ภาคที่ 5 บทที่ 170 ดื้อรั้น

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 170 ดื้อรั้น

หลี่หวู่อี้ยังถกเรื่องอยู่ในห้องโถง ซูเฉินก็มัวแต่จัดการธุระในมือ

ที่ทำก็คือทำการลอบสังหารคนนั้นที คนนี้ที

แท้จริงแล้วซูเฉินคิดหนักในการทำเช่นนี้เสมอ แต่ตอนนี้เขาไร้ทางเลือก

เขาต้องหาเหตุให้อยู่ในเมืองล่องนภาต่อ

หากอยากปกป้องจูเซียนเหยา เขาต้องอยู่ในเมืองล่องนภา หยงเยี่ยหลิวกวงจะได้ยังมีหวัง จนกว่าพวกมนุษย์จะกดดันหยงเยี่ยหลิวกวงจนปล่อยตัวจูเซียนเหยาไป

หากซูเฉินอยู่เมืองล่องนภานานเกินไป มุมหนึ่งก็ทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงสงสัยได้ ด้วยตอนนี้เขารอดพ้นสายตาเค่อเหลยซีต๋ามาได้แล้ว

ดังนั้นเขาจึงต้องลงมืออยู่ตลอด

แม้จะอันตราย แต่ก็ต้องทำให้เห็นว่าเขามีเหตุให้ต้องอยู่

ปล้นคนยากขึ้น ดังนั้นจึงกลายเป็นลอบสังหาร

คำพูดธรรมดาของจินเยี่ยนกลับทำให้ซูเฉินลงมือทำจริงได้

ความตายของผู้คุมคุกลอยฟ้าทำเอาเสินอวี่เชียนจือตกตะลึง

อีกฝ่ายติดต่อเขาไม่ได้ แต่แทนที่จะหลบเงียบ ๆ กลับออกมาลอบสังหารปักษาเสียนี่ คิดจะทำอะไรกันแน่ ?

ท้าทายงั้นหรือ ?

รู้หรือไม่ว่าตระกูลจูตกอยู่ในกำมือพวกเขาแล้ว ?

ปักษาชั้นสูงทั้งหลายได้แต่ฉงน แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

ปัญหาหลักในตอนนี้คือความกระหายเลือดของคู่ต่อสู้ดูเหมือนจะถูกปลุกเร้าขึ้นแล้ว วันต่อ ๆ มาก็สังหารปักษาชั้นสูงเพิ่มอีก 2 คน

ออกล่าปักษาและปล้นเขตกลยุทธ์นั้นแตกต่างไม่คล้ายกัน

ปักษาสามารถตั้งค่ายกลไว้ตามจุดกลยุทธ์เมืองล่องนภาเพื่อรับมือผีด่านสู่พิสดารผู้นี้ได้ แต่ไม่มีใครพกค่ายกลติดตัวไป ดังนั้นซูเฉินจึงนับว่าเล็งไปที่จุดอ่อนสำคัญทีเดียว

ที่ซูเฉินไม่ได้ทำก่อนหน้าเพราะไร้ประโยชน์ จึงไม่แปลกที่ไม่คิดลงมือ

แต่ตอนนี้ลอบสังหารทำให้เขามีเหตุผล พอลงมือแล้วกลับสนุกขึ้นมาจริง ๆ

ภายในเวลาเพียง 10 กว่าวัน ปักษาระดับสูงราว 8 คนก็ถูกสังหาร เมืองล่องนภาตกอยู่ในความโกลาหล พอพวกเขารู้ว่าไม่ว่าจะรับมือกับเทพอสูรได้หรือไม่ มนุษย์ที่ลอบเข้ามาก็ยังสามารถแทรกซึมเข้ามาได้อยู่ดี ไม่อาจรับมือได้เลย

และแน่นอนว่าอีกฝ่ายนั้นไร้เมตตา

ข่าวเรื่องการมาถึงของตระกูลจูมาถึงหูซูเฉินหลายครั้ง แต่เขาก็เมินไม่ถามไถ่ ราวกับไม่รู้ความ ไม่คิดจะติดต่อ

ทำให้ปักษาปวดหัวหนักนัก

ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่พยายามเจรจาหรือติดต่อกับตระกูลจู ก็ไม่รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่ แผนครึ่งหลังส่วนที่สองไม่อาจดำเนินการได้เลย

หยงเยี่ยหลิวกวงคิดว่าแผนนั้นละเอียดดีแล้ว แต่ชุยอวี่คงเหินกลับทำให้ปักษาสงสัยว่าพวกตนจับผิดคนหรือเปล่าเป็นคราแรก

