บทที่ 167 น่าหลงใหล
ภายในปราสาทแสงต้นกำเนิด
จูเซียนเหยานั่งอยู่ภายในรถม้าหรูหราตระการตาที่กำลังลอยอยู่เหนือเมือง
มองจากมุมสูง เห็นปราสาทแสงต้นกำเนิดได้ทั้งหมด เป็นภาพที่เหนือคำบรรยาย
“ชาเมฆาของปักษามีรสที่ค้างอยู่ในคอค่อนข้างมาก ต้องขอบคุณพระมเหสีที่ให้โอกาสข้าได้ลิ้มรสอีกครา” จูเซียนเหยากล่าวกับเจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์หลังจิบชาตรงหน้าเล็กน้อย
แม้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์จะอนุญาตให้จูเซียนเหยาไปมาได้ตามอิสระในเขตเมืองด้านตะวันออก แต่ก็ไม่เคยห่างกายนาง ไม่เพียงเท่านั้น จูเซียนเหยายังมีผู้เชี่ยวชาญเรือนกลิ่นสวรรค์จำนวนมากติดตามไปด้วยทุกแห่ง
จุดมุ่งหมายเพื่อคุ้มครอง แต่แท้จริงเพื่อจับตามองต่างหาก
ได้ยินคำจูเซียนเหยา เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ก็ยิ้มกล่าว “แม่นางจูเป็นแขกผู้มีเกียรติ ไม่ต้อนรับอย่างดีได้หรือ ? แม้ข้อผิดพลาดเล็กน้อยข้าก็รับผิดชอบไม่ไหวหรอก”
จูเซียนเหยายิ้ม “เช่นนั้นหากข้ามีคำขอ ท่านจะช่วยข้าได้หรือไม่ ?”
เจ้าเรือนกลิ่นสวรรค์วาจาลื่นไหลนัก “หากข้าทำได้ก็จะพยายาม”
จูเซียนเหยาปรบมือ “เยี่ยมไปเลย ได้ยินว่าปักษาผลิตเสื้อคลุมสีกุหลาบและสีรุ้งขึ้นมา แต่มีจำนวนน้อยเพราะขาดวัตถุดิบ แค่มีเงินยังไม่ได้ จะซื้อหาสักตัวนั้นต้องรออีกนาน ได้ยินว่านานถึง 3 ปี… พระมเหสีพอจะ……”
เสื้อคลุมสีรุ้งของเรือนเมฆาสีกุหลาบนั้นเลื่องชื่อทั่วทวีป ตำนานเล่าว่านางฟ้าปักษาลงจากสวรรค์ รวบรวมด้ายวิเศษที่ปั่นจากรุ้งเอาไว้ นำมาทอเป็นชุดคลุม
ชุดคลุมนี้ทั้งเนื้อบางเบาใส่สะดวก แค่ผ้าผืนยาวสามารถขยำรวมในหนึ่งกำมือได้ อุ่นในหน้าหนาว เย็นในหน้าร้อน ที่หายากคือสามารถปรับทรงและขนาด ทั้งยังปรับสีได้ ไม่ว่าจะรูปร่างแบบไหนก็สวมใส่ได้ ด้วยเหตุนี้แม้จะไม่ได้ช่วยเรื่องการต่อสู้ แต่สาว ๆ ส่วนมากก็อยากหามาใส่
จูเซียนเหยามองหาชุดเช่นนี้มานาน แต่มันหายากเกินไป ไม่เคยได้มาสักตัวเลย
เจ้าเรือนกลิ่นสวรรค์ถอนใจเมื่อได้ยินคำขอ
แม้ชุดคลุมรุ้งจะมีค่าพอสมควร แต่ก็ไร้ประโยชน์ในการต่อสู้ หากจูเซียนเหยาอยากได้ เช่นนั้นนางก็จำต้องหามาให้
เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์พยักหน้า “เช่นนั้นเราจะแวะเรือนเมฆาสีกุหลาบสักหน่อย”
“วิเศษเลย !” จูเซียนเหยาปรบมือราวกับเด็กสาววัยแรกแย้ม เห็นท่าทีใสซื่อของนางแล้วเจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์จะอึ้งอยู่บ้าง เสน่ห์โดยธรรมชาติของจูเซียนเหยาสามารถจับใจได้ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีทีเดียว
ทว่าเจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์รู้ซึ้งถึงพลังสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ดี ดังนั้นจึงเตรียมพร้อม ผู้ที่รับหน้าที่จับตามองตระกูลจูเป็นสตรีทั้งสิ้น แม้สายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์จะทรงพลัง แต่ก็ไร้ประโยชน์ต่อสตรี จูเซียนเหยาเป็นยอดสตรีจากตระกูลจู ได้ซูเฉินช่วย เสน่ห์นางจึงยิ่งเพิ่มสูง แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจลวงเสน่ห์สตรีได้ง่าย ๆ
ดังนั้นเจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์จึงสะท้านไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดจากบ่วงอารมณ์ได้
หลังมาถึงเรือนเมฆาสีกุหลาบ เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ก็ก้าวเข้าไป “มีชุดคลุมรุ้งบ้างไหม ? พวกข้าอยากลองสักตัว”
สาวใช้ดูมีทีท่าลังเล “มีเจ้าค่ะ แต่จับจองไว้ให้ลูกสาวหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย……”
“เอาออกมาเถอะ ข้าจะบอกหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเอง” เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์เอ่ย นางหยิบของออกมาโยนให้บ่าวสาวเรือนเมฆาสีกุหลาบที่เมื่อเห็นก็ไม่พูดอะไรอีก
จูเซียนเหยาด้านข้างเห็นแล้วก็ตะลึงไป
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเป็นตำแหน่งสำคัญ อำนาจสูง หากเป็นมนุษย์ก็จะมีอิทธิพลเท่าด่านหยั่งรู้ฟ้าดินทีเดียว
เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ชิงของที่อีกฝ่ายต้องการมาได้เช่นนี้โดยไม่สนใจด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะอำนาจของนางเหนือกว่าอีกฝ่ายแต่อย่างไร แต่แสดงให้เห็นว่าคนที่หนุนหลังนางอยู่มีฐานะสูงเสียจนไม่ต้องชายตามองใครก็ยังได้
ในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆมีปักษาที่มีอิทธิพลมากเช่นนี้อยู่ไม่เท่าไหร่
จูเซียนเหยาเริ่มเข้าใจแล้วว่าซูเฉินคงคิดจะก่อความโกลาหลครั้งใหญ่เสียแล้ว
ทว่าจูเซียนเหยาก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ได้
ชุดคลุมจึงถูกนำออกมาโดยเร็ว
จูเซียนเหยารับชุดคลุมมา แล้วตรงเข้าไปห้องลองชุด
ไม่นานนางก็ปรากฏตัวขึ้นใหม่พร้อมกับความงามสง่า สวมชุดคลุมสีบริสุทธิ์คลุมกาย พอย่างเท้าออกมา ชุดก็เริ่มยาวขึ้น กลายเป็นสีฟ้าอ่อน แขนเสื้อหดลง เผยให้เห็นเรียวแขนสีขาว ชุดคลุมรุ้งที่ก่อนหน้าดูสง่า ตอนนี้กลายเป็นงดงามเหลือคณา
ก้าวอีกหลายก้าวเข้ามา ชุดคลุมพลันกลายเป็นสีแดงเพลิง เกิดเป็นเสน่ห์เย้ายวนน่าหลงใหล ชายใดได้เห็นคงได้แต่หลงมัวเมา
แม้จะต่างเผ่า แต่มนุษย์กับปักษาก็มีร่างกายคล้ายคลึง ความงามของจูเซียนเหยานั้นล่มเมืองได้ กับแดนปักษาก็อาจได้เช่นกัน
แม้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ยังอดปรบมือชื่นชมไม่ได้ “ชุดคลุมรุ้งนี่เหมาะโดยแท้ มีแต่คนอย่างท่านเท่านั้นที่จะสามารถดึงเอาความงามสูงสุดของชุดเหนือชั้นเช่นนี้ออกมาได้”
“ท่านเอ่ยเกินไปแล้ว” จูเซียนเหยาโค้งคำนับงามสง่าให้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ “ขอบคุณที่ช่วยเหลือดูแล ข้าจะรักษาชุดคลุมนี้เป็นอย่างดี”
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว” เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์คลี่ยิ้ม
หากจูเซียนเหยายอมให้ความร่วมมือไม่ก่อเรื่อง แค่ชุดคลุมรุ้งสักชุดก็ไม่เห็นเป็นอะไร
“เอาล่ะ เรามากันนานแล้ว ได้เวลากลับแล้วล่ะ”
เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ได้ยินว่านางจะกลับย่อมยินดี
พวกนางกลับรถม้าเพื่อมุ่งหน้ากลับเรือนกลิ่นสวรรค์
เมื่อมองปักษากลุ่มนั้นจากไป บ่าวสาวแห่งเรือนเมฆาสีกุหลาบต่างก็มุ่นคิ้ว “อะไรกัน ? จู่ ๆ ก็มาเอาชุดคลุมที่เราใช้เวลากว่าครึ่งปีในการทอไป น่าขันสิ้นดี”
“หุบปาก หากไม่อยากมีเรื่องก็อย่าเอ่ยเช่นนี้” หัวหน้าคนดูแลเรือนเอ่ยพลางส่งเสียงชู่ไม่พอใจ
หัวหน้าคนดูแลเรือนแจ้งเรื่องกับเจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์เรื่องถูกชิงชุดไปแล้ว ได้คำตอบคือให้ทำตามคำขอ ตัวนางรู้ดีว่าปักษากลุ่มนั้นเป็นคนสำคัญ
ก็มีแต่ต้องก้มหัวรับคำสั่งไปเท่านั้น
แต่ตอนนี้ กลับมีสตรีอีกคนก้าวออกมาจากห้องเปลี่ยนชุดที่จูเซียนเหยาเพิ่งใช้ไปเมื่อครู่
หน้าตาเหมือนคนที่ลองชุดคลุมเมื่อก่อนหน้าไม่มีผิด
เกิดอะไรขึ้น ?
ปักษาในเรือนเมฆาสีกุหลาบตกตะลึง มองนางผู้นั้นมองซ้ายขวาแล้วเอ่ยเสียงตกใจ “หือ ? พวกพี่ ๆ กลับไปแล้วหรือ ? ไม่เห็นบอกเลยว่าจะไป !”
พี่ ๆ?
ทุกคนเหลือบมองกัน ต่างงุนงงกับสถานการณ์แปลก ๆ ตรงหน้า
ตอนเดินเข้าไม่ได้เดินไปสองคนนี่นา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
หัวหน้าคนดูแลเรือนถามเสียงเบา “แม่นาง ขอถามได้หรือไม่ว่าเข้าไปเมื่อไหร่หรือเจ้าคะ…?”
หญิงสาวตอบเสียงกระโชก “ตาบอดหรือไง ? ไม่เห็นข้าเดินเข้าไปหรือ ? ข้าเข้าไปช่วยนางเปลี่ยนชุดใหม่ไงเล่า”
เหล่าปักษาพยายามนึกย้อน แต่ก็ไม่เห็นใครเข้าไปช่วยจูเซียนเหยาเปลี่ยนเสื้อ
นางจึงโบกมืออย่างขอไปที “เอาเถอะ หากไปกันแล้ว ข้าก็ไปด้วย กลับเองตอนนี้เลยก็แล้วกัน”
ว่าจบนางก็ยืดแขนแล้วเหินขึ้นฟ้าไป
ทุกคนมองดูนางบินจากไป มองหน้ากันมึนงง แต่ไม่นานก็ลืมเลือน
เมื่อนางเหินร่างจากมาแล้ว ก็หันกลับมามองเรือนเมฆาสีกุหลาบ ก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจ
ย่อมเป็นจูเซียนเหยา
แม้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์จะเตรียมรับมือเสน่ห์ของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์มาแล้ว แต่ก็ไม่รู้อีกตัวตนหนึ่งของนางด้วย ว่านางเป็นสตรีของซูเฉิน
ในด้านหนึ่ง ตัวตนนี้สำคัญกว่าด้วยซ้ำ อยู่กับซูเฉินมานานปี ก็เรียนรู้หลายอย่างจากเขา ร่วมถึงกลยุทธ์จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แผนเจ้าเล่ห์เจ้ากล และยังสิ่งประดิษฐ์หลายอย่างด้วย
นั่นรวมถึงร่างแยกแก่นเลือด
อยากได้ชุดคลุมก็แค่ข้ออ้าง
จูเซียนเหยาเพียงหาโอกาสให้อีกฝ่ายลดความระวังภัยโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น
แค่ระยะสั้น ๆ อย่างตอนเปลี่ยนชุดก็พอให้ทำตามแผนได้แล้ว
คนที่สวมชุดคลุม แท้จริงแล้วคือร่างแยกแก่นเลือดของจูเซียน นางตัวจริงแอบอยู่ในห้องเปลี่ยนชุด จนกระทั่งคนจากเรือนกลิ่นสวรรค์จากไปจึงเผยกาย
ส่วนเรือนเมฆาสีกุหลาบ แม้จะเห็นจูเซียนเหยาอีกคน แต่ก็ไม่รู้สถานการณ์ อีกทั้งยังไม่เฉลียวใจ ย่อมไม่ได้รายงานให้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์รับทราบ
ถึงจะบอกแล้วอย่างไร ?
สถานการณ์ถึงจุดเดือดแล้ว คงแย่ไปกว่านี้ไม่ได้แล้วกระมัง
ตอนนี้จูเซียนเหยาต้องหาเหยื่อเหมาะ ๆ สักคน จะได้รู้สักทีว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองล่องนภากันแน่
อึดใจต่อมา ปีกคู่หนึ่งก็สยายจากแผ่นหลังนาง ก่อนจะบินไปยังเขตการค้าของเมือง วิชามายาของนางได้มาจากซูเฉิน แม้จะไม่ได้เก่งกาจ แต่ก็หลอกปักษาส่วนมากได้
ตอนนี้นางต้องการหาเหยื่อ หรือก็คือคนที่จะให้ข้อมูลเรื่องภายในเมืองล่องนภากับนางได้
เหยื่อต้องมีฐานะพอสมควร จะได้มีข้อมูลถูกต้อง ต้องเป็นบุรุษ จะได้ถูกวิชาลวงเสน่ห์เล่นงาน สุดท้ายจะแกร่งเกินไปไม่ได้
และเหยื่อที่มีทั้งสามข้อนี้ย่อมต้องเป็นนายน้อยจากตระกูลมีฐานะสักตระกูล
จูเซียนเหยาเริ่มมองรอบกาย หาคนเช่นนั้นมาสักคน
วันนี้โชคอาจเข้าข้าง ไม่นานนางก็พบคนเช่นนั้น
กลุ่มปักษาหนึ่งสวมชุดชั้นสูง กำลังมุ่งหน้ามาพอดี ที่นำอยู่เบื้องหน้าคือนายน้อยดูสุภาพเรียบร้อยผู้หนึ่ง
ราวกับว่าต้องตาความงามจูเซียนเหยาเข้าเสียแล้ว นายน้อยจดจ้องนางทันทีที่ได้เห็น ไม่ละสายตาไปจากนางเลย
จูเซียนเหยาเห็นแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ ส่งสายตายั่วเย้ากลับไป ก่อนจะเดินเข้าตรอกที่อยู่ใกล้ ๆ
นายน้อยเห็นดังนั้นก็ติดตามจูเซียนเหยาไปไม่รู้ตน ลูกน้องหยุดอยู่นอกตรอก รับรู้เรื่องราวโดยไม่ต้องกล่าว
ปักษาจำนวนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ก็ได้แต่ถอนใจส่ายหน้า เสียใจกับความเสื่อมของปักษาหนุ่มในสังคมตนเอง
จูเซียนเหยาเดินนำนายน้อยเข้ามาในตรอกลึก
จากนั้นก็หันไปเผชิญหน้ากับนายน้อยผู้งามสง่า เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ข้างามหรือไม่ ?”
“งามสิ”
จูเซียนเหยาเผยใบหน้าอ่อนหวาน “เช่นนั้นอยากปกป้องข้าหรือไม่ ?”
เสน่ห์จิ้งจอกร้อยเล่ห์เริ่มออกฤทธิ์ จูเซียนเหยาคิดจะถามง่าย ๆ ก่อนเริ่มจริงจัง พอถามว่าจะปกป้องนางหรือไม่แล้ว ก็จะถามว่าเอ็นดูนางหรือไม่ ยอมเชื่อฟังนางหรือไม่ และสุดท้ายคือยอมตายเพื่อนางหรือไม่
นี่คือกระบวนการของวิชาลวงเสน่ห์
แต่เมื่อจูเซียนเหยาถามคำถามที่สอง คำตอบของเขาก็เกินคาด “ข้าย่อมต้องการ แต่นายท่านข้าอาจไม่ต้องการ”
หือ ?
หมายความว่าไงกัน ?
จูเซียนเหยาอึ้งไป
นางมองอีกฝ่ายที่ร่างกายค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นรูปร่างคุ้นตา
“กังเหยียน !?” จูเซียนเหยาโพล่งขึ้นมา
นางเกือบลวงเสน่ห์กังเหยียนเสียแล้ว !