ภาคที่ 5 บทที่ 166 ลอบสังหาร

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 166 ลอบสังหาร

หลังถูกซูเฉินสั่งสอนแล้ว จินเยี่ยนก็คิดวางมือ แม้จะหยิ่งยโส แต่ก็ไม่ใช่ว่าโง่ ดังนั้นจึงไม่คิดยั่วยุซูเฉินอีก

หลังข้าวเย็น ลี่หลี่พาเด็ก ๆ เข้าห้องพร้อมกับจุดไฟและเล่านิทานให้ฟัง ส่วนพวกผู้ชายยังนั่งคุยกันอยู่

ครั้งนี้คุยกันเรื่องที่เผ่าช่างฝีมือชอบที่สุด เรื่องการประดิษฐ์และการสร้างของ

ไม่เอ่อร์เป็นปรมาจารย์หุ่นเชิด เลื่องชื่อแม้ในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ลงหลักปักฐานอยู่ในเขตฐานะสูงของเมืองเช่นนี้ได้

ซูเฉินไม่ได้ศึกษาเรื่องหุ่นเชิดมามาก แต่หลังจากได้สมองผลึกแก้วมา ความจำและความสามารถในการคำนวณก็พุ่งสูง การเรียนรู้เรื่องหุ่นเชิดและการสร้างมันขึ้นมาไม่ยากอีกต่อไป เพียงแต่เขาไม่เคยใส่ใจเท่านั้น

แต่ครั้งนี้เขามีพิมพ์เขียวจากโรงสรรพาวุธเฉินปิง ทำให้อยากรู้เรื่องการสร้างหุ่นขึ้นมา เมื่อพูดถึงมันเมื่อไหร่ก็ไร้ความลังเลอีก

“เช่นนั้น โลหะคุกนิลกาฬก็นับเป็นวัสดุก่อสร้างชั้นยอด ไม่ใช่เพียงเรื่องความสามารถในการป้องกัน แต่เพราะความที่ดัดได้ด้วยหรือ ? บ้าจริง ข้าคิดว่าของทนทานเช่นนี้จะใช้ยากเสียอีก”

“ปกติก็ยาก หากใช้พลังต้นกำเนิดน่ะนะ เผ่าพันธุ์อัจฉริยะใช้วิธีนี้เยอะเกินไป ไม่สนใจวิธีอื่นที่ยังผลเหมือนกันบ้างเลย บางครั้งมีประสิทธิภาพดีกว่าด้วยซ้ำ แท่นตีอาวุธปรับสมดุลเป็นอาจารย์ข้าสร้างขึ้น แม้จะใช้เพียงโลหะพิเศษสร้างอาวุธชิ้นเล็ก ๆ แต่พอใช้ร่วมกับโลหะคุกนิลกาฬก็ยังผลดีมาก”

“ใช่เหมือนตัวประกอบสามส่วนที่บนหัวมีรูใหญ่นั่นหรือเปล่า ?”

“ไม่ใช่หรอก ก็แค่แท่นหลายเหลี่ยมหน้าตาประหลาดเท่านั้น หากมองดี ๆ แล้วก็จะให้ความรู้สึกอยากขัดมันให้เรียบน่ะนะ”

“อ้อ ข้าจำได้ ตอนปล้นโรงสรรพาวุธเฉินปิงก็คิดอยู่ว่าใครกันสร้างของหน้าตาประหลาดนัก แล้วใช้ทำอะไร…… ตอนนี้มาคิดดูน่าจะเอามาด้วย” ซูเฉินเอ่ยเสียงเศร้า

ซูเฉินไม่ใช่เผ่าช่างฝีมือ จึงไม่รู้ว่าตนเองพลาดอะไรไปจนถึงตอนนี้

เขาเอาพิมพ์เขียวมา แต่กลับลืมเครื่องมือที่ใช้ประกอบหุ่นเชิดยักษ์เสียอย่างนั้น แม้จะยังสามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่ไร้เครื่องมือก็ยากเป็นแน่ อีกทั้งจากที่ไม่เอ่อร์บอก ดูเหมือนว่าปริมาณงานจะมากขึ้นอย่างมากทีเดียว

หลังรู้แล้ว เขาก็เสียดายที่ไม่ได้ขนทุกอย่างในโรงสรรพาวุธเฉินปิงกลับมาด้วย นับว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงเรื่องเห็นอะไรหยิบกลับหมดของเขานัก ซูเฉินจึงสรุปว่าความไม่รู้เป็นปัญหา ครั้งหน้าจะชิงอะไรย่อมต้องหาความรู้ให้มากสักหน่อย

ไม่เอ่อร์กับภรรยาต่างรู้สึกตะลึงกับความอยากเรียนรู้ของซูเฉิน

ซูเฉินไม่ทำให้ไม่เอ่อร์ลำบากใจด้วยการบังคับให้ชิงของจากโรงสรรพาวุธเฉินปิงหรืออะไรทำนองนั้นเลย เขาเพียงคุยเรื่องการสร้างหุ่นเชิดและเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อเท่านั้น

ไม่เอ่อร์เป็นอาจารย์ที่ดี หาได้ยากที่จะพบคนที่อยากเรียนรู้จากเขามากเช่นนี้ แม้จะรู้ว่าไม่ควรบอกกล่าวอะไรต่อศัตรูของเผ่าปักษาผู้นี้มาก แต่ก็ไม่อาจอดใจสอนอีกฝ่ายได้

ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจตรงกัน ทั้งคืนเอาแต่คุยกันอย่างออกรส ซูเฉินกลับเป็นคนที่ขอตัวไปพักผ่อนก่อน ทำให้ไม่เอ่อร์ต้องกลับไปนอนอย่างไม่เต็มใจ

ถึงตอนนี้ จินเยี่ยนก็ลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว

“ตั้งใจจะใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไปจริง ๆ หรือ ?” จินเยี่ยนถามเสียงจนใจ

“มันก็ดีไม่ใช่หรือ ?” ซูเฉินตอบเสียงกลั้วหัวเราะ “เผ่าช่างฝีมือมีฐานะค่อนข้างสูงในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ เผ่าปักษาคงไม่บุกเข้ามาหรอก”

“แล้วหลังจากนี้ล่ะ ?”

“หลังจากนี้ ? ค่อยไปทีละขั้นเถอะ ตอนนี้ข้ายังไม่ได้วางแผนเรื่องอนาคต” ซูเฉินตอบอย่างขอไปที

จินเยี่ยนเห็นซูเฉินทำสบาย ๆ ก็แทบคลั่ง “คิดว่ายังสร้างปัญหาไม่พออีกหรือ ? แรกเลยก็ปล้นนิกายแห่งพระแม่ แล้วก็ปล้นเขตพวกคนชั้นสูง สุดท้ายเป็นโรงสรรพาวุธเฉินปิง เจ้าคิดจะทำอะไรอีก ? ลอบสังหารปักษาชั้นสูงเรอะ ?”

เขาเพียงเอ่ยขึ้นไม่คิดอะไร แต่ไม่คิดว่าซูเฉินจะตาเป็นประกายขึ้นมา “ลอบสังหาร… อืม ทำไมคิดไม่ถึงกันนะ ? ปล้นมาก็หลายที่ ถึงเวลาลอบสังหารบ้างแล้วสิ ดี ดียิ่ง ข้าชอบความคิดนั่นนะ”

นี่ข้าทำอะไรลงไปเนี่ย ? จินเยี่ยนอึ้งไป

ณ คุกลอยฟ้า

เสินอวี่เชียนจือเดินออกจากประตูใหญ่พลางถอนหายใจ นวดแขนตนที่ปวดไปหมดจากการเขียน

“นายท่านจะกลับแล้วหรือขอรับ ?” ทหารปักษานายหนึ่งก้าวขึ้นมา

“อืม กลับกัน สามวันมานี้เราทำงานกันหนัก ข้าจะเป็นลมอยู่แล้ว” เสินอวี่เชียนจือตอบ

เพิ่งจบศึกกับเทพอสูรไป จึงมีเรื่องต้องจัดการหลายอย่าง ชุยอวี่คงเหินยังคอยสร้างปัญหาเช่นนี้ เจ้าหน้าที่เมืองล่องนภาจึงไม่ได้พักผ่อนเลย เสินอวี่เชียนจือมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยภายในเมือง ดังนั้นจึงกดดันมาก ไม่ได้กลับบ้านมา 3 วันแล้ว

โชคดีที่ตอนนี้จัดการไปได้มากแล้ว เมื่อรู้สึกล้า เสินอวี่เชียนจือก็มีแต่อยากจะกลับบ้าน

เขาก้าวขึ้นรถที่มุ่งหน้ากลับบ้านตน

เสินอวี่เชียนจือนั่งอยู่ภายใน อ่านหนังสือตนไปเงียบ ๆ

“วันนี้เหมือนจะอารมณ์ดีนะขอรับ” ทหารที่ขับรถม้าเอ่ยขึ้น

“ก็สบายดี หลายวันมานี้เราทำงานหนัก แต่เพิ่งได้เบาะแสเมื่อวันก่อนนี่เอง” เสินอวี่เชียนจือตอบไม่คิดอะไร

“อ้อ ? เป็นเรื่องชุยอวี่คงเหินหรือขอรับ ?”

“อือ” เสินอวี่เชียนจืองึมงำ

“เล่าได้ไหมขอรับ ?” คนขับถามอีก

เสินอวี่เชียนจือขบขันกับคำถามใจกล้าของนายทหารนัก “เจ้ามาสนใจเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? แต่ก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว”

ในตอนนี้ไร้ความจำเป็นจะเก็บเป็นความลับ เสินอวี่เชียนจือจึงเอ่ยเสียงเรียบขึ้น “ข้าว่าชุยอวี่คงเหินผู้นี้เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นมนุษย์ซูเฉิน”

“ซูเฉิน ?”

“ใช่ ถึงเจ้าไม่รู้จัก แต่คนผู้นี้มีชื่อในหมู่มนุษย์มาก ถึงกับเรียกว่าปราชญ์ชาญโลก เขากับอาจารย์สามารถพัฒนาระบบการบ่มเพาะพลังของมนุษย์ให้แกร่งขึ้นนับร้อยเท่า ตอนนี้พวกมนุษย์ทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดได้แล้ว ทำให้เผ่ามนุษย์ทั้งหมดแกร่งขึ้นมาก”

“เป็นเขานี่เอง แล้วทำไมท่านถึงสงสัยว่าเป็นเขาที่ลอบเข้ามาล่ะขอรับ ?”

“เพราะแต่ก่อนเขาก็ทำเช่นนี้” เสินอวี่เชียนจือจอบเสียงกรรโชก “เขาเป็นคนที่ใช้ภาพมายาสร้างความปั่นป่วนให้พวกคนเถื่อน ลวงอสูรให้โจมตีพวกนั้น เกิดเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวง”

อธิบายเรื่องซูเฉินจบ เสินอวี่เชียนจือก็หยุดเล็กน้อย “ชุยอวี่คงเหินจะไปไหนในเมืองล่องนภาก็ได้ ไม่ใช่เพราะมีวิชาเคลื่อนกายเพียงอย่างเดียว แต่เพราะมีวิชามายาหลากหลายด้วย”

“แต่มีมนุษย์ตั้งหลายคนที่เก่งวิชามายานะขอรับ”

“ก็จริง แต่เพื่อให้เข้าใจโดยแท้ ต้องเล่าเรื่องเมื่อ 2 ปีก่อนให้ฟังก่อน”

“2 ปีก่อน ?”

“ใช่ 2 ปีก่อน มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในหอคอยแห่งความโกลาหล ปักษาผู้หนึ่งแอบเข้าไปในศูนย์ควบคุมได้โดยไร้การตรวจจับ ฉวยโอกาสชิงเอาความลับในหอคอยออกมาหลายอย่าง เราค้นหาจนทั่ว แต่ปักษาที่เรียกตนว่าเหอหยางกลับหายไปเสียเฉย ๆ ปักษาลึกลับนั่นมีลักษณะดังนี้ อย่างแรก วิชามายาขั้นสูง หากไร้แสงสัจธรรมก็คงไม่มีใครมองออก สอง ต้องเก่งวิชาเคลื่อนกายเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ผ่านด่านป้องกันของหอคอยมาง่ายเช่นนี้ สาม ตระกูลจูมาถึงพร้อมกันในวันนั้น และสี่ สำคัญที่สุด คือกลไกควบคุมหอคอยแห่งความโกลาหลไม่เกี่ยวพันกับทรัพยากรหรือการบ่มเพาะพลัง เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยนต์เสียมากกว่า แต่ความลึกล้ำของมันทำให้ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากสนใจ มีแต่คนอย่างซูเฉินที่สามารถพัฒนาหนทางการบ่มเพาะพลังไร้สายเลือดขึ้นมาเท่านั้น ที่จะหิวกระหายความรู้เช่นนี้ จากตรงนี้ เราจึงค่อนข้างมั่นใจได้ว่าซูเฉิน เหอหยาง และชุยอวี่คงเหินตัวปลอมนี่ เป็นคนเดียวกัน อีกทั้งดูจากความเสแสร้ง ความโลภ และความบ้าระห่ำแล้ว เห็นได้ชัดทีเดียวว่าเบาะแสทั้งหลายชี้ไปทางเขาทั้งสิ้น”

“เช่นนี้เอง นายท่านชาญฉลาดยิ่งนัก” นายทหารเอ่ยชมแล้วถอนหายใจ “เรื่องที่ท่านสงสัยนี่ ได้บอกคนอื่นหรือยังขอรับ ?”

“ยัง ฝ่าบาทยังมุ่งเรื่องปฏิบัติเหมือนก่อน ตอนนี้มีแค่ข้าที่คาดเดา ยังไม่มีอะไรมั่นใจ แต่ข้าก็ลอบแจ้งแนวหน้าไปแล้วว่าให้ส่งข้อมูลเรื่องซูเฉินมายืนยันข้อสงสัยให้หน่อย แต่ข้ามั่นใจว่าไม่ผิดคนหรอก ฮ่า ๆ ตอนนี้รู้เส้นแบ่งเขาแล้ว ก็รับมือได้ง่ายขึ้นไปอีก”

“ใช่แล้วขอรับ พอรู้เส้นแบ่งเขาแล้ว เรื่องก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก” คนขับตอบ

เสินอวี่เชียนจือตะลึง “เจ้าว่าอะไรนะ ? ทำไมถึงยาก ?”

“ข้าหมายถึง… เผ่าปักษาอย่างไรก็คือเผ่าปักษา พวกเจ้ารับมือยากกว่าคนเถื่อนนัก หยงเยี่ยหลิวกวงคนเดียวก็ตึงมือแล้ว ลูกน้องเขายังไม่แพ้กันอีก”

ได้ยินดังนั้น เสินอวี่เชียนจือก็พร้อมตั้งรับทันที

เขาสยายปีก พุ่งออกมาจากรถทันที

แต่ทหารคนขับรถกลับยังก้มหน้าลงต่ำไม่สนใจ ทั้งยังหัวเราะเสียงเย็นออกมาอีก

เสินอวี่เชียนจือรู้ว่าแย่แล้ว รีบกระพือปีกบินหนีโดยเร็ว

เขาอยู่เหนือเมืองล่องนภา เบื้องหน้าเป็นเขตการค้าแล้ว

เสินอวี่เชียนจือรีบมุ่งไปด้านหน้า เขารู้ว่ายิ่งถึงจุดที่คนหนา ก็ยิ่งปลอดภัยเร็วขึ้น

คนขับไม่ได้ไล่ตามมา เพียงแต่มองเขาแล้วหัวเราะเย็นเท่านั้น

เสินอวี่เชียนจือจึงได้ใจ เชื่อว่าเจ้าเด็กยโสนั่นคงจะมอบทางรอดให้เขากระมัง

แต่บินได้ไม่เท่าไหร่ ก็พบว่าเบื้องล่างเห็นแต่เมฆ แล้วเขตการค้าเล่า ?

นี่… เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ?

แป๊บเดียวเขาก็บินออกเขตเมืองล่องนภาแล้วหรือ ?

เป็นไปไม่ได้ !

เมืองล่องนภาปิดเมืองหนาแน่น ทางเข้าออกตรวจตราเข้มงวด เขาจะออกมาโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร ?

บางอย่างไม่ปกติแล้ว !

แค่การที่เขาบินเต็มกำลังเช่นนี้ก็น่าจะสร้างเสียงเอะอะได้บ้างแล้ว แต่ทำไมไม่มีทหารปักษาเห็นบ้างเลยเล่า ?

หรือว่า…… ?

เขาพลันเข้าใจ พอมองไปรอบกาย ก็พบว่ารอบตัวยิ่งดูเบา ๆ ลอย ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ

“เข้าใจหรือยัง? ได้สติเร็วไม่ใช่น้อย แต่ก็น่าเสียดายที่ยังช้าไป…” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นในหู

ฉัวะ !

เสินอวี่เชียนจือรู้สึกร่างกายตนสะท้าน

เขาก้มหน้าลง เห็นรูใหญ่เหวอะหวะที่กลางอก

เสินอวี่เชียนจือไม่รู้สึกถึงแรงโจมตีด้วยซ้ำ

“สรรพสิ่ง… ลวงตา…” เสินอวี่เชียนจือเค้นคำออกมาอย่างยากลำบาก

“รู้จักข้าเหมือนกันนี่”

ซูเฉินพูดจบ รอบกายเสินอวี่เชียนจือก็ผันเปลี่ยน เขาพบว่าตนยังนั่งอยู่ในรถม้า ไม่ได้ออกจากรถม้าไปตอนไหนเลยงั้นหรือนี่ ?

“เจ้า… ทำมายา… ให้เป็นจริงได้…” เสินอวี่เชียนจือเค้นคำออกจากปากในขณะที่พลังชีวิตเริ่มปลิดปลิว “ด่านผลาญ… จิตวิญญาณ…”

“ยังหรอก แต่ก็ใกล้แล้ว” ซูเฉินตอบ

เขาเก็บมือกลับ ร่างไร้วิญญาณของเสินอวี่เชียนจือเอียงศีรษะไปด้านข้างก่อนล้มลงกับพื้น