ซึ่งก็ไม่นับเป็นปัญหา แต่ปัญหาคือเรื่องนี้จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีก

แดนปักษาที่กำลังวุ่นวายย่อมไม่พ้นสายตาของมนุษย์ แต่ความเคลื่อนไหวของมนุษย์ก็ไม่พ้นสายตาอีกฝ่ายเช่นกัน ยิ่งเมื่อพวกเขาก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรแต่แรกอยู่แล้ว……

ณ วังแสงตะวันชั่วกาล

หยงเยี่ยหลิวกวงนั่งบนบัลลังก์ ฟังพวกข้าหลวงถกประเด็นกัน

“ข่าวเรื่องที่เราสู้กับเทพอสูรคางคกพันพิษแพร่ออกไปแล้ว มนุษย์เหมือนอยากทำสงคราม หลี่หวู่อี้เรียกหวางหลางเข้าวัง 3 ครั้งแล้ว เห็นว่าเรียกหลี่หรูอวิ่นด้วย ทหารที่รักษาชายแดนมังกรมงคลเดินทางไปเพื่อหลอกเท่านั้น”

“จูเฉินฮ่วนเข้าเมืองหลวง กำลังโน้มน้าวคนอื่น ๆ ให้เคลื่อนทัพ ดูท่าจูเซียนเหยาจะเป็นสาเหตุหลัก”

“ได้ข่าวลือว่าหลี่หวู่อี้ติดต่อกับอาณาจักรภูผาสูญและอาณาจักรประกายวารี ดูท่าจะร่วมมือกันเพื่อเพิ่มกำลังทางทหาร”

“ข่าวจากเมืองหลวงบอกว่าชุยอวี่คงเหินเป็นหนึ่งในตัวประกันที่หลี่หวู่อี้สัญญาจะปล่อยเพื่อแลกกับจะเข้ามาทำลายเมืองเรา”

รายงานทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามา ทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงผู้ไม่หวั่นไหวเริ่มปวดหัวแล้ว

อาณาจักรภูผาสูญและอาณาจักรประกายวารีนับเป็นสองอาณาจักรที่มีแรงกดดันน้อยที่สุดเพราะอยู่แนวหลัง ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะระดมกำลังมากที่สุด หาก 3 อาณาจักรร่วมมือกันปักษาคงต้านไม่ไหว แน่นอนว่าอาจจะหลบอยู่ในเมืองล่องนภาได้ แต่เขตแดนด้านนอกคงเสียไปหมด ซึ่งก็ยอมรับไม่ได้ และเมื่อไหร่ที่เสียทรัพยากรที่มาจากนอกแดนปักษาแล้ว กำลังการผลิตเมืองล่องนภาเพียงอย่างเดียวก็ไม่พอกับอัตราการใช้แน่

แม้แต่การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังพังทลายลงหากไร้ความสามารถในการโจมตี

ปักษาจึงให้ความสำคัญกับแผนจุดลอยมาก

เมืองล่องนภานั้นแกร่ง แต่ถูกศัตรูล้อมทุกทิศ เพราะสร้างขึ้นในเขตแดนของเผ่าอื่น

“ฝ่าบาท ตอนนี้สำคัญที่สุดคือส่งคณะทูตไปอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย เจรจาไม่ให้ระดมพล……” คนหนึ่งเสนอ

หยงเยี่ยหลิวกวงคำราม “หมาป่าหิวจะกินเนื้อ โน้มน้าวได้หรือ ?”

ทั้งหมดเงียบอึ้งไป

หยงเยี่ยหลิวกวงเอ่ย “วิธีเดียวที่จะจัดการกับหมาป่าผู้หิวโหยคือต่อสู้กับมันเสีย จะได้รู้ว่าเนื้อนี้กินไม่ง่าย ถึงจะกัดไปคำหนึ่ง แต่ก็ต้องแลกด้วยเลือด….. ส่งข้อความหาหอคอยแห่งความโกลาหล เมืองดาราแห่งปักษา และปราสาทแสงต้นกำเนิด ให้เปิดใช้ค่ายกลสามเส้น เตรียมพร้อมรบ”

ในหมู่จุดลอยทั้งหมด หยงเยี่ยหลิวกวงเลือกส่งไปสามแห่งเพื่อรับมืออาณาจักรเลี่ยวเยี่ย ความมุ่งมั่นในการแสดงความแข็งแกร่งนั้นชัดเจนยิ่ง

