ภาคที่ 5 บทที่ 168 สงครามคืบคลาน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 168 สงครามคืบคลาน

ภายในปราสาทแสงต้นกำเนิด ในตรอกเล็ก ๆ ในย่านการค้า กังเหยียนหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าจูเซียนเหยา

เห็นได้ชัดว่ากังเหยียนดูสนุกกับการแกล้งนางมาก

จูเซียนเหยาตอบเสียงจนใจ “นานวันเข้าเจ้ายิ่งไม่เชื่อฟังขึ้นเรื่อย ๆ คนพวกนั้นเป็นพวกของเจ้านี่เอง……”

“อวิ๋นเป้า หลินเซียว และคนอื่น ๆ” กังเหยียนว่า

ก็แน่สิ

“ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ ?” จูเซียนเหยาถามสีหน้างุนงง

“มาหาท่าน” กังเหยียนตอบตามตรง

หลังเดาได้ว่าจูเซียนเหยาจะถูกลวงเข้าแดนปักษามา ซูเฉินจึงให้ผ้าเท่อลั่วเค่อนำคำสั่งไปบอกกังเหยียนและคนอื่น ๆ ให้พยายามสกัดกั้นคณะทูต น่าเสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง

แต่ยังดีที่ก็ไม่ไร้ประโยชน์ เพราะหากหยุดไม่ทัน ก็ดำเนินแผนขั้นต่อไปได้

แต่ขั้นต่อไปจำต้องติดต่อจูเซียนเหยาให้ได้ก่อน

น่าเสียดายที่เรือนกลิ่นสวรรค์จับตาดูนางใกล้ชิด พวกเขาหาทางติดต่อนาง แต่หาจังหวะไม่ได้เลย วิชามายาเช่นของจูเซียนเหยาอาจจะลวงปักษาขั้นต่ำได้ แต่หากแกร่งหน่อยก็ไร้ผล การป้องกันเรือนกลิ่นสวรรค์นั้นแน่นหนา กระทั่งเป็นปักษาด้วยกันแต่แปลกหน้าก็ยังเข้าไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงปักษาปลอมเลย

ยังดีที่รอไม่นาน จูเซียนเหยาก็หนีออกมาได้เอง

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” จูเซียนเหยาถามอย่างรอไม่ได้

นางรอคำตอบมานานเกินไปแล้ว

กังเหยียนจึงสรุปเรื่องที่เกิดในเมืองล่องนภาคร่าว ๆ

พอได้ยินว่าซูเฉินลวงมือแห่งโชคชะตาและนิกายแห่งพระแม่ซ้ำหลายครั้ง จูเซียนเหยาก็นิ่งงัน ยิ่งได้ยินว่าเขาล่อเทพอสูรคางคกพันพิษให้บุกเมืองล่องนภาก็ยิ่งอึ้งกว่าเก่า

ซูเฉินคิดจะกวาดล้างทั้งอาณาจักรด้วยตัวคนเดียวเลยนี่ !

ไม่แปลกที่ปักษาอยากจะจับตัวนางนัก คงคิดจะใช้นางต่อรองกับเขาแน่

รู้เช่นนี้แล้ว จูเซียนเหยาก็พลันนึกบางอย่างได้ “ประเดี๋ยว หากอยากจัดการซูเฉิน ก็จับข้าไปตรง ๆ เลยสิ ไม่เห็นต้องทำทีเป็นไว้หน้า”

“นั่นก็เพราะยังไม่มั่นใจความสัมพันธ์ของพวกท่าน หรือก็คือตัวตนของนายท่านยังไม่ถูกเปิดโปงโดยสมบูรณ์ แต่ก็มีปักษาบางคนที่เชื่อมต่อนายท่านกับการมาถึงของตระกูลจูเมื่อสองปีก่อนได้ พวกนั้นเลยเริ่มคิดว่าตระกูลจูคงมีส่วนเกี่ยวข้อง” กังเหยียนอธิบาย

ซึ่งไม่ใช่เขาคิดขึ้นเอง เป็นซูเฉินกับผ้าเท่อลั่วเค่อหารือกันแล้วสรุปความมา สถานการณ์จูเซียนเหยาในปัจจุบันเห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนั้นจริง

หากพวกปักษามั่นใจว่าเป้าหมายคือซูเฉินที่มีความสัมพันธ์ลึกล้ำกับตระกูลจู เช่นนั้นหยงเยี่ยหลิวกวงก็คงไม่ใช่ไม้อ่อนเช่นนี้

“เช่นนี้เอง” จูเซียนเหยาถอนใจ “เช่นนั้นเตรียมตัวไปเลยไม่ดีหรือ ?”

