ภาคที่ 5 บทที่ 169 โน้มน้าว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 169 โน้มน้าว

หลังเข้าใจแผนซูเฉินแล้ว อย่างอื่นก็ง่ายขึ้นมาก

กังเหยียนมอบทางติดต่อให้นาง จูเซียนเหยาจึงกลับเรือนกลิ่นสวรรค์ไป

เทียบกับการพยายามหนีแล้ว กลับไปนั้นง่ายกว่าเยอะ

พอจูเซียนเหยากลับถึงเรือนกลิ่นสวรรค์ ร่างแยกก็หาจังหวะที่คนไม่เห็นหายตัวไปได้

จูเซียนเหยาที่จู่ ๆ หายไปอาจทำให้คนตกใจกันครู่หนึ่งได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องอะไร ร่างจริงของนางจะแอบเข้ามาอยู่แล้ว คงรู้สึกแค่เหมือนละสายตาจากเป้าหมายไปเล็กน้อยเท่านั้น แต่เป้าหมายไม่ได้หนีไป ความตกใจกลายเป็นความโล่งใจแทน

แต่ปักษาไม่คิดเลยว่าจากนั้นไม่นานจะเกิดเรื่องน่าตกใจขึ้น

ขณะเมืองล่องนภาพลิกแผ่นดินหาซูเฉิน อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยกลับเริ่มเคลื่อนไหว

“เมืองล่องนภาถูกเทพอสูรโจมตี เสียทหารไปกว่าสองแสน เสียทรัพยากรการรบไปมากมาย”

“แม่ทัพเยี่ยฉิงชางตายในศึก ตอนนี้เป็นรายชื่อผู้สูญเสียที่เลื่องชื่อที่สุดที่ข้ารู้”

“กองทหารเดือนมืดบาดเจ็บหนัก”

“นักบวชนิกายแห่งพระแม่ 7 คนถูกสังหาร”

“ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานเทียนยี่หยางตายขณะต่อสู้”

“ปืนใหญ่เทพสายฟ้าเสียหายจากการใช้ติดต่อกัน”

“ค่ายจมธาราถูกทำลาย หุ่นเชิดยักษ์ 6 จากทั้งหมด 12 ตัวและหุ่นเชิดศึกเกือบร้อยตัวถูกทำลาย”

“พวกเขาเสียทรัพยากรไปมาก ของใช้สร้างปืนใหญ่ทลายสุริยันและสลักทำลายล้าง และหินพลังต้นกำเนิดหลายพันล้านเช่นกัน”

“หอคอยพลังปีศาจเสียหายบางส่วน บินได้จำกัด”

“เรือเหาะเสียหายน้อยกว่า แต่เรือหลักของอาณาจักรถูกจม ไม่อาจซ่อมได้”

รายการเมืองล่องนภาหลายฉบับกองอยู่บนหลี่หวู่อี้ราวกับถูกพายุหิมะซัด

ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องอะไร เพราะไม่ได้กระทบอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยมากนัก

แต่มีคนเสนอว่าอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยควรฉวยโอกาสโจมตียึดแดนพวกปักษามา

ความคิดจะก่อสงครามจึงเกิดขึ้นในหัวหลี่หวู่อี้

รายงานยังเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่หยุด

“……ฉะนั้นเราควรฉวยจังหวะนี้เคลื่อนพล สำแดงแสงยานุภาพ*ของอาณาจักร…. ฮึ่ม พูดเหมือนทำง่ายเชียว”

หลี่หวู่อี้หัวเราะหึแล้วโยนรายงานทิ้ง

ที่โถงว่าการ หลี่หวู่อี้และพวกข้าหลวงถกเรื่องบ้านเมืองกัน มีทั้งหมด 27 คน แต่เข้าจริงแค่ 3 คนเท่านั้น คือ หัวหน้าฝ่ายการเมืองหวางหลาง หัวหน้าฝ่ายพิธีการฉางหรง และหัวหน้าฝ่ายการศึกหลี่หรูอวิ่น

*แสนยานุภาพ หมายถึง อำนาจทางทหาร.

หัวหน้าฝ่ายการเมืองมักมีอำนาจในการตัดสินใจเช่นนี้มากกว่า

ณ จังหวะนั้น หวางหลางนั่งอยู่ต่ำกว่าหลี่หวู่อี้ เขาเอ่ยพลางยิ้มแย้มว่า “กองทัพจะอ่อนแอถ้าไม่เคยออกศึก เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะออกรบ ทว่าจะผิดปกติหากพวกเขากลัวการต่อสู้ แต่ข้อมูล ณ ตอนนี้ยังถือว่าไม่มากพอที่จะให้เราตัดสินใจ”

หลี่หวู่อี้หัวเราะ “เจ้าก็เห็นสินะ ดูเหมือนหลายปีนี้จูเฉินฮ่วนยุ่งวุ่นวายทีเดียว”

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงประหลาดใจ “ตระกูลจูทำข้อตกลงกับอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ มีสิทธิ์ทำการค้าที่นั่นแล้วไม่ใช่หรือ ? พวกเขาควรจะต่อต้านไม่ใช่หรือไร ? ทำไมถึงดูอยากให้เกิดนัก ?”

เขาคือหลี่ต้าวเชียน บุตรชายของหลี่หวู่อี้ และเป็นองค์รัชทายาทอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย

หวางหลางตอบ “ดูเหมือนบุตรสาวจูเฉินฮ่วน จูเซียนเหยาจะมีปัญหากับแดนปักษา”

หลี่ต้าวเชียนรีบถาม “จูเซียนเหยา ? เป็นนางหรือ ? ทำไมพวกปักษาอยากจับตัวนางเล่า ?”

หลี่ต้าวเชียนเคยเห็นจูเซียนเหยาหลายครั้ง ทั้งเขาและหลี่ต้าวหงหลงความงามของนาง คิดเกี้ยวนางมาก่อน น่าเสียดายที่นางไม่ใส่ใจทั้งคู่ กระนั้นหลี่ต้าวเชียนก็ไม่อาจลืมนางได้ น้องชายหลี่ต้าวหงก็เช่นกัน

ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าจูเซียนเหยาถูกขังอยู่ในแดนปักษาจึงสนใจทันที

หลี่หวู่อี้เห็นแล้วไม่พอใจ ตวัดสายตาดุดันมองบุตรชายตน

หลี่ต้าวเชียนรู้ว่าตนล้ำเส้นจึงก้มหน้าลงแล้วกลับไปยังตำแหน่งตนเอง

แต่หวางหลางไม่สนใจ เขาส่ายหน้าตอบ “จูเฉินฮ่วนมาหาข้าเมื่อครู่ เท่าที่เขาบอกมา อีกฝ่ายจงใจ หมายจะหาทางเคลื่อนทัพ แต่อดรู้สึกไม่ได้ว่าตาเฒ่าไม่จริงใจเท่าไหร่ น่าเสียดายที่ความบาดหมางระหว่างมนุษย์กับปักษามีมากเกิน คนของข้าจึงไร้ข้อมูล ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้แต่เชื่อไปก่อนว่าเขาพร้อมแลกบุตรสาวเป็นเหยื่อเพื่ออาณาจักรเรา”

หลี่หวู่อี้คำราม “เหล่าจูก็เหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เชื่อวาจาไม่ได้ มีโอกาสสูงที่จูเซียนเหยาคงไปพัวพันปัญหาใดมา จึงจำต้องให้เราไปช่วยนางออกมา”

หลี่ต้าวเชียนได้ยินแล้วก็ไม่พอใจ “ท่านพ่อ……”

หลี่หวู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ “หากกล้าขอให้ข้าช่วยนาง ข้าจะหักขาเจ้า”

หลี่ต้าวเชียนจึงเงียบทันที

หวางหลางหัวเราะ “จูเฉินฮ่วนเจ้าเล่ห์ แต่เราก็มั่นใจแล้วว่าเมืองล่องนภาถูกเทพอสูรโจมตีจริง โอกาสตีเมืองปักษานับว่าหาโอกาสได้ยาก ใช้จูเซียนเหยาเป็นข้ออ้างก่อสงครามได้ก็ดี อย่างน้อยเรื่องนั้นจูเฉินฮ่วนก็ไม่ได้โกหก”

แม้จะสงสัยว่าถูกหลอกใช้หรือไม่ แต่ความจริงก็คือความจริง

ทูตมากประสบการณ์เช่นหวางหลางไม่ใส่ใจหากถูกหลอกใช้แล้วตนได้ประโยชน์ไปด้วย

เทียบกับหวางหลางแล้ว หลี่หวู่อี้ยังลังเลอยู่มาก

“เคลื่อนทัพไม่ยาก แต่หลังจากนั้นเล่า ?” หลี่หวู่อี้เคาะนิ้วพึมพำ “ก่อนอื่น แน่หรือว่าจะชนะ ? ล้างได้ทั้งอาณาจักร ? จะได้จะเสียอะไรไปบ้าง ? หากโชคไม่เข้าข้าง จะกระทบอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยอย่างไร ? สุดท้ายหากเราเปิดศึกจริง อาณาจักรอื่น เผ่าอื่นจะคิดอย่างไร ?”

คำถามเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลและการไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่จำเป็นสำหรับผู้ปกครองโดยแท้

กระทั่งหวางหลางยังอึ้งไป ครู่หนึ่งจึงตอบ “หากรายงานเป็นเรื่องจริง ทัพปักษาก็อ่อนกำลังลงมาก นับเรื่องกำลังศึกอย่างเดียว เรามีโอกาสชนะสูง แต่จะกวาดล้างหมดจดคงทำไม่ได้”

เมืองล่องนภาทรงอำนาจเกินจริง สังหารได้กระทั่งเทพอสูร อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยคงไม่มีอำนาจจะล้มล้างมันได้ แม้จะเสียหายหนักและไร้ความสามารถแล้วก็ตาม

หากกวาดล้างเมืองล่องนภาไม่ได้ ก็คงต้องรอบคอบหน่อย โดยเฉพาะเรื่องการโต้กลับของอีกฝ่าย

อีกทั้งเมื่อเลี่ยวเยี่ยเคลื่อนทัพแล้ว อาณาจักรอื่นเล่า ? ก็ต้องรอบคอบเช่นกัน เผ่าศัตรูจะทำอย่างไร ?

หากจัดการผิดพลาด ทั้งอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยอาจถูกอาณาจักรหรือเผ่าอื่นแทงข้างหลัง จะรับมืออย่างไร ?

คงน่าขันไม่น้อย

อย่างไรก็ต้องสุขุมรอบคอบยามจะเปิดศึกกับศัตรูเช่นนี้

ซูเฉินอยากยุให้อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยกดดันหยงเยี่ยหลิวกวง แต่ก็จินตนาการสูงไป แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าง่าย เพราะซูเฉินเป็นแค่คนคนเดียว ไม่อาจก่อให้เกิดสงครามขึ้นได้

ยังดีที่ซูเฉินไม่คิดพึ่งจังหวะที่ปักษาอ่อนแอชั่วคราวมาโน้มน้าวหลี่หวู่อี้เพียงอย่างเดียว

การเมืองก็สำคัญ แต่มักใช้อุบายกันมากกว่า

บางครั้งประลองกันง่าย ๆ ไม่กี่ครั้งก็แก้ปัญหาใหญ่ได้

บางครั้งติดสินบนคนก็ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ

หลี่หวู่อี้เก่งกาจด้านกลยุทธ์ แต่ฉลาดอย่างไรก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจูเฉินฮ่วนติดสินบนหวางหลาง และถึงรู้ก็คงได้แต่ทำเป็นไม่รู้

หวางหลางเองก็ไม่โง่ เข้าใจแน่ว่าจะโน้มน้าวหลี่หวู่อี้ต้องมีเหตุผลมากพอ

จะโกหกหรือคุยโวไม่ได้ ล้วนต้องเป็นความจริง นั่นคือที่เขายอมรับว่าจูเฉินฮ่วนเองก็ไม่ได้จริงใจมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง

มีแต่ให้นายเหนือหัวชื่อว่าเขาไร้แรงจูงใจใด ๆ แผนจึงจะดำเนินต่อได้ง่าย

หลังมั่นใจว่าอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยไม่อาจทำลายเมืองล่องนภาได้แล้ว หวางหลางครุ่นคิดแล้วเอ่ยคำ “ข้าเข้าใจความกังวลของฝ่าบาท แต่อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยและปักษาไม่เคยเป็นมิตรต่อกัน สู้กันมานับพันปี ไม่ใช่ว่าระแหงกันเพราะทะเลาะสองสามครา ถึงจะกวาดล้างไม่ได้ ถึงเราไม่ตีอีกฝ่าย ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่โจมตีเรา”

หวางหลางพูดชัดเจนว่าปักษาและมนุษย์ไม่เคยเป็นมิตร ความสงบแค่ชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องล่วงเกินกัน เพราะหากเป็นปักษาก็คงฉวยโอกาสเช่นนี้ลงมือเช่นกัน

หลี่หวู่อี้พยักหน้า “ก็จริง จะรบกันหรือไม่ก็ไม่ใช่มิตรอยู่แล้ว มีแต่ยามมันล้มแล้วเหยียบให้จม เราถึงจะทำอะไรง่ายขึ้นบ้าง”

หวางหลางว่าต่อ “อาณาจักรอื่นก็ไม่เป็นปัญหา มนุษย์เราสามัคคียามมีศัตรูเดียวกันอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาภายในเกิดขึ้นหรอกขอรับ”

“แต่ข้าเกรงว่าจะยังมีพวกทะเยอทะยานใจคดอยู่” หลี่หวู่อี้เอ่ย

เรื่องสภาพภายในเขารู้ดี มนุษย์นั้นสามัคคีกัน แต่จะมีพวกที่ความทะเยอทะยานที่ไม่สิ้นสุดอยู่เสมอ หากพวกมันคิดฉวยจังหวะนี้ลงมือ อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยก็อาจเสียหายใหญ่หลวง

เชื่อคำสัตย์ของคนคนเดียวไม่เคยเป็นเรื่องฉลาด

“เราจึงต้องเป็นพันธมิตรกับผู้อื่น 7 อาณาจักรร่วมมือกันยามจำเป็นไม่แปลก ตอนนี้ปักษาอ่อนกำลังลงเพราะเทพอสูร เป็นโอกาสดีที่เราจะลงมือ”

หลี่หวู่อี้มุ่นคิ้ว “ข้าเกรงว่าอาณาจักรอื่น ๆ จะไม่เห็นด้วย”

หวางหลางหัวร่อ “หากให้ระดมพลคงไม่ แต่หากเชิญมาแบ่งผลประโยชน์ เช่นนั้นมีแต่จะยินดี”

“แบ่งผลประโยชน์ ?” หลี่หวู่อี้อึ้งไป

“ขอรับ แบ่งผลประโยชน์ นอกจากแดนปักษา ทรัพยากร และสมบัติตระกูลใหญ่ของพวกนั้นแล้ว ฝ่าบาทไม่เคยได้ยินเรื่องสมบัติลับใหม่ในแดนปักษามาก่อนหรือ ?”

“สมบัติลับใหม่ ?”

“ขอรับ ชื่อราว ๆ สมบัติชุยอวี่ เหมือนว่าปักษาผู้นี้เป็นเชลยที่เราปล่อยตัวไปเพื่อแลกคน พอกลับแดนไปแล้วก็ก่อปัญหา ปล้นของจากแดนสมบัติลับของอวี้ชิงหลาน มือแห่งโชคชะตา และนิกายแห่งพระแม่ติดต่อกัน ก่อนจะฝังเอาไว้ในหลุมนอกเมืองล่องนภา” หวางหลางหัวเราะ

ทิ้งระยะเล็กน้อยก็ว่าต่อ “จากการประมาณการเบื้องต้น สมบัติน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหินพลังต้นกำเนิด 3 พันล้าน”

หลี่หวู่อี้รู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อได้ยินตัวเลขนี้

“3 พันล้าน !” เขาถามเสียงตะลึง

“ขอรับ ที่นอกเมืองล่องนภา”

“ข้อมูลถูกต้องหรือไม่ ?”

“แพร่ไปทั่วเมืองล่องนภาแล้วขอรับ พวกข้าส่งทหารออกไปค้นพื้นที่ ชัดเจนได้ทีเดียวว่าเป็นความจริง” หวางหลางตอบ “จำนวนนี้ดึงความสนใจอาณาจักรภูผาสูญกับอาณาจักรประกายวารีได้แน่”

เหมือนที่ซูเฉินใช้จุดอ่อนเมืองล่องนภาล่ออาณาจักรเลี่ยวเยี่ยให้ส่งทัพมา หวางหลางก็ใช้วิธีเดียวกัน โยนเหยื่อล่อก่อน แล้วให้หลี่หวู่อี้ตัดสินใจเอาเอง

ซูเฉินสร้างเรื่องสมบัติลับชุยอวี่คงเหินมาเพื่อหลอกล่ออาณาจักรเลี่ยวเยี่ยให้ส่งกำลังพล ให้มีเหตุจูงใจ ไม่คิดเลยว่าหวางหลางจะใช้เพื่อดึงอาณาจักรภูผาสูญและอาณาจักรประกายวารีมาร่วมด้วย

มองบางมุม ทั้งคู่นั้นเหมือนกัน พร้อมใช้ทุกทางเพื่อทำให้แผนสำเร็จ ไม่กลัวว่าเรื่องจะบานปลายแต่อย่างไร

ซูเฉินไม่สนเลยว่าหากจะเอาจูเซียนเหยากลับมาแล้วจะต้องก่อสงครามขึ้นจริง

ส่วนหวางหลางก็ไม่สนเลยว่าจะทำให้เรื่องบานปลายแค่เพราะจะเอาสินบนจากจูเฉินฮ่วน

คนในวงการเมืองปกติไม่โง่ แต่มักโลภ โลภจนทำให้ตัดสินใจโง่ ๆ ได้

แต่แน่นอนว่าการตัดสินใจจะโง่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของศึกครานี้

หากชนะก็ฉลาด หากแพ้ก็โง่ ไม่มีใครสนเรื่องหลังฉากกันหรอก