แต่คนอื่นก็อยู่กันไม่สุข นอกจากมนุษย์แล้ว ปักษายังเป็นปรปักษ์กับเผ่าสัตว์อสูรและเผ่าท้องสมุทร เผ่าท้องสมุทรถูกเผ่าสัตว์อสูรในทะเลกดดัน ไม่เป็นภัยมากนัก นับว่าอ่อนแอที่สุดใน 5 เผ่าพันธุ์อัจฉริยะ แต่เผ่าสัตว์อสูรที่ปักษาต้องรับมือนั่นอยู่ภายใต้คำสั่งของเลี่ยเยี่ยน

ตอนนี้บุตรชายของเลี่ยเยี่ยนตกเป็นเชลยในแดนปักษา เผ่าสัตว์อสูรเองก็คงรอตั้งท่าเช่นกัน

หอคอยพลังปีศาจอย่างเดียวคงตั้งรับเผ่าสัตว์อสูรไม่ได้

แต่ไม่มีใครกล่าวคำ เห็นได้ชัดว่าหยงเยี่ยหลิวกวงคิดรื้อกำแพงด้านตะวันออกเพื่อสร้างกำแพงด้านตะวันตกขึ้นใหม่ ไม่ว่าเผ่าสัตว์อสูรจะมีท่าทีอย่างไร ก็ต้องรับมือพวกมนุษย์ก่อน

“เช่นนั้นเราก็ไร้ทางเลือก” ทั้งหมดล้วนเห็นด้วย

ณ เขตใต้ของเมืองล่องนภา

การต่อสู้อันดุเดือดเพิ่งจะจบลง

หลังจากสังหารผู้คุมคนสุดท้าย ซูเฉินก็มาถึงรถและคว้าเจ้าหน้าที่คนหนึ่งลากออกไป “จ้องตาข้า”

“ไอ้ชั่ว !” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นยังคิดต่อต้าน แต่พอเห็นนัยน์ตาประหลาดสีดำลึกล้ำแล้ว เจตจำนงทรงพลังก็เริ่มแทรกเข้ามาภายในจนเขาร้องโหยหวน

พริบตาเดียวเขาก็ล้มลงแน่นิ่งราวกับตาย แต่ครู่ต่อมา ซูเฉินปล่อยเพลิงสีดำก้อนหนึ่งออกมา พุ่งเข้าไปกลืนร่างปักษาผู้นั้นจนไม่เหลือซาก

เพลิงเงานี้หนาแน่นมาก สำแดงพลังเขาอย่างเด่นชัด แต่บนใบหน้ากลับไร้แววยินดี

ดึงเอาความทรงจำผู้คุมมาแล้ว ซูเฉินก็มั่นใจแล้วว่าหยงเยี่ยหลิวกวงคิดจัดการอย่างไร

ทำให้กวนใจเขามาก

หยงเยี่ยหลิวกวงตัดสินใจจะสู้กันให้ห่างเมืองล่องนภา นับว่าเป็นปัญหาต่อซูเฉิน

ไม่มีแผนใดไร้เทียมทาน ก็เหมือนกับการเล่นหมาก มีแต่คนอยากเป็นคนคุม ไม่มีใครอยากเป็นหมาก

ในฐานะผู้ปกครองเผ่า หยงเยี่ยหลิวกวงเป็นคนคุมหมาก จะให้ใครจูงจมูกได้งั้นหรือ ? เขาไม่รู้ว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองเป็นฝีมือมนุษย์ซูเฉินหรือไม่ แต่ก็สัมผัสกลิ่นอายที่ชั่วร้ายในพายุที่กำลังก่อตัวขึ้นได้

ดังนั้นจึงเลือกใช้ไฟสู้กับไฟ

คิดว่าสู้กับเทพอสูรจนอ่อนกำลังแล้วข้าจะกลัวหรือ ? คิดว่าจะฉวยโอกาสกันได้หรือ ?

อย่าได้ฝันเลย !

แม้พวกข้าเผ่าปักษาจะต้องตาย ก็ขอตายด้วยดาบ ! คิดว่าจะทำให้พวกข้ากลัวง่าย ๆ หรือ ?

เขาไม่สนจูเซียนเหยามากมายด้วยซ้ำ

ในกลการเมืองเช่นนี้ จูเซียนเหยาก็แค่สัญลักษณ์หนึ่ง เขาไม่คิดเลยว่านางจะเป็นต้นตอแห่งปัญหาทั้งหมดนี้

เช่นนี้แล้ว แผนซูเฉินก็นับว่าสำเร็จและล้มเหลวไปพร้อมกัน

เขาหลอกหยงเยี่ยหลิวกวงได้ แต่ที่ล้มเหลวเพราะแม้แผนจะไร้ปัญหา แต่ผลลัพธ์น่าพึงพอใจน้อยกว่ากันมาก

“ได้ หยงเยี่ยหลิวกวง ! ไม่ยอมก้มหัวแม้จะต้องตายสินะ ? เช่นนั้นข้าก็จะตีให้ตาย !” นัยน์ตาซูเฉินบังเกิดแววดุร้ายขึ้น

ตอนนั้นเองที่ปักษาที่ไล่ตามมาปรากฏขึ้นเบื้องหลัง ซูเฉินไม่เสียเวลาคุย ร่างกะพริบหายไปทันที ปรากฏตัวอีกทีในห้องไม่เอ่อร์

เขาทิ้งร่างแยกไว้ในห้อง ไม่เอ่อร์จึงไม่รู้ว่าเขาออกไป ตอนนี้ทุกคนกำลังคุยกับจินเยี่ยนอย่างสนุกสนาน

อาจเพราะหลายวันมานี้ได้รู้จักกัน และเพราะซูเฉินไม่เคยทำร้ายพวกเขา ไม่เอ่อร์จึงเริ่มคลายความกลัว ตอนนี้ก็สามารถหัวเราะขำขันกันได้แล้ว

กลับมาแล้วได้ยินไม่เอ่อร์เอ่ย “……จากนั้นท่านพ่อก็ตีก้นข้าเสียแรง แล้วข้าก็ไม่ได้เห็นนาฬิกานั่นอีกเลย”

ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะในพลัน

จินเยี่ยนเป็นคนเดียวที่เห็นว่าซูเฉินกลับมา

เขาเหลือบมองซูเฉินแล้วหัวเราะ “กลับมาแล้วหรือ ? ไม่เอ่อร์กำลังเล่าว่าเขาเคยใช้น้ำยาเฉาแทนน้ำมันหล่อลื่นให้นาฬิกาของพ่อเขาเมื่อสมัยยังเด็กอยู่เลย น่าสนใจนัก ! ไม่รู้เลยเผ่าช่างฝีมือหน้าตายก็มีมุมตลกกับเขาด้วย”

“เผ่าช่างฝีมือเองก็เป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ มีความสุข โกรธ เศร้าได้เหมือนกัน” ไม่เอ่อร์เอ่ยตามตรง

“เจ้าเล่า ? เคยมีประสบการณ์ขำขันกับพ่อเจ้าบ้างหรือไม่ ?” ซูเฉินถาม

“ไม่หรอก ท่านพ่อมักจะ…..” จินเยี่ยนกำลังจะตอบก็นึกขึ้นได้ จ้องซูเฉินแล้วอึ้งไป “เจ้าจะถามทำไม ?”

ซูเฉินไม่ตอบ เดินไปทางที่จินเยี่ยนนั่งอยู่แล้วจ้องเขม็ง

จินเยี่ยนจ้องเขากลับ “เจ้า….. คิดจะทำอะไรกันแน่ ?”

ซูเฉินพลันคว้ามือจินเยี่ยนไว้

เขาว่า “อาจจะเจ็บเล็กน้อย ทนเอาหน่อยนะ”

“หา ?” จินเยี่ยนชะงัก

เกิดแสงวาบเหมือนเหล็กขัดกันขึ้น มือจินเยี่ยนพลันถูกตัดขาดทันใด

“อ๊ากกกก !” จินเยี่ยนร้องโหยหวน พยายามจะหนี ทว่าซูเฉินใช้มืออีกข้างกดเขาไว้ไม่ให้วิ่ง “นี่ ๆ อย่ากลัวนักสิ”

“มือข้า เจ้าตัดมือข้า !” จินเยี่ยนตะโกน

“ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวมันงอกใหม่….. เอ้า ดื่มนี่ เดี๋ยวไม่เจ็บแล้ว ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” ซูเฉินรีบหยิบยา จินเยี่ยนไม่อยากดื่ม แต่อีกฝ่ายกดดันจึงจำใจ ไม่เอ่อร์กับลูก ๆ เห็นแล้วนิ่งอึ้งไปไม่อยากเชื่อ

“ทำไมกัน ?” จินเยี่ยนครวญ

เขาไม่กล้าขัดซูเฉิน ได้แต่ร้องไห้เท่านั้น

ร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ

แต่พอดื่มยาแล้ว ก็หายเจ็บจริง ๆ

“แค่อยากรู้ว่าพ่อเจ้ารักเจ้ามากหรือเปล่า” ซูเฉินตอบ

จากนั้นเขาก็ห่อมือข้างนั้นไว้อย่างระมัดระวัง