กังเหยียนส่ายหน้า “ถึงจะหนีจากเรือนกลิ่นสวรรค์มาได้ชั่วคราว แต่ร่างแยกไม่ได้คงอยู่ตลอด ความเข้มงวดรอบปราสาทแสงต้นกำเนิดนั้นแน่นหนามาก หากเรือนกลิ่นสวรรค์รู้ว่านายหญิงหนีไป ย่อมเคลื่อนพลปิดชายแดนแน่ เช่นนั้นก็หนีไม่ได้อีก และหากหนีไม่สำเร็จ ยิ่งทำให้พวกเขามั่นใจความสัมพันธ์ระหว่างนายหญิงกับนายท่าน”

“เช่นนั้นก็ไม่ได้มาช่วยข้าออกไปหรือ ?” จูเซียนเหยากอดอกไม่พอใจ

กังเหยียนตอบเสียงเคารพ “นายท่านสั่งว่า หากติดต่อท่านได้ก่อนคณะทูตเข้าปราสาทแสงต้นกำเนิด ก็ควรลองหนีดู แต่ตอนนี้ท่านเข้ามาปราสาทแสงต้นกำเนิด ต้องทำตามแผน 2 แทน”

“แผน 2 คือ ?”

“ถ่วง !” กังเหยียนตอบ

“ถ่วง ?” จูเซียนเหยาหรี่ตาถาม

“ใช่แล้ว ถ่วงเวลา แต่เราไม่อยู่เฉย ๆ เท่านั้น จะใช้กุลยุทธ์เพื่อกดดันปราสาทแสงต้นกำเนิดด้วย” กังเหยียนว่า

พอกังเหยียนอธิบายแผนให้ฟัง แผนการของซูเฉินจึงเริ่มเปิดเผยสู้สายตาจูเซียนเหยา

ประการแรก จูเซียนเหยาถูกคุมตัวอยู่ในที่พักนับเป็นปัญหาใหญ่

แต่หลังจากซูเฉินใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดทำนายว่าหยงเยี่ยหลิวกวงจะจับตัวจูเซียนเหยาอย่างไร ซูเฉินจึงสามารถจับจุดสำคัญของแผนศัตรูได้ นั่นคืออีกฝ่ายยังไม่มั่นใจเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับนาง และชุยอวี่คงเหินตัวปลอม

เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น !

หากเป็นเท่านั้น อาจจะผิดก็ได้ ไม่ว่าใครก็รู้ ขนาดซูเฉินยังเคยเดาผิดมาก่อน

แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่อาจมั่นใจว่าจูเซียนเหยาเกี่ยวข้องกับชุยอวี่คงเหินอีกหรือเปล่า ดังนั้นจึงลงมือระวังตน ทำให้เผยถึงความระแวดระวังที่มีต่อซูเฉิน

หรือก็คือ หยงเยี่ยหลิวกวงนั้นกำลังระวังเผ่ามนุษย์

ระวังว่าจะเกิดสงคราม !

ตระกูลจูไม่ใช่ตระกูลกระจอก หากมีสายเลือดจักรพรรดิอสูรก็นับว่าเป็นรองแค่ราชวงศ์ขั้นหนึ่งเท่านั้น ย่อมเป็นพวกชั้นสูง

การจับตัวผู้สืบทอดตระกูลใหญ่เช่นนั้นมาไม่ใช่เรื่องเล็ก และอาจก่อให้เกิดสงครามตามมาได้

ซึ่งเกี่ยวข้องกับการที่เทพอสูรบุกเมืองด้วยเช่นกัน กำลังเผ่าปักษาลดลงมาก นับเป็นโอกาสเหมาะของเผ่ามนุษย์พอดี

หากเกิดเรื่องกับจูเซียนเหยา เท่านั้นก็เป็นต้นเหตุให้เกิดสงครามได้แล้ว

ด้วยเหตุนี้หยงเยี่ยหลิวกวงจึงได้สั่งทูตไปเช่นกัน เขาจำต้องเผยความแกร่งแสดงความอ่อนโยนบ้าง คำสั่งที่ขัดกันเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าตัวเขาอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นไร

หากมั่นใจความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉินกับตระกูลจูเมื่อไหร่ หยงเยี่ยหลิวกวงก็จะลงมือกับตระกูลจูได้อย่างมั่นใจ แม้จะทำให้พวกมนุษย์เข้าโจมตีก็ตาม แค่บีบให้ซูเฉินเผยตัวได้ก็คุ้มแล้ว

ทว่าก่อนหน้านั่น หยงเยี่ยหลิวกวงจะทำเช่นนั้นไม่ได้

ดังนั้นซูเฉินจึงเลือกซ่อนตัวก่อน

เขาพยายามหลบซ่อนตัวเพื่อทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงไม่มั่นใจต่อไป

หากซูเฉินเผยตัวตนแล้วบอกว่าไร้สัมพันธ์กับตระกูลจูเล่า ? ทำไมต้องหลบซ่อนด้วย ?

แท้จริงแล้วทำเช่นนั้นนับว่าผิดมหันต์

ปักษานั้นมีผู้เชี่ยวชาญมากมาย เก่งกาจหลายด้าน หากเขาเผยตัวตนจริง เช่นนั้นก็อาจมีคนที่จับโกหกเขาได้ และถึงจะไม่ได้ การพูดเช่นนั้นก็เหมือนการเปิดโปงตนเองอยู่แล้ว

เขาออกมาและบอกว่าไม่มีความสัมพันธ์ ย่อมหมายความว่ามีบางอย่าง

บางครั้ง การบอกว่าไม่มีอะไรผิดก็เป็นเครื่องบ่งชี้ชัดเจนว่ามีบางอย่างผิดปกติ

หากไร้สัมพันธ์จริง ซูเฉินก็ไม่ควรใส่ใจแต่แรกอยู่แล้ว

หากเป็นสายลับที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในประเทศศัตรูได้สำเร็จ ศัตรูจับคนแปลกหน้ามาบีบให้เจ้าเผยตัว ขู่ว่าหากไม่เผยตัวจะฆ่าทิ้งเสีย เจ้าจะทำอย่างไรกัน ?

ปกติแล้ว ก็คือเมินเฉยเสีย

เช่นนั้นถึงจะถูกต้อง

ซูเฉินอยากทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงเห็นว่าเขาไร้สัมพันธ์กับตระกูลจู ดังนั้นเขาจึงเมินเฉยเสีย

ดังนั้นเขาจึงเลือกซ่อนตัวต่อไป เพราะหากเคลื่อนไหวก็จะทำให้สัมพันธ์เปิดเผยได้

เขาเผยตัวเมื่อไหร่ ความจริงย่อมเผยเช่นกัน

แต่แน่นอนว่าไม่เผยตัว ก็ไม่ใช่ว่าจะช่วยนางไม่ได้

เพียงแต่ไม่ใช่เขาโดยตรงที่ช่วย เป็นนิกายไร้ขอบเขต และจูเซียนเหยาเองต่างหาก

รวมถึง… อาณาจักรเลี่ยวเยี่ย

“เลี่ยวเยี่ย ?” จูเซียนเหยาดูงงเล็กน้อย

“ใช่แล้ว เลี่ยวเยี่ย” กังเหยียนว่า เอ่ยคำตามที่ซูเฉินบอก “แม้หยงเยี่ยหลิวกวงจะไม่มั่นใจเรื่องความสัมพันธ์ นายท่านก็ใช้ปฏิสัมพันธ์เก่ากับหยงเยี่ยหลิวกวงเพื่อคาดคะเนว่าอีกฝ่ายคงไม่ปล่อยท่านไปง่าย ๆ เพราะแค่พิสูจน์ไม่ได้แน่ หรือก็คือหากยังมีความเป็นไปได้ หยงเยี่ยหลิวกวงคงกัดท่านไม่ปล่อย สถานการณ์ตอนนี้คือนายท่านเผยตัวมาช่วยท่านไม่ได้ เช่นนั้นเรื่องจะยิ่งแย่ แต่ก็ไม่ได้เมินเฉยต่อท่านเช่นกัน เพราะหากทำเช่นนั้น ท่านก็ไม่อาจได้อิสระ คงได้แต่ลงมือในจุดที่หยงเยี่ยหลิวกวงกลัวที่สุด”

จูเซียนเหยาเข้าใจ “คงไม่ได้คิดจะก่อสงครามระหว่างสองอาณาจักรกระมัง ?”

