ภาคที่ 5 บทที่ 167 น่าหลงใหล

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 167 น่าหลงใหล

ภายในปราสาทแสงต้นกำเนิด

จูเซียนเหยานั่งอยู่ภายในรถม้าหรูหราตระการตาที่กำลังลอยอยู่เหนือเมือง

มองจากมุมสูง เห็นปราสาทแสงต้นกำเนิดได้ทั้งหมด เป็นภาพที่เหนือคำบรรยาย

“ชาเมฆาของปักษามีรสที่ค้างอยู่ในคอค่อนข้างมาก ต้องขอบคุณพระมเหสีที่ให้โอกาสข้าได้ลิ้มรสอีกครา” จูเซียนเหยากล่าวกับเจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์หลังจิบชาตรงหน้าเล็กน้อย

แม้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์จะอนุญาตให้จูเซียนเหยาไปมาได้ตามอิสระในเขตเมืองด้านตะวันออก แต่ก็ไม่เคยห่างกายนาง ไม่เพียงเท่านั้น จูเซียนเหยายังมีผู้เชี่ยวชาญเรือนกลิ่นสวรรค์จำนวนมากติดตามไปด้วยทุกแห่ง

จุดมุ่งหมายเพื่อคุ้มครอง แต่แท้จริงเพื่อจับตามองต่างหาก

ได้ยินคำจูเซียนเหยา เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ก็ยิ้มกล่าว “แม่นางจูเป็นแขกผู้มีเกียรติ ไม่ต้อนรับอย่างดีได้หรือ ? แม้ข้อผิดพลาดเล็กน้อยข้าก็รับผิดชอบไม่ไหวหรอก”

จูเซียนเหยายิ้ม “เช่นนั้นหากข้ามีคำขอ ท่านจะช่วยข้าได้หรือไม่ ?”

เจ้าเรือนกลิ่นสวรรค์วาจาลื่นไหลนัก “หากข้าทำได้ก็จะพยายาม”

จูเซียนเหยาปรบมือ “เยี่ยมไปเลย ได้ยินว่าปักษาผลิตเสื้อคลุมสีกุหลาบและสีรุ้งขึ้นมา แต่มีจำนวนน้อยเพราะขาดวัตถุดิบ แค่มีเงินยังไม่ได้ จะซื้อหาสักตัวนั้นต้องรออีกนาน ได้ยินว่านานถึง 3 ปี… พระมเหสีพอจะ……”

เสื้อคลุมสีรุ้งของเรือนเมฆาสีกุหลาบนั้นเลื่องชื่อทั่วทวีป ตำนานเล่าว่านางฟ้าปักษาลงจากสวรรค์ รวบรวมด้ายวิเศษที่ปั่นจากรุ้งเอาไว้ นำมาทอเป็นชุดคลุม

ชุดคลุมนี้ทั้งเนื้อบางเบาใส่สะดวก แค่ผ้าผืนยาวสามารถขยำรวมในหนึ่งกำมือได้ อุ่นในหน้าหนาว เย็นในหน้าร้อน ที่หายากคือสามารถปรับทรงและขนาด ทั้งยังปรับสีได้ ไม่ว่าจะรูปร่างแบบไหนก็สวมใส่ได้ ด้วยเหตุนี้แม้จะไม่ได้ช่วยเรื่องการต่อสู้ แต่สาว ๆ ส่วนมากก็อยากหามาใส่

จูเซียนเหยามองหาชุดเช่นนี้มานาน แต่มันหายากเกินไป ไม่เคยได้มาสักตัวเลย

เจ้าเรือนกลิ่นสวรรค์ถอนใจเมื่อได้ยินคำขอ

แม้ชุดคลุมรุ้งจะมีค่าพอสมควร แต่ก็ไร้ประโยชน์ในการต่อสู้ หากจูเซียนเหยาอยากได้ เช่นนั้นนางก็จำต้องหามาให้

เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์พยักหน้า “เช่นนั้นเราจะแวะเรือนเมฆาสีกุหลาบสักหน่อย”

“วิเศษเลย !” จูเซียนเหยาปรบมือราวกับเด็กสาววัยแรกแย้ม เห็นท่าทีใสซื่อของนางแล้วเจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์จะอึ้งอยู่บ้าง เสน่ห์โดยธรรมชาติของจูเซียนเหยาสามารถจับใจได้ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีทีเดียว

ทว่าเจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์รู้ซึ้งถึงพลังสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์ดี ดังนั้นจึงเตรียมพร้อม ผู้ที่รับหน้าที่จับตามองตระกูลจูเป็นสตรีทั้งสิ้น แม้สายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์จะทรงพลัง แต่ก็ไร้ประโยชน์ต่อสตรี จูเซียนเหยาเป็นยอดสตรีจากตระกูลจู ได้ซูเฉินช่วย เสน่ห์นางจึงยิ่งเพิ่มสูง แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจลวงเสน่ห์สตรีได้ง่าย ๆ

ดังนั้นเจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์จึงสะท้านไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุดจากบ่วงอารมณ์ได้

หลังมาถึงเรือนเมฆาสีกุหลาบ เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ก็ก้าวเข้าไป “มีชุดคลุมรุ้งบ้างไหม ? พวกข้าอยากลองสักตัว”

สาวใช้ดูมีทีท่าลังเล “มีเจ้าค่ะ แต่จับจองไว้ให้ลูกสาวหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย……”

“เอาออกมาเถอะ ข้าจะบอกหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเอง” เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์เอ่ย นางหยิบของออกมาโยนให้บ่าวสาวเรือนเมฆาสีกุหลาบที่เมื่อเห็นก็ไม่พูดอะไรอีก

จูเซียนเหยาด้านข้างเห็นแล้วก็ตะลึงไป

หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเป็นตำแหน่งสำคัญ อำนาจสูง หากเป็นมนุษย์ก็จะมีอิทธิพลเท่าด่านหยั่งรู้ฟ้าดินทีเดียว

เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ชิงของที่อีกฝ่ายต้องการมาได้เช่นนี้โดยไม่สนใจด้วยซ้ำ

เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เพราะอำนาจของนางเหนือกว่าอีกฝ่ายแต่อย่างไร แต่แสดงให้เห็นว่าคนที่หนุนหลังนางอยู่มีฐานะสูงเสียจนไม่ต้องชายตามองใครก็ยังได้

ในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆมีปักษาที่มีอิทธิพลมากเช่นนี้อยู่ไม่เท่าไหร่

จูเซียนเหยาเริ่มเข้าใจแล้วว่าซูเฉินคงคิดจะก่อความโกลาหลครั้งใหญ่เสียแล้ว

ทว่าจูเซียนเหยาก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ได้

ชุดคลุมจึงถูกนำออกมาโดยเร็ว

จูเซียนเหยารับชุดคลุมมา แล้วตรงเข้าไปห้องลองชุด

ไม่นานนางก็ปรากฏตัวขึ้นใหม่พร้อมกับความงามสง่า สวมชุดคลุมสีบริสุทธิ์คลุมกาย พอย่างเท้าออกมา ชุดก็เริ่มยาวขึ้น กลายเป็นสีฟ้าอ่อน แขนเสื้อหดลง เผยให้เห็นเรียวแขนสีขาว ชุดคลุมรุ้งที่ก่อนหน้าดูสง่า ตอนนี้กลายเป็นงดงามเหลือคณา

ก้าวอีกหลายก้าวเข้ามา ชุดคลุมพลันกลายเป็นสีแดงเพลิง เกิดเป็นเสน่ห์เย้ายวนน่าหลงใหล ชายใดได้เห็นคงได้แต่หลงมัวเมา

แม้จะต่างเผ่า แต่มนุษย์กับปักษาก็มีร่างกายคล้ายคลึง ความงามของจูเซียนเหยานั้นล่มเมืองได้ กับแดนปักษาก็อาจได้เช่นกัน

แม้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ยังอดปรบมือชื่นชมไม่ได้ “ชุดคลุมรุ้งนี่เหมาะโดยแท้ มีแต่คนอย่างท่านเท่านั้นที่จะสามารถดึงเอาความงามสูงสุดของชุดเหนือชั้นเช่นนี้ออกมาได้”

“ท่านเอ่ยเกินไปแล้ว” จูเซียนเหยาโค้งคำนับงามสง่าให้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ “ขอบคุณที่ช่วยเหลือดูแล ข้าจะรักษาชุดคลุมนี้เป็นอย่างดี”

“เจ้าชอบก็ดีแล้ว” เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์คลี่ยิ้ม

หากจูเซียนเหยายอมให้ความร่วมมือไม่ก่อเรื่อง แค่ชุดคลุมรุ้งสักชุดก็ไม่เห็นเป็นอะไร

“เอาล่ะ เรามากันนานแล้ว ได้เวลากลับแล้วล่ะ”

เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์ได้ยินว่านางจะกลับย่อมยินดี

พวกนางกลับรถม้าเพื่อมุ่งหน้ากลับเรือนกลิ่นสวรรค์

เมื่อมองปักษากลุ่มนั้นจากไป บ่าวสาวแห่งเรือนเมฆาสีกุหลาบต่างก็มุ่นคิ้ว “อะไรกัน ? จู่ ๆ ก็มาเอาชุดคลุมที่เราใช้เวลากว่าครึ่งปีในการทอไป น่าขันสิ้นดี”

“หุบปาก หากไม่อยากมีเรื่องก็อย่าเอ่ยเช่นนี้” หัวหน้าคนดูแลเรือนเอ่ยพลางส่งเสียงชู่ไม่พอใจ

หัวหน้าคนดูแลเรือนแจ้งเรื่องกับเจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์เรื่องถูกชิงชุดไปแล้ว ได้คำตอบคือให้ทำตามคำขอ ตัวนางรู้ดีว่าปักษากลุ่มนั้นเป็นคนสำคัญ

ก็มีแต่ต้องก้มหัวรับคำสั่งไปเท่านั้น

แต่ตอนนี้ กลับมีสตรีอีกคนก้าวออกมาจากห้องเปลี่ยนชุดที่จูเซียนเหยาเพิ่งใช้ไปเมื่อครู่

หน้าตาเหมือนคนที่ลองชุดคลุมเมื่อก่อนหน้าไม่มีผิด

เกิดอะไรขึ้น ?

ปักษาในเรือนเมฆาสีกุหลาบตกตะลึง มองนางผู้นั้นมองซ้ายขวาแล้วเอ่ยเสียงตกใจ “หือ ? พวกพี่ ๆ กลับไปแล้วหรือ ? ไม่เห็นบอกเลยว่าจะไป !”

พี่ ๆ?

ทุกคนเหลือบมองกัน ต่างงุนงงกับสถานการณ์แปลก ๆ ตรงหน้า

ตอนเดินเข้าไม่ได้เดินไปสองคนนี่นา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

หัวหน้าคนดูแลเรือนถามเสียงเบา “แม่นาง ขอถามได้หรือไม่ว่าเข้าไปเมื่อไหร่หรือเจ้าคะ…?”

หญิงสาวตอบเสียงกระโชก “ตาบอดหรือไง ? ไม่เห็นข้าเดินเข้าไปหรือ ? ข้าเข้าไปช่วยนางเปลี่ยนชุดใหม่ไงเล่า”

เหล่าปักษาพยายามนึกย้อน แต่ก็ไม่เห็นใครเข้าไปช่วยจูเซียนเหยาเปลี่ยนเสื้อ

นางจึงโบกมืออย่างขอไปที “เอาเถอะ หากไปกันแล้ว ข้าก็ไปด้วย กลับเองตอนนี้เลยก็แล้วกัน”

ว่าจบนางก็ยืดแขนแล้วเหินขึ้นฟ้าไป

ทุกคนมองดูนางบินจากไป มองหน้ากันมึนงง แต่ไม่นานก็ลืมเลือน

เมื่อนางเหินร่างจากมาแล้ว ก็หันกลับมามองเรือนเมฆาสีกุหลาบ ก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจ

ย่อมเป็นจูเซียนเหยา

แม้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์จะเตรียมรับมือเสน่ห์ของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์มาแล้ว แต่ก็ไม่รู้อีกตัวตนหนึ่งของนางด้วย ว่านางเป็นสตรีของซูเฉิน

ในด้านหนึ่ง ตัวตนนี้สำคัญกว่าด้วยซ้ำ อยู่กับซูเฉินมานานปี ก็เรียนรู้หลายอย่างจากเขา ร่วมถึงกลยุทธ์จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แผนเจ้าเล่ห์เจ้ากล และยังสิ่งประดิษฐ์หลายอย่างด้วย

นั่นรวมถึงร่างแยกแก่นเลือด

อยากได้ชุดคลุมก็แค่ข้ออ้าง

จูเซียนเหยาเพียงหาโอกาสให้อีกฝ่ายลดความระวังภัยโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น

แค่ระยะสั้น ๆ อย่างตอนเปลี่ยนชุดก็พอให้ทำตามแผนได้แล้ว

คนที่สวมชุดคลุม แท้จริงแล้วคือร่างแยกแก่นเลือดของจูเซียน นางตัวจริงแอบอยู่ในห้องเปลี่ยนชุด จนกระทั่งคนจากเรือนกลิ่นสวรรค์จากไปจึงเผยกาย

ส่วนเรือนเมฆาสีกุหลาบ แม้จะเห็นจูเซียนเหยาอีกคน แต่ก็ไม่รู้สถานการณ์ อีกทั้งยังไม่เฉลียวใจ ย่อมไม่ได้รายงานให้เจ้าของเรือนกลิ่นสวรรค์รับทราบ

ถึงจะบอกแล้วอย่างไร ?

สถานการณ์ถึงจุดเดือดแล้ว คงแย่ไปกว่านี้ไม่ได้แล้วกระมัง

ตอนนี้จูเซียนเหยาต้องหาเหยื่อเหมาะ ๆ สักคน จะได้รู้สักทีว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองล่องนภากันแน่

อึดใจต่อมา ปีกคู่หนึ่งก็สยายจากแผ่นหลังนาง ก่อนจะบินไปยังเขตการค้าของเมือง วิชามายาของนางได้มาจากซูเฉิน แม้จะไม่ได้เก่งกาจ แต่ก็หลอกปักษาส่วนมากได้

ตอนนี้นางต้องการหาเหยื่อ หรือก็คือคนที่จะให้ข้อมูลเรื่องภายในเมืองล่องนภากับนางได้

เหยื่อต้องมีฐานะพอสมควร จะได้มีข้อมูลถูกต้อง ต้องเป็นบุรุษ จะได้ถูกวิชาลวงเสน่ห์เล่นงาน สุดท้ายจะแกร่งเกินไปไม่ได้

และเหยื่อที่มีทั้งสามข้อนี้ย่อมต้องเป็นนายน้อยจากตระกูลมีฐานะสักตระกูล

จูเซียนเหยาเริ่มมองรอบกาย หาคนเช่นนั้นมาสักคน

วันนี้โชคอาจเข้าข้าง ไม่นานนางก็พบคนเช่นนั้น

กลุ่มปักษาหนึ่งสวมชุดชั้นสูง กำลังมุ่งหน้ามาพอดี ที่นำอยู่เบื้องหน้าคือนายน้อยดูสุภาพเรียบร้อยผู้หนึ่ง

ราวกับว่าต้องตาความงามจูเซียนเหยาเข้าเสียแล้ว นายน้อยจดจ้องนางทันทีที่ได้เห็น ไม่ละสายตาไปจากนางเลย

จูเซียนเหยาเห็นแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ ส่งสายตายั่วเย้ากลับไป ก่อนจะเดินเข้าตรอกที่อยู่ใกล้ ๆ

นายน้อยเห็นดังนั้นก็ติดตามจูเซียนเหยาไปไม่รู้ตน ลูกน้องหยุดอยู่นอกตรอก รับรู้เรื่องราวโดยไม่ต้องกล่าว

ปักษาจำนวนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ก็ได้แต่ถอนใจส่ายหน้า เสียใจกับความเสื่อมของปักษาหนุ่มในสังคมตนเอง

จูเซียนเหยาเดินนำนายน้อยเข้ามาในตรอกลึก

จากนั้นก็หันไปเผชิญหน้ากับนายน้อยผู้งามสง่า เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ข้างามหรือไม่ ?”

“งามสิ”

จูเซียนเหยาเผยใบหน้าอ่อนหวาน “เช่นนั้นอยากปกป้องข้าหรือไม่ ?”

เสน่ห์จิ้งจอกร้อยเล่ห์เริ่มออกฤทธิ์ จูเซียนเหยาคิดจะถามง่าย ๆ ก่อนเริ่มจริงจัง พอถามว่าจะปกป้องนางหรือไม่แล้ว ก็จะถามว่าเอ็นดูนางหรือไม่ ยอมเชื่อฟังนางหรือไม่ และสุดท้ายคือยอมตายเพื่อนางหรือไม่

นี่คือกระบวนการของวิชาลวงเสน่ห์

แต่เมื่อจูเซียนเหยาถามคำถามที่สอง คำตอบของเขาก็เกินคาด “ข้าย่อมต้องการ แต่นายท่านข้าอาจไม่ต้องการ”

หือ ?

หมายความว่าไงกัน ?

จูเซียนเหยาอึ้งไป

นางมองอีกฝ่ายที่ร่างกายค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นรูปร่างคุ้นตา

“กังเหยียน !?” จูเซียนเหยาโพล่งขึ้นมา

นางเกือบลวงเสน่ห์กังเหยียนเสียแล้ว !