป็นสิ่งที่ดี เขาน่ะทำอะไรด้วยความระมัดระวังเสมอ และดูเหมือนว่าเดี๋ยวนี้เจ้านั่นจะยิ่งระวังตัวมากกว่าแต่ก่อนด้วย ส่วนเรื่องการแจ้งเขาเกี่ยวกับตระกูลจู ข้าคิดว่าเราสามารถทำได้โดยไม่ต้องติดต่อกับเขาโดยตรง”

หยงเยี่ยหลิวกวงพูดขึ้น “เจ้าหมายความว่า……”

“ก็ประกาศให้ทราบโดยทั่วกันไปเลย” เค่อเหลยซีต๋ากล่าว

หากไม่สามารถหาตัวเขาพบได้ พวกเขาก็ยังประกาศเรื่องนี้สู่สาธารณะได้อยู่ดี หากซูเฉินยังอยู่ในเมืองล่องนภา ข่าวนี้ก็จะต้องไปถึงหูของเขาไม่ช้าก็เร็ว

หยงเยี่ยหลิวกวงไม่ได้เป็นคนเสนอแผนนี้เพราะเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวตนของชุยอวี่คงเหินนั้นเป็นมนุษย์จริงหรือไม่ แต่อย่างไรแล้วการประกาศต่อสาธารณะว่าเขาได้ตัวสมาชิกตระกูลจูมาแล้วนั้นก็จะต้องทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายทางการเมืองอย่างแน่นอน

เผ่ามนุษย์และเผ่าปักษานั้นไม่เคยเข้ากันได้ดีอยู่แล้ว อีกทั้งยังขัดแย้งกันในเรื่องเขตแดนอยู่บ่อย ๆ แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในระหว่างทำสงครามกัน เผ่าปักษาเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะเริ่มก่อเรื่องอยู่แล้ว เพราะพวกเขาก็เพิ่งจะผ่านการต่อสู้ที่น่าสยดสยองกับเทพอสูรมาหมาด ๆ แน่นอนว่าเผ่าปักษาก็ได้อะไรมาจากการต่อสู้นั้นอยู่บ้างเช่นกัน สงครามนั้นมีร่างไร้วิญญาณของเทพอสูรมากมาย การเปลี่ยนความมั่งคั่งให้เป็นความแข็งแกร่งนั้นอาจทำได้ แต่ก็คงต้องใช้เวลาพอสมควร

อย่างน้อยในตอนนี้ หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่ได้สนใจที่จะทำสงครามกับมนุษย์

การประกาศสู่สาธารณะว่าเขามีตระกูลจูอยู่ในมือนั้นไม่ต่างไปจากการส่งด้ามดาบให้กับมนุษย์

แต่เขาก็ไม่สามารถคิดหาวิธีการที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว

หลังจากคิดดูแล้ว หยงเยี่ยหลิวกวงก็กล่าวขึ้นในที่สุด “ทำให้มีชั้นเชิงสักหน่อยเถอะ อย่าไปบอกว่าเราจับพวกนั้นมา แค่บอกไปว่าเราเชิญตระกูลจุมาในฐานะแขก แล้วก็เชิญทูตคนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ มาด้วยโดยบอกพวกเขาว่าเราจะฉลองให้กับชัยชนะในการกำจัดเทพอสูรกัน เราจะจัดงานเลี้ยงสามวัน และไปบอก เรือนกลิ่นสวรรค์ ให้ยกระดับการบริการให้ดีขึ้นอีกหน่อย จะได้ลดโอกาสที่จะไปทำให้ฝ่ายอื่น ๆ ไม่พอใจ”

“ฝ่าบาทฉลาดยิ่งนัก” เจ้าหน้าที่ปักษาต่างกล่าวชื่นชม

แต่หยงเยี่ยหลิวกวงดูจะไม่พอใจกับสถานการณ์เท่าไรนัก การทำแบบนี้จะลดความวุ่นวายในการเคลื่อนไหวของเขาได้ก็จริง แต่มันก็หมายความว่าข่าวเรื่องตระกูลจูถูกจับก็จะแพร่กระจายไปทั่ว และหากซูเฉินได้ยินเรื่องการจัดงาน เขาอาจเมินเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้

หลังจากคิดทบทวนต่ออีกสักหน่อย หยงเยี่ยหลิวกวงก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ไม่ เราต้องทำอย่างรุนแรงสักหน่อย เราต้องทำอย่างมีชั้นเชิงมากพอที่จะทำให้ศัตรูไม่มีข้ออ้างในการโจมตีได้เลย แต่เราก็ต้องทำให้ชุยอวี่คงเหินรู้ว่าถ้าเขาไม่มา ตระกูลจูก็จะต้องรับผิดชอบ”

นี่เป็นฝันร้ายของเหล่าทูตชัด ๆ เขาจะต้องพูดอย่างไรกันเพื่อยุยงให้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องกดดันฝ่ายตรงข้ามไปพร้อม ๆ กันด้วย ความต้องการทั้งสองอย่างนี้ช่างสวนทางกันเหลือเกิน

แน่นอนว่าเขาไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่กังวลเหล่านั้นแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ปักษาตั้งใจจะทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่เพื่อสนองบัญชาของราชา

เขาทำได้เพียงแค่กัดฟันและเค้นสมองเพื่อคิดหาทางให้ได้

ภายในปราสาทแสงต้นกำเนิด

ที่เรือนกลิ่นสวรรค์

สีหน้าของจูเซียนเหยาดูหมองนัก “หมายความว่าอย่างไรกัน เราถูกเชิญมาที่นี่ แล้วตอนนี้กลับถูกปฏิบัติราวกับเป็นนักโทษเสียอย่างนั้น”

มเหสีปักษานั่งลงที่ตรงหน้านาง มเหสีนางนี้อาจมีอายุสักหน่อย แต่นางก็ยังคงสงวนท่าทีและดูสง่ายิ่งนัก

มเหสีปักษาไม่ได้ขุ่นเคืองกับคำถามของจูเซียนเหยาแต่อย่างใด นางกลับส่งยิ้มอบอุ่นและตอบกลับไปว่า “แม่นางจู ได้โปรดอย่าเข้าใจเจตนาของข้าผิดไปเลย ท่านจะเป็นนักโทษได้อย่างไรกัน ข้าเพียงหวังว่าท่านจะอยู่ที่เรือนกลิ่นสวรรค์ต่อไปได้อีกสักสองสามวัน เราจะได้ดูแลท่านต่ออีกสักหน่อยก็เท่านั้น”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอย่างนั้นนี่” จูเซียนเหยาตอบ “เรามาที่นี่เพื่อคุยกันถึงเรื่องการซื้อวัสดุพิเศษทั้งสิบสอง และจะมัวเสียเวลาไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ขอบคุณในน้ำใจของท่าน”

มเหสีได้ยิ่งดังนั้นจึงกล่าวว่า “เราคุยกันที่นี่ก็ได้ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องนี้กำลังมาที่นี่แล้ว รออีกสักสองสามวันเถิด”

จูเซียนเหยาขมวดคิ้ว “วัตถุดิบทั้งสิบสองนี้สำคัญนัก การที่พวกท่านยอมขายมันให้กับมนุษย์อย่างพวกข้าก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เราควรเดินทางตรงไปยังเมืองล่องนภาเพื่อพบกับปักษาคนสำคัญทั้งหมด จะให้รออยู่ที่ปราสาทแสงต้นกำเนิดและให้พวกเขามาหาได้อย่างไรกัน นั่นจะกลายเป็นว่าพวกข้าไม่จริงใจและเป็นการเสียมารยาทนัก”

เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ตอบกลับมา “แม่นางจู ท่านคิดมากเกินไปแล้ว การที่พวกข้าเชิญท่านมาที่นี่เพื่อพูดคุยกันเรื่องการซื้อขายวัตถุดิบทั้งสิบสองน่ะเป็นการแสดงความจริงใจของฝ่ายเรา แล้วข้าจะคิดว่าพวกท่านไม่จริงใจเพราะไม่ได้เดินทางไปยังเมืองล่องนภาได้อย่างไรกัน อย่างไรแล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่ทางข้าร้องขอเอง แต่หากนายหญิงไม่ยินดีที่จะอยู่ที่เรือนกลิ่นสวรรค์ พวกข้าคงอับอายนัก ถ้าเช่นนั้นแล้วแปลว่าพวกข้าไม่ควรค่าที่จะดูแลนายหญิงหรือ ? หรือว่านายหญิงต้องการพบใครที่เมืองล่องนภาหรือเปล่า”

เมื่อจูเซียนเหยาได้ยินดังนั้น นางก็ดูใจเย็นและตอบกลับไปด้วยเสียงที่แผ่วลงว่า “ในเมื่อท่านให้การต้อนรับเช่นนี้ การที่ข้ายืนยันที่จะไปก็คงจะเสียมารยาทนัก”

ฝ่ายมเหสีปักษาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้าง “ยินดีเหลือเกินที่ท่านเข้าใจ”

“แต่ต่อให้พวกข้าไปเมืองล่องนภาไม่ได้ อย่างน้อยข้าก็ออกไปเดินชมรอบปราสาทแสงต้นกำเนิดได้ใช่ไหม” จูเซียนเหยาถามขึ้น

“เรื่องนี้…” เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์พบกับคำถามที่ทำให้นางต้องลำบากใจเสียแล้ว

คำสั่งแรกของหยงเยี่ยหลิวกวงก็คือให้กักตัวสมาชิกตระกูลจูไว้ภายในเรือนกลิ่นสวรรค์ และไม่อนุญาตให้พวกเขาออกไปไหนเลย

แต่ถึงอย่างนั้นคำสั่งรองลงมาก็คือการระวังไม่ให้ตระกูลจูต้องไม่พอใจ

คำสั่งพวกนี้ทำให้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ต้องลำบากใจมากทีเดียว นางทั้งต้องคอยดูแลให้ตระกูลจูอยู่แต่ภายในและคอยติดตามไม่ให้ออกไปไหน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่าย

เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ก็ตกที่นั่งลำบากไม่ต่างไปจากเจ้าหน้าที่ปักษาคนนั้นเลย

แต่อย่างไรแล้วนี่ก็คือโลกแห่งความเป็นจริง แม้แต่ผู้นำที่ฉลาดที่สุดก็ยังต้องมอบหมายงานที่เป็นไปไม่ได้ให้กับผู้ตามอยู่แล้ว

เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ สาเหตุหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพวกเขาเคยชินกับการที่ทุกคนต่างฟังคำสั่งของตัวเอง และไม่ทันได้คิดถึงความซับซ้อนและสิ่งที่จำเป็นในการทำภารกิจตามคำสั่งพวกนั้น และเหตุนี้ก็ยังทำให้พวกเขามักเลือกลูกน้องที่มีความสามารถและมีไหวพริบที่สุดเพื่อมารับใช้ตนเอง หากเหล่าลูกสมุนทั้งหลายสามารถทำงานได้สำเร็จ นั่นก็เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความสามารถได้เป็นอย่างดีทีเดียว

ระบบเช่นนี้จึงทำให้ผู้น้อยหลายคนเคยชินกับการรับและทำตามคำสั่งที่ยากยิ่งนัก เพราะมันเป็นเหมือนโอกาสที่พวกเขาจะได้แสดงความสามารถ และยังเป็นการทดสอบ ‘ความยืดหยุ่น’ ไปในตัวอีกด้วย

และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ก็เข้าข่ายสถานการณ์และระบบที่ว่าเช่นเดียวกัน

เมื่อนางเห็นว่าสีหน้าของจูเซียนเหยาเริ่มจะเปลี่ยนไป มเหสีก็รีบคิดและตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ปราสาทแสงต้นกำเนิดเพิ่งจะเปลี่ยนผู้คุ้มกันเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นสามในสี่ของเขตแดนจึงอยู่ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวด แต่ท่านสามารถเดินชมทางฝั่งตะวันออกของปราสาทได้ตามสบาย”

“ฝั่งตะวันออกหรือ ?”

“ถูกต้อง ฝั่งตะวันออกเรียกได้ว่าแทบจะเป็นของเรือนกลิ่นสวรรค์ทั้งหมด”

ในเมื่อฝ่าบาทไม่ต้องการให้พวกเขาออกไปจากเรือนกลิ่นสวรรค์ ดังนั้นการขยายอิทธิพลไปยังเขตฝั่งตะวันออกของปราสาทแสงต้นกำเนิดเป็นการชั่วคราวจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

สิ่งนี้เองที่เรียกว่า ‘ความยืดหยุ่น’