กังเหยียนหัวร่อ “นายท่านคิดจะทำเช่นนั้นล่ะขอรับ”

หลังจากเรื่องเทพอสูรคางคกพันพิษ กองทัพอาณาจักรแห่งหมู่เมฆก็เสียหายหนัก เสียกำลังไปเกือบสองแสน ทั้งยังใช้ทรัพยากรในการต่อสู้ไปเสียมากกว่า

สงครามทำให้ต้องใช้ทรัพยากรที่สะสมมานาน บ่อยครั้งที่ทำให้ผลาญทรัพยากรไปเพียงเท่านั้น

เอาชนะเทพอสูรด้วยพลังของเผ่าปักษาย่อมรู้สึกดี แต่ทำแล้วทรัพยากรก็หายไปด้วย ทำให้ไม่อาจต่อสู้ระดับนั้นได้อีก

เช่นนี้แล้ว จึงไม่แปลกที่หยงเยี่ยหลิวกวงจะพยายามไม่ให้เกิดสงครามอีก

ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ปล่อยให้จูเซียนเหยากลายเป็นชนวนสงครามระหว่างมนุษย์กับปักษาไม่ได้

ในเมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงกลัวเรื่องนี้ที่สุด ซูเฉินจึงคิดจะทำเช่นนั้น

ซูเฉินคิดฉวยโอกาสนี้ลงมือ

“แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเกิดสงครามจริง เพียงแต่จะทำให้เหมือนกับพวกมนุษย์เตรียมจะก่อสงครามเท่านั้น” กังเหยียนเอ่ย

“อย่างนี้เอง” จูเซียนเหยาเข้าใจแผนซูเฉิน “มาช่วยเองไม่ได้ แต่ใช้อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยกดดันหยงเยี่ยหลิวกวงได้ ก่อนจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉินกับข้า แรงกดดันก็คงมากจนหยงเยี่ยหลิวกวงจำต้องปล่อยตัวข้าเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม เป็นแผนที่งดงามไม่น้อย”

ตามที่กังเหยียนอธิบายมา ดูเหมือนว่ากลการเมืองระหว่างสองเผ่าคงใกล้จะเผยตนเต็มที จูเซียนเหยาประทับใจกับแผนซูเฉินไม่น้อย

นับว่าเป็นแผนที่ใช้ได้ทีเดียว ทว่าผลกระทบอาจจะมากไปสักหน่อย

หากเกิดอะไรขึ้น ไม่เพียงจูเซียนเหยาจะหนีไม่ได้ แต่อาจเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ ก็เป็นได้

“ปัญหาคือ พวกเขาจะช่วยเราหรือ ?” จูเซียนเหยาถามเสียงวิตก

แม้จูเฉินฮ่วนจะมีอิทธิพล แต่ก็ไม่มากจนก่อสงครามระหว่างสองเผ่าได้

“ท่านพูดถูกที่คนตระกูลจูถูกจับขังอาจไม่พอให้เกิดสงคราม หัวหน้าตระกูลจูเองก็ว่าเช่นนั้น แม้จะโน้มน้าวพวกชนชั้นสูงได้ แต่ก็คงเสียหายหลายแสน แต่หากเราปลุกเร้าความโลภพวกเขาขึ้นมาได้ เรื่องก็ยิ่งเน่าเฟะ ไม่ว่าอย่างไรการที่เทพอสูรคางคกพันพิษโจมตีเมืองล่องนภาก็เกิดไปแล้ว เกิดความสูญเสียขึ้นจริง เป็นโอกาสทองของอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยและของทั้งเผ่ามนุษย์จริง หากมนุษย์ยังไม่สิ้นความทะเยอทะยาน ก็ไร้เหตุที่จะปล่อยโอกาสเช่นนี้หลุดมือ ส่วนนายหญิงก็แค่เป็นสาเหตุให้เกิดสงครามเท่านั้นเอง”

หากใช้แค่เรื่องตัวประกันเพื่อโหมไฟสงครามเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ฉลาดเท่าไหร่ แต่ความโลภในใจคนถูกพัดโหมขึ้นมาด้วยแล้ว จะโน้มน้าวคนชั้นสูงก็ไม่ยากอีกต่อไป

“หากหยงเยี่ยหลิวกวงปล่อยข้าไปแล้ว แต่เราหยุดสงครามไม่ได้เล่า ?” จูเซียนเหยาถาม

กังเหยียนเอ่ยเสียงเรียบ “นายท่านเอ่ยว่ายามเมื่อไฟแห่งความโลภโหม ก็ไม่อาจดับได้อีก แต่มันเกี่ยวอะไรกับเขาเล่า ? หากท่านปลอดภัย นายท่านก็ไม่สนว่าจะเกิดสงครามขึ้นหรือไม่หรอก อีกทั้งเผ่าหนึ่งผงาดย่อมมีอีกเผ่าถูกเหยียบขึ้นมา ถึงมนุษย์กวาดล้างปักษาได้จริงเพราะเหตุนี้ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรแปลก”