ภาคที่ 5 บทที่ 165 งานเลี้ยง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 165 งานเลี้ยง

“ต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเขาแน่ ๆ”

เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้คุ้มกันอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จูเซียนเหยาก็ตรึกตรองและกล่าวขึ้นโดยไม่เอ่ยชื่อของซูเฉินออกมา

ที่ข้าง ๆ นางมีกลุ่มควันก้อนหนึ่งล่องลอยอยู่อย่างไรจุดหมาย มันคือเจ้าอสูรกายลูกสมุนของซูเฉินที่ชื่อว่า เงามรณะ นั่นเอง

เจ้าอสูรกายถูกสั่งให้ติดตามจูเซียนเหยา และดูแลความปลอดภัยให้นางขณะที่ซูเฉินออกสำรวจเขตแดนของเผ่าปักษา

“ด้วยวิธีการในแบบของนายท่านแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าจะไม่แปลกใจเลย” เงามรณะตอบกลับมา

“ปัญหาก็คือ เราไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาทำอะไรบ้าง หรือพวกเผ่าปักษารู้ถึงความสัมพันธ์ของเรามากน้อยแค่ไหน” จูเซียนเหยากล่าวขณะเดินวนไปมารอบห้อง และพยายามจะคิดทบทวนถึงสีหน้าท่าทางของมเหสีปักษาเมื่อตอนที่นางขอให้ตระกูลจูอยู่ที่นี่ต่อนานขึ้นอีกหน่อย

“แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ดูเหมือนว่าอย่างน้อยพวกนั้นก็จะรู้ความจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรากับเขาแล้ว และมันคือสาเหตุที่เราถูกกักตัวไว้ที่นี่” เงามรณะตอบ

“แต่พวกนั้นก็ยังไม่ได้ใช้วิธีการรุนแรงใด ๆ กับเรา …มันเป็นเพราะพวกเขายังไม่แน่ใจหรือเปล่า ?” จูเซียนเหยาถาม

“หรืออาจเป็นเพราะพวกปักษายังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้” เงามรณะตอบอีกครั้ง

เงามรณะส่ายหน้าก่อนจะกล่าวต่อไป “ข้าก็ไม่รู้สิ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองล่องนภาบ้าง”

นี่เป็นเพียงขีดจำกัดในด้านของช่วงเวลาเท่านั้น พวกเขาขาดการติดต่อสื่อสารเพราะระยะทางที่ห่างไกล และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ทั้งหลายที่สร้างสิ่งกีดขวางขึ้นเพื่อป้องกันการส่งข้อมูลผ่านอาณาเขตของตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเป็นการยากนักที่ข่าวคราวจะถูกกระจายต่อไปไกลกว่าอาณาเขตของดินแดนแห่งหนึ่ง แม้แต่การรุกรานของเทพอสูรในเมืองล่องนภาก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางนัก

“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ การที่เราถูกเชิญมาที่นี่ในคืนนี้ก็จะต้องเกี่ยวข้องกับเขาด้วยแน่ ดูเหมือนว่าพวกปักษาวางแผนใช้พวกเราเพื่อตกลงกับเขา” จูเซียนเหยารู้แล้วว่านี่คือกับดักที่เผ่าปักษาคิดจะใช้กับซูเฉิน

แต่ดูเหมือนว่ากับดักนี้จะยังไม่ทำงาน

เรื่องนี้ทำให้นางสับสนอยู่เหมือนกัน ในเมื่อชาวปักษาหลอกนางให้มาที่นี่ได้ แล้วทำไมไม่จับตัวนางไว้อย่างเปิดเผยไปเลยล่ะ มาทำหลบ ๆ ซ่อน ๆ และมีเงื่อนงำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน ?

แน่นอนว่า จูเซียนเหยาไม่รู้ว่าในเมืองล่องนภานั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังออกตามหาตัวซูเฉินอยู่ ตัวประกันของพวกเขามาถึงแล้ว แต่แล้วเป้าหมายตัวร้ายกลับหายตัวไปเสียเฉย ๆ ช่างน่าปวดหัวสำหรับชาวเมืองล่องนภาจริง ๆ

จูเซียนเหยาไม่มีทางคาดคิดถึงเรื่องแบบนี้ได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน แต่นางก็เข้าใจว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไรและจึงตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ไม่ว่าอย่างไร เราก็จะต้องหาทางหนีออกไปจากสถานการณ์นี้ให้ได้ก่อน ข้าไม่มีทางยอมให้เผ่าปักษาใช้ข้าเป็นเครื่องมือในแผนร้ายที่คิดจะใช้จัดการกับซู… กับเขาหรอก”

“แล้วท่านคิดจะทำอย่างไรหรือนายหญิง ?” เงามรณะถาม

จูเซียนเหยาเดินวนไปมาอย่างครุ่นคิด “เราติดต่อกับเขาโดยตรงไม่ได้ พวกปักษาน่ะคิดว่านั่นคือสิ่งที่เราจะทำอย่างแน่นอน”

ซูเฉินทิ้งช่องทางการสื่อสารไว้ให้กับจูเซียนเหยาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นนางก็มั่นใจว่าเผ่าปักษาคงจะคาดเดาหรือรู้ถึงวิธีการเหล่านั้นได้แล้วเป็นแน่แท้ และการทำแบบนั้นอาจเข้าทางกับสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้

“คงเป็นเช่นนั้น” เงามรณะเห็นด้วย

“ปัญหาในตอนนี้ก็คือเราไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับพวกปักษา หรือความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายนั้นแตกหักลงหรือยัง สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราในตอนนี้คือต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นเราถึงจะคิดหาวิธีที่จะลงมือต่อไปจากนี้ได้” จูเซียนเหยากล่าว นางหลักแหลมทีเดียวที่ตัดสินใจไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม อีกทั้งยังเลือกที่จะรวบรวมข้อมูลให้ได้เสียก่อนจะลงมือ

นางต้องรู้สถานการณ์ให้แน่ชัดก่อนเท่านั้นจึงจะพิจารณาได้ว่าควรตัดสินใจไปในทิศทางใด ไม่เช่นนั้นแล้วการตอบสนองฝ่ายตรงข้ามกลับไปอย่างไม่มีมารยาทนักนั้นอาจเป็นการต่อต้านพวกเขาก็ได้

“แต่เราอยู่ในปราสาทแสงต้นกำเนิด ยากนักที่จะรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองล่องนภา” เงามรณะชี้ให้เห็น

จูเซียนเหยาหัวเราะเยือกเย็นและกล่าวตอบกลับไป “ถ้าพวกนั้นไม่กล้าให้เราเข้าไปในเมืองล่องนภา แสดงว่าเขาคงสร้างปัญหาเอาไว้พอสมควร ข้ารู้สึกแปลก ๆ กับที่นี่ตั้งแต่มาถึงแล้ว ตั้งแต่ที่ราคาของวัตถุธรรมดา ๆ พวกนั้นพุ่งสูงขึ้นอย่างประหลาดแล้วละ เพราะฉะนั้นข้าพนันเลยว่าในปราสาทแสงต้นกำเนิดนี่ต้องมีปักษาหลายคนเลยที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองล่องนภา”

“แต่พวกนั้นไม่บอกเรา”

จูเซียนเหยาเลิกคิ้ว “เจ้าลืมทักษะของข้าไปแล้วหรือ ?”

สายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ของนางทำให้จูเซียนเหยาสามารถสะกดจิตคนอื่นได้ แม้กระทั่งเผ่าปักษาก็ไม่เว้น เขตแดนฝั่งตะวันออกของเมืองที่ถูกแบ่งไว้โดยเรือนกลิ่นสวรรค์นั้นเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการล่าเหยื่อของจูเซียนเหยาอย่างยิ่ง

เมื่อใดก็ตามที่เหล่าลูกสมุนทั้งหลายพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เมื่อนั้นก็จะต้องมีความเป็นไปได้ที่สถานการณ์นั้นจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่คาดคิดเสมอ

ที่ในเมืองล่องนภา ณ บริเวณเขตแดนชั้นสูง

พื้นที่บริเวณนี้ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหน้าหลังจากการปล้นของซูเฉิน ผู้คุ้มกันบินลาดตระเวนไปทั่วในเขตนี้ ซึ่งในนั้นยังมีนักแม่นปืนและปรมาจารย์อาร์คาน่าปะปนอยู่ได้

พวกเขาตรวจสอบทุกคนที่เข้าออกพื้นที่ในบริเวณนั้นอย่างละเอียด

“พวกนั้นก็แค่ระแวง” ตาแก่ไม่เอ่อร์บ่นอุบกับปักษาผู้คุ้มกันที่รับผิดชอบพื้นที่ส่วนนั้นขณะที่ก้าวออกไปจากร้านค้าของตัวเอง

“ข้าขอโทษ ท่านไม่เอ่อร์ นี่เป็นฎีกาจากเบื้องบน ถึงข้าจะรู้ว่าท่านไม่ใช้ผู้ร้าย แต่ข้าก็ต้องทำตามหน้าที่ หวังว่าท่านจะเข้าใจ”

หลังจากเกิดเหตุสลดขึ้นในอดีต ทุกเผ่าพันธุ์ที่มีหน้าที่ในการทำงานฝีมือและศิลปะอุตสาหกรรมก็ได้รับการปฏิบัติจากเผ่าปักษาด้วยความเคารพ

โดยเฉพาะเผ่าช่างฝีมือที่มีสถานะเป็นเจ้าพ่อทั้งหลาย

“ข้าเข้าใจ แต่กรุณารีบหน่อยเถอะ ครอบครัวข้ารออยู่ที่บ้าน พวกเขารอให้ข้าเอาอาหารกลับไป”

“แน่นอน” ผู้คุ้มกันรีบตรวจสอบของ ของไม่เอ่อร์ ที่เป็นเพียงอาหารทั่ว ๆ ไปเท่านั้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรที่ผิดแปลกไปจากปกติ เขาจึงปล่อยให้ชายชราผ่านไป

ไม่เอ่อร์นำสิ่งของธรรมดา ๆ เหล่านั้นกลับบ้านไปพร้อมกับเขา

“จี๋จี๋ หลายเค่อซือ พวกเจ้าเป็นอะไรไหม ?”

เด็กน้อยเผ่าช่างฝีมือสองคนวิ่งออกมาจากประตู เป็นเด็กชายหนึ่งคน และเด็กหญิงหนึ่งคน ทั้งสองมีร่างที่สั้นม่อต้อและสีผิวที่ค่อนข้างคล้ำ แต่ดวงตาของเด็กทั้งคู่ต่างฉายแววความฉลาดเฉลียวและดูสดใสยิ่งนัก

เมื่อทั้งสองเห็นไม่เอ่อร์ก็รีบวิ่งตรงเข้ามากอดและร้องขึ้น “ท่านพ่อ ท่านพ่อ !”

“ท่านพ่อ ท่านหาเบอร์รี่ลู่ลู่มาให้ข้าหรือเปล่า”

“แล้วข้าล่ะ ข้าล่ะ……”

เด็ก ๆ วุ่นวายกันใหญ่เมื่อเห็นผู้เป็นพ่อกลับมา

“เอาละ ๆ แน่อยู่แล้วสิ” สายตาที่ไม่เอ่อร์มองดูลูก ๆ นั้นราวกับว่าเขากำลังมองไปยังสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

ชายชราเหลือบมองเข้าไปในบ้าน ที่ด้านในนั้น ลี่ลี่ ภรรยาของเขากำลังพูดคุยอยู่กับช่างฝีมือหนุ่มอีกสองคน ทั้งสามนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะ และชายทั้งสองกำลังช่วยลี่ลี่ปอกถั่ว

“ไม่เอ่อร์เคยต่างไปจากตอนนี้มาก เขาเชื่อมั่นในอนาคตยิ่งนัก และทำทุกอย่างด้วยความชอบ แต่เดี๋ยวนี้ครอบครัวของเขากลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาไปแล้วละ…….”

“ท่านไม่เอ่อร์เพิ่งตัดสินใจได้ว่าสิ่งที่ตัวเองรู้สึกนั้นถูกต้องแล้ว อันที่จริงท่านเองก็ยินดีกับสิ่งที่เขาเลือกเหมือนกันใช่ไหม ท่านแค่ไม่อยากเป็นภาระของเขา มันทำให้หัวใจของท่านเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด”

“โดยเฉพาะตอนนี้ ท่านยิ่งรู้สึกว่าท่านกำลังกลายเป็นภาระของท่านไม่เอ่อร์อีกครั้ง”

“แต่ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกเช่นนั้นหรอก การเสียสละของชายคนหนึ่งเพื่อครอบครัวน่ะเป็นเกียรติแก่เขา ครอบครัวเป็นแหล่งที่มาแห่งความสุขทั้งปวง และท่านไม่เอ่อร์ก็ฉลาดนักที่มองออกเช่นนี้”

“ขอบใจ ได้ยินอย่างนี้ข้าก็รู้สึกดีขึ้น” ลี่ลี่กล่าวด้วยความขอบคุณ

นางไม่รู้ว่าแขกผู้มาเยือนทั้งสองนั้นเป็นใคร และนางก็เชื่อว่าพวกเขาเป็นวงศาคณาญาติของสามี จึงทำให้พูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เมื่อไม่เอ่อร์เห็นท่าทางยินดีของภรรยา เขาก็ถอนใจและเดินเข้ามา “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเข้ากันได้ดีทีเดียวนะ”

“แน่อยู่แล้ว ท่านไม่เอ่อร์ แม่นางลี่ลี่เป็นหญิงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ท่านโชคดีนักที่ได้เป็นสามีของนาง” ช่างฝีมือหนุ่มที่ดูจะมีรูปร่างสูงกว่ากล่าวกับไม่เอ่อร์พร้อมส่งยิ้มให้ชายชราอย่างเป็นมิตร

“แน่นอนอยู่แล้ว” ไม่เอ่อร์ส่งอาหารให้กับภรรยา ลี่ลี่รับอาหารนั้นไปและจุมพิตผู้เป็นสามีอย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินเข้าไปในครัว

“พวกเจ้าไปเล่นที่ตรงโน้นก่อน” ไม่เอ่อร์บอกให้เด็ก ๆ ออกไปจากบริเวณนั้นด้วยเช่นกัน

จากนั้นชายชราก็โน้มตัวเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง เขากล่าวกับแขกทั้งสอง “ผู้คุ้มกันข้างนอกนั่นเข้มงวดทีเดียว พวกนั้นกำลังค้นหาพวกเจ้าสองคน กันให้วุ่นวายเลย”

ช่างฝีมือที่ตัวสูงกว่าคนเดิมตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ารู้แล้วแหละน่า”

แน่นอนว่าชายคนนี้ก็คือซูเฉินนั่นเอง

เผ่าปักษากำลังค้นหาตัวซูเฉินและเพื่อร่วมทางคนใหม่ของเขากันอย่างขันแข็ง แต่ไม่มีใครเลยที่จะรู้ได้เลยว่าทั้งคู่ได้กลายร่างเป็นเผ่าช่างฝีมือและซ่อนตัวอยู่ในบ้านของช่างฝีมือคนหนึ่ง

ไม่เอ่อร์กล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนรน “อย่าทำร้ายพวกเขา เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่อย่าทำอะไรพวกนั้น”

“อย่าขวัญอ่อนนักไม่เอ่อร์ ข้าบอกแล้วว่าพวกเราจะอยู่ที่นี่ไม่กี่วันเท่านั้น และในระหว่างนี้ก็อาจจะเรียนรู้ทักษะเกี่ยวกับโครงสร้างของพวกหุ่นเชิดไปด้วย” ซูเฉินตอบพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ขณะเดียวกันนั้นเขาก็ยังคงปอกเปลือกถั่วในมือต่อไปอย่างเฉยเมยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใครก็ตามที่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะต้องเชื่อว่าชายหนุ่มเป็นช่างฝีมือจริง ๆ อย่างแน่นอน

เมื่อไม่เอ่อร์ได้ยินซูเฉินตอบดังนั้น เขาก็ได้แต่ยอมแพ้และถอนใจอย่างสิ้นหวัง

เขาทำได้เพียงยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายเท่านั้น

ชายชราไม่เอ่อร์นำอาหารกลับมาเผื่อด้วยจำนวนหนึ่ง ซึ่งลี่ลี่ได้นำไปปรุงเป็นมื้อเย็นที่น่าอร่อยเรียบร้อยแล้ว

ระหว่างอาหารเย็นนั้น ซูเฉินพูดคุยกับครอบครัวของไม่เอ่อร์ด้วยความสนุกสนาน เขาศึกษามาหลายสิ่งและเดินทางมาแล้วมากมาย ดังนั้นลี่ลี่กับเด็ก ๆ จึงสนิทสนมกับชายหนุ่มได้อย่างรวดเร็ว

“ทัวเป้ย มนุษย์เชื่อในบรรพบุรุษมากกว่าเทพเจ้าจริง ๆ หรือ ?” หลายเค่อซือตัวน้อยถามขึ้น และ ‘ทัวเป้ย’ ก็คือชื่อของซูเฉินที่เขาเลือกใช้ขณะปลอมตัวเป็นช่างฝีมือนั่นเอง

“ถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือพวกมนุษย์มีความเชื่อต่อเทพเจ้าที่ต่างไปจากเจ้า… ข้าหมายถึง พวกเราน่ะ พวกมนุษย์เชื่อว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง แต่ก็เชื่อเช่นกันว่าเทพเจ้าไม่สามารถควบคุมชีวิตพวกเขาได้ หากเทพเจ้าทำให้พวกเขาไม่มีความสุข เทพเจ้าก็ไม่ใช่เทพเจ้าอีกต่อไป และจะถูกมองว่าเป็นมารร้ายแทน ในทางตรงกันข้าม บรรพบุรุษน่ะเป็นผู้ให้กำเนิดพวกเขามาและสร้างเผ่าของพวกมนุษย์ขึ้น คนเหล่านั้นคือคนที่ควรแก่การศึกษาและเอาเยี่ยงอย่าง อีกอย่าง สายเลือดของพวกมนุษย์ก็ยังถูกส่งต่อกันมาผ่านทางบรรพบุรุษด้วย” ซูเฉินอธิบายอย่างใจเย็น

“พระแม่ผู้สูงส่ง ช่างเป็นความคิดที่หมิ่นท่านยิ่งนัก” ลี่ลี่พึมพำพร้อมกับกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ ด้วยความกระอักกระอ่วนใจ

“ท่านพูดถูก” ซูเฉินเห็นด้วยและยิ้มตอบด้วยความเคารพ “แต่ก็ยังมีมนุษย์อยู่จำนวนหนึ่งที่เชื่อในเทพเจ้ามากกว่าบรรพบุรุษของพวกเขา พวกนั้นก็แค่ไม่เหมือนใครเขาเท่านั้นเอง”

“ปัญหาก็คือพลังของสายเลือดมนุษย์นั้นมาจากอสูร ดังนั้นในแง่หนึ่ง บรรพบุรุษของพวกเขาก็นับถือพวกอสูร ถูกไหม ?” จินเยี่ยนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พลันกล่าวขึ้น

เมื่อซูเฉิน ไม่เอ่อร์ และลี่ลี่ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็หันไปมองชายหนุ่มเป็นตาเดียวด้วยความประหลาดใจ

ซูเฉินถามขึ้น “พ่อเจ้าสอนมาแบบนั้นหรือ ?”

“ใช่ ไม่คิดว่ามันมีเหตุผลอยู่เหมือนกันหรือ ?” จินเยี่ยนกล่าวท่าทางพอใจ

เขาใช้โอกาสนี้การยั่วโมโหซูเฉิน

ชายคนนี้ไม่กลัวตายเอาเสียเลย

ทว่าซูเฉินกลับไม่ได้ดูเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด เขากลับยิ้มตอบและกล่าวว่า “สายเลือดมนุษย์น่ะมาจากอสูรจริง แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็พัฒนาไปเหนือกว่าสิ่งที่สายเลือดบริสุทธิ์จะทำได้เสียอีก พลังของสายเลือดนั้นทำหน้าที่เป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น การพัฒนาและดัดแปลงนำไปใช้ล้วนเป็นของมนุษย์ทั้งสิ้น พลังของอสูรน่ะถูกหยิบยืมมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยด้วยซ้ำ เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าตอนนี้มนุษย์สามารถใช้วิชาสายเลือดได้โดยไม่ต้องมีสายเลือดอสูรแล้ว อีกอย่าง นอกจากความเชื่อในบรรพบุรุษจะมอบพลังให้แก่พวกเขาแล้ว ยังก็ทำให้มีพิธีกรรมและข้อกำหนดต่าง ๆ ที่จำกัดการกระทำของพวกมนุษย์ด้วย นี่น่ะเป็นสิ่งที่แตกต่างระหว่างมนุษย์กับอสูร อสูรอาจมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวมากขึ้นก็จริง แต่พวกนั้นไม่มีทางสร้างพื้นฐานที่จะเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อัจฉริยะได้อย่างแน่